ก่อนจะมาเป็น Roewe และ MG (ของแทร่)!!

ช่วง 1
BL (British Leyland) เจ้าของ Rover เริ่มประสบปัญญาวิฤกตน้ำมันของกลุ่มโอเปกช่วง 70 ไมใช่แค่ Rover ทำให้เจ้าของ Rover ต้องการหาพันธมิตรใหม่ ในช่วงนั้น H O N D A เป็นบริษัทน้องใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัยได้บุกตลาดยุโรป ไปสดุดตาเจ้าของ Rover และเมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวของประวัติบริษัท H O N D A  นั้นพบว่าคล้ายกันโดยเริ่มจากการผลิตมอเตอร์ไซค์และพัฒนาไปผลิตรถยนต์ เจ้าของ Rover จึงเสนอ H O N D A เข้าที่ประชุมในการหาพันธมิตรใหม่ ผลมติตกลงอนุมัติเป็นพันธมิตรกับ H O N D A เมื่อมติอนุมัติ Rover ได้นัดพูดคุยกับทาง H O N D A ผลคือตกลงเป็นพันธมิตร โดยมีเงื่อนไข เช่น H O N D A สามารถใช้สตูดิโอ Rover เพื่อพัฒนาออกแบบรถให้ถูกใจชาวยุโรปรวมถึงเอเชียได้และ Rover ต้องเป็นลูกค้าซื้อเครื่องยนต์ไปใช้ประจำในการร่วมพัฒนารถใหม่ที่ทำร่วมกัน ในส่วนของ Rover เพื่อพัฒนารถร่วมกันและเหตุผลสำคัญไม่ถูกประชาชนอังฤกษมองว่า Rover เสียผลประโยชน์เนื่องจาก Rover เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในอังฤกษการจะไปเป็นพันธมิตรกับต่างชาติโซนยุโรปหรืออเมริกานั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้น H O N D A  จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเพราะเปรียบเสมือนเด็กน้อยพึ่งฝึกก้าวเดินจึงไม่ถูกประชาชนอังฤกษมองว่า Rover เสียผลประโยชน์
หลังจากนั้นทั้ง 2 แบนด์ร่วมกันทำ Project ลับๆ ทุกอย่างดูเหมือนผ่านไปด้วยดี แต่แล้วเริ่มมีปัญหาเกิดเมื่อ H O N D A ผลิตเครื่องยนต์ที่ใหญ่เกินไปทำให้รถที่จะออกสู่ตลาดมีความล่าช้าถึง 18 เดือน หลังจากนั้นทั้งสองเริ่มเห็นไม่ตรงกัน Rover ต้องการให้ Project เป็นความลับแต่ H O N D A ต้องการเปิดเผย และเมื่อรถที่ร่วมกันพัฒนาสามารถทดสอบได้ปรากฎว่าคุณภาพไม่ดีอย่างที่ทั้งสองคลาดหวัง หลังจากนั้นไม่นานที่ประชุมของ Rover มีมติยกเลิกการเป็นพันธมิตรแต่สัญญาซื้อขายแลกเปลี่ยนยังคงอยู่  ซึ่งที่ผ่านมา Rover ประสบปัญหาวิฤกตน้ำมันของกลุ่มโอเปกช่วง 70 