ความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
การบรรยายลักษณะของศาสนาและลัทธิความเชื่อใหญ่ๆของโลก: ศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม คริสต์ศาสนา และลัทธินิวเอจ
       

 
เราทุกคนอยากดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จในระดับใดระดับหนึ่ง ด้วยความรู้สึกที่ว่าวิธีการดำเนินชีวิตของเรานั้นถูกต้อง และถ้ามีคนบอกแก่เราว่า เขาได้พบวิธีการมีชีวิตที่น่าพึงพอใจหรือมีความหมายแล้ว สิ่งที่เราน่าจะทำ อย่างน้อยก็ควรเข้าไปดูว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เขากล่าวนั้นเป็นอย่างไร แล้วศาสานาใหญ่ๆของโลกล่ะ กล่าวถึงเรื่องการดำเนินชีวิตไว้ว่าอย่างไรบ้าง? ในศาสนาและความเชื่อเหล่านั้นมีอะไรบ้างไหม ที่ทำให้ชีวิต ของเรามั่นคงและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น?
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากศาสนาและลัทธิความเชื่อที่สำคัญของโลก นั่นก็คือ ศาสนาฮินดู ลัทธินิวเอจ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลามและคริสตศาสนา* ข้อมูลในนี้เป็นการกล่าวถึงอย่างกว้างๆของเนื้อหาหรือความเชื่อ คุณลักษณะเฉพาะของศาสนาหรือลัทธิความเชื่อนั้นๆ และสิ่ง ที่เราจะได้รับจากข้อมูลเหล่านี้ หลังจากนั้นผู้เขียนจะอธิบายว่าคำสอนของพระเยซูแตกต่างอย่างไรจากศาสนาหรือลัทธิความเชื่อที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านั้น เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพิจารณาของคุณเอง
*ระบบของศาสนาเหล่านี้มีถูกแบ่งด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน สิ่งที่จะอธิบายในบทความนี้ เน้นไปที่หัวใจของระบบความเชื่อนั้นๆ ศาสนาหรือลัทธิความเชื่ออื่นๆ เช่นลัทธิยูดาห์ เราสามารถจะพูดคุยได้ด้วยเช่นกัน แต่ในที่นี้เลือกเฉพาะศาสนาและลัทธิความเชื่อเหล่านี้เท่านั้น
ศาสนาฮินดู
 ชาวฮินดูส่วนมากนับถือเทพศูนย์รวมผู้สูงสุดองค์หนึ่ง คือพระพรหม ซึ่งมีหลายพระภาคด้วยกันทั้งในภาคของเทพหรือพระและเทพธิดา หรือเจ้าแม่ การปรากฎองค์ที่แตกต่างกันของพระพรหม โดยผ่าน เทพธิดาและเทพบุตรเหล่านี้ได้จุติมาอยู่ใน รูปเคารพ วัดและวิหาร ผู้นำศาสนา แม่น้ำ สัตว์ต่างๆ เป็นต้น ชาวฮินดูเชื่อว่าสถานะที่พวกเขาเป็นอยู่เดี๋ยวนี้มาจากผลการกระทำ ในชาติก่อนของพวกเขา ถ้าพฤติกรรมของเขาในชาติก่อนชั่วร้ายมากๆ เขาอาจจะต้องประสบกับชีวิตที่ยากลำบากมากในชาตินี้ เป้าประสงค์ ของชาวฮินดูคือการได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม...คือการเป็นอิสระจากวงจรของวัฏสงสาร (การเวียนว่าย ตายเกิด)
มีหนทางที