ยอดขายรถจึงตกและเริ่มขาดทุนเมื่อเป็นพันธมิตรกับ H O N D A ต้องซื้อเครื่องยนต์และยังต้องซื้อชิ้นส่วนรถจาก H O N D A  แต่รถที่ร่วมกันพัฒนาคุณภาพไม่ดีอย่างที่หวังจึงขาดทุนเพิ่มขึ้น เหตุนี้ทำให้ Rover ต้องหาพันธมิตรใหม่เพื่อช่วยให้บริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้ง ไม่นานที่กำลังหาพันธมิตรก็ได้รับข้อเสนอจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในอังฤกษ British Aerospace (ฺBAe) เป็นบริษัทผลิตเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินรบ โดยข้อเสนอคือ ต้องการ Take Over ข้อเสนอนี้ทำให้ทาง Rover คิดหนักแต่ในเมื่อบริษัทกำลังขาดทุนจึงตกลงรับข้อเสนอของทาง BAe แต่มีเงื่อนไขคือเจ้าของ Rover Company อดีตยังเป็นผู้บริหาร MG ROVER GROUP ที่ประกอบไปด้วย MG , Rover ปัจจุบันคือ Roewe  , RANGE ROVER ปัจจุบันคือ Land rover , ROVER MINI ปัจจุบันคือ Mini Cooper  และอื่นๆไม่ค่อยรู้จัก
เมื่อ BAe ซื้อ MG ROVER GROUP เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น BAe ติดต่อพูดคุยกับทาง H O N D A ให้เข้ามามีส่วนร่วมใน Rover มากขึ้นโดยการขายหุ้นให้ H O N D A  20%  จากเดิมในอดีต H O N D A ขายเครื่องยนต์ให้ Rover แต่ปัจจุบันเมื่อ H O N DA มีหุ้นส่วนแล้วส่งผลให้มีการขายรถในรูปแบบชิ้นส่วนอะไหล่ให้กับ Rover ถึง 37,000พันคัน การบุกตลาดยุโรปในครั้งนี้ประสบความสำเร็จมาก
ทุกอย่างดำเนินอย่างปกติเรื่อยมาจนกระทั้ง BAe ประสบปัญหาวิฤกตใหญ่ธุรกิจในเครือขาดทุนมหาศาลทำให้ต้องขายทิ้งธุรกิจที่ขาดทุนรวมถึง Rover ซึ่ง BAe เสนอขายหุ้นให้ H O N D A  ทั้งหมด 80% แต่ H O N D A  "ปฏิเสธ" 
BAe เจรจากับ H O N D A  มีการลดเงื่อนไขมากมายแต่ H O N D A ยังเงียบและคิดว่าติดต่อมาแค่เรา ช่วงนั้นเป็นช่วงขาขึ้นของ BMW มีกำไรจากการขายรถมหาศาลจึงไม่รอช้าเข้ามาเสนอข้อตกลงในการซื้อ Rover แต่ถูกสภาอังฤกษไม่เห็นด้วยในการขายให้กับ BMW ในส่วนข้อเสนอของ 
BMW เงินจำนวน 800 ล้านปอนด์ และอีก 700 ล้านปอนด์ ชำระที่ขาดทุน เพิ่มให้อีก 20 ล้านปอนด์ ถ้า H O N D A ยังเป็นคู่สัญญาพันธมิตรต่ออีก 1 ปี 

ช่วง2
ในปี 1994 BMW ซื้อกิจการ Rover สำเร็จ โดยมีแบนด์ดังๆมากมายเช่น Austin, Austin-Healey , MG ,  Land Rover Mini     
ในปี 2000 BMW ขาย Rover และ MG ให้กับกลุ่ม Phoenix Venture Holdings ด้วยความจำนนที่ถูกกดดันจากรัฐบาลอังฤกษเนื่องจากมองว่า BMW พยายามทำลายและชำแหละแบนด์รถดังในประวัติศาตร์ของอังฤกษนั้นทำให้ BMW ต้องขายให้ในราคา 10 ปอนด์และให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยอีก 500 กว่าล้านปอนด์เพื่อให้แบนด์ Rover กลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง
BMW ขาย Land Rover ให้กับ Ford ส่วน Rover Mini เก็บไว้ออกเป็นซีริย์รถใหม่ ปัจจุบันคือ Mini cooper ภายใต้แบนด์ BMW 
ต่อมา Ford ขาย Land Rover ให้ tata motor(อินเดีย)

ช่วง3
วิฤกตของ MG Rover Group ครั้งใหม่ที่บริหารโดย Phoenix Venture Holdings (PVH) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าทุจริตภายในองค์กรจนขาดทุน 1,000 ล้านปอนด์ ในการดำเนินการกิจการ ต้องหาผู้ซื้อกิจการรายใหม่อย่างเร่งด่วน จากนั้นไม่นานในปี 2548 Nanjing Automobile Group (NAC) จึงยื่นข้อเสนอซื้อ MG และเป็นผลสำเร็จแล้วหลังจากนั้น NAC ได้เริ่มเดินสายการผลิต MG ในโรงงาน Longbridge อีกครั้งในปี 2550 หลังจาก MG ROVER ล้มละลายเมื่อ 3 ปีที่แล้วภายใต้การบริหารของ PVH และหลังจากนั้น SAIC MOTOR ยื่นข้อเสนอซื้อ Nac ในปี 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ  SAIC MOTOR ควบรวม NAC เมื่อควบรวจกิจการเสร็จเรียบร้อยทาง SAIC MOTOR ได้ยื่นข้อเสนอ ซื้อ Rover กับทาง Phoenix โดยเงื่อนไขคือ SAIC MOTOR ถือหุ้น Rover 70% และทาง Rover ถือหุ้น 30% เพื่อแลกกับการที่ SAIC MOTOR ลงทุน 1,000 ล้านปอนด์ (คือชำระหนี้ของ Rover) แต่ TATA MOTOR ที่ซื้อ Land Rover จาก Ford ได้ขู่ว่าหาก PVH ขาย Rover ข้อตกลงที่ทำร่วมกับ tata โครงการผลิตรถ Rover ขายในอินเดียชื่อ Tata Indica ชื่อส่งออก CityRover จะถูกยุติทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นข้อเสนอของ SAIC MOTOR จึงถูกยืดเวลาออกไปทำให้ SAIC MOTOR ขอซื้อแค่บางส่วน เช่น
" Powertrain Limited " เป็นโรงงาน วิจัยพัฒนาเครื่องยนต์และผลิตประกอบเครื่องยนต์รวมถึงวิศกรรมการออกแบบเครื่องยนต์ของ Rover ทุกรุ่น แต่ที่ขายได้ มีเพียง เครื่องยนต์ K-series และ L - Series เป็นเครื่อง 4 สูบและ 6 สูบ นอกจากนี้ SAIC MOTOR ยังขอซื้อ Rover รุ่น 25 และ 75 


                                                                                                                                                               ROVER 25

ปัจจุบันถูกพัฒนาเป็น MG 3




                        
                            
BMW เคยนำไปใช้ตอนที่อยู่ในอ้อมแขน


                                                                                                                                                                   BMW E46 


                                                                                                                                                                       Roewe 750

Rover Group บริษัทแม่ PVH ตกลงขายทรัพย์สินบางส่วนรวมถึง Rover PG1 กระปุกเกียร์ ให้ SAIC แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีการออกแบบวิศวกรรมทั้งหมดของรุ่น 25 และ 75 รวมทั้งหมดในราคา 67 ล้านปอนด์ 
ปัจจุบัน SAIC MOTOR ถือสิทธิบัตร เครื่องยนต์และกระปุกเกียร์ PG1 และรถ Rover รุ่น  25 และ 75 หลังจากนั้น SAIC MOTOR ได้เปลี่ยนแบนด์จาก Rover เป็นชื่อ Roewe ในการทำตลาดเพราะไม่ได้ซ์้อมาทั้งหมดในแบนด์ Rover สิทธิบัตรของ Rover ที่เหลือรวมถึงโลโก้แบนด์อยู่กับ
Jaguar Land Rover (TATA MOTOR)

เมื่อ SAIC MOTOR ได้รับสินทรัพย์เรียบร้อยแล้วนั้นมีทีม Ricardo ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในด้านเครื่องยนต์ ได้ตั้งบริษัทสาขาย่อยในประเทศจีน ชื่อ Ricardo 2010 Consultants Ltd ได้ส่งวิศวกรระดับเก่งมาช่วยเหลือในการประกอบเครื่องยนต์ตามสิทธิบัตรของ SAIC MOTOR ถืออยู่และรุ่นที่ประกอบเป็นตระกูล K-Serie มีรหัสว่า KV6 เป็นเครื่องยนต์ 6 สูบ ใช้ในรถแบนด์ Roewe รุ่น 750 หลังจากนั้นได้ประกอบและพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เครื่อง 4 สูบ L - Series และ 8 สูบ K - Series  ใช้อยู่ในรถ MG และในเครือ SAIC MOTOR มาจนถึงทุกวันนี้ 

              ภาพถ่ายเครื่องยนต์เครื่องแรกที่ทีม Ricardo ผลิตและประกอบสำเร็จ

ประวัติเรื่องราวบริษัท Ricardo (ย่อ)

ช่วงสงคราม
บริษัทก่อตั้งโดย เซอร์แฮร์รี ริคาร์โด้ Engine Patents Limited ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2458
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งบริษัทได้ช่วยพัฒนาเครื่องยนต์ใช้สำหรับเรือเหาะ ที่มีกำลัง 600 แรงม้า (450 กิโลวัตต์)
ในฤดูใบไม้ พ.ศ. 2459 ได้ช่วยในการออกแบบอุปกรณ์ที่ช่วยเคลื่อนย้ายรถถังประจัญบาน 25 ตัน (28 ตัน) ไว้บนรถไฟ
ต่อมาได้ออกแบบเครื่องยนต์แบบครอสเฮด 4 จังหวะสำหรับรถถัง Mark Vซึ่งผลิตกำลังได้ 150 แรงม้า (110 กิโลวัตต์) ควันไอเสียน้อยเพื่อเลี่ยงการพบเห็นจากศัตรู

หลังสงคราม

บริษัทได้พัฒนาเครื่องยนต์ใช้วาล์วด้านข้างซึ่งลดระยะห่างระหว่างลูกสูบและฝาสูบ ดังนั้นจึงเป็นผลดีทั้งหมดของเครื่องยนต์วาล์วอยู่เหนือลูกสูบโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เครื่องยนต์ชนิดใหม่นี้เรียกว่า turbulent head ได้รับการจดสิทธิบัตรในปี พ.ศ. 2475
บริษัทได้ออกแบบเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ที่ผลิตกำลัง 130 แรงม้า (97 กิโลวัตต์) ซึ่งผลิตโดย AEC เพื่อใช้ในรถบัสลอนดอน เครื่องยนต์ประเภทนี้ซึ่งมีชื่อว่า The Comet ถูกครอบครองโดย Berliet และ Citroën จากฝรั่งเศส, MAN จากเยอรมนี และ Fiat และ Breda จากอิตาลี และอื่นๆ อีกมากมาย
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 เซอร์เฮนรี ทิซาร์ด ประธานคณะกรรมการวิจัยการบินซึ่งเป็นผู้เสนอเครื่องยนต์กำลังสูง "sprint" สำหรับเครื่องบินรบ และผู้ที่เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการใช้เครื่องยนต์ดังกล่าวพร้อมกับภัยคุกคามจากกำลังทางอากาศของเยอรมันที่กำลังใกล้เข้ามา สนับสนุนให้ริคาร์โด้พัฒนาเครื่องยนต์ซึ่งคือเครื่องยนต์ Rolls-Royce Crecy 
ในปี 1938 บริษัท Ricardo ได้พัฒนาเครื่องยนต์ V-16 สำหรับ Alfa Romeo Tipo 162 ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีตัวถังมีความคล่องตัวสูง ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 
ในคริสต์ทศวรรษ 1950 บริษัทได้ทำงานร่วมกับผู้ออกแบบหัวรถจักรการรถไฟ พันโทหลุยส์ เฟรเดอริก รัดสตัน เฟล เพื่อพัฒนาเครื่องยนต์สำหรับหัวรถจักร 4-8-4 Fell ในปี พ.ศ. 2511 กองทัพเรือสหรัฐได้ทำสัญญากับบริษัท Ricardo เพื่อพัฒนาพลังงานดีเซลที่สามารถทำงานในเรือดำน้ำได้เป็นระยะเวลานานที่ระดับความลึกของมหาสมุทรได้ถึง 600 ฟุต (180 ม.) ในปี 1970 
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 บริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ซี รีส์ BMW K1200 ซึ่งต่อมาได้รับการติดตั้งกับรุ่นBMW Motorrad K1300S, K1300GT และK1300R ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 
ในประมาณปี 2008 บริษัทได้พัฒนาเครื่องยนต์ที่สามารถสลับระหว่างรอบสองจังหวะและสี่จังหวะโดยความร่วมมือกับ Denso , Jaguar Land Roverและศูนย์วิศวกรรมยานยนต์ที่มหาวิทยาลัย Brighton เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากถึง 25% บริษัทร่วมมือกับXtrac โดยช่วยเหลือใน การผลิตชิ้นส่วนบางส่วนสำหรับกระปุกเกียร์ 1,044 ซึ่งจัดหาในปี 2010 ให้กับทีม Formula One สามทีม: Lotus , Virgin และ HRT 
ในปี 2009 McLaren Automotiveเลือก Ricardo ให้พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 3.8 ลิตร ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อMcLaren M838T ซุปเปอร์คาร์

การคืนชีพของตำนาน 
อดีต EXE181  ทำความเร็ว 415 กม./ชม. (คศ 1959)
[img]https://f.ptcdn.info/210/084/000/lweijmprikDqEOxXLji-o.jpg[/img
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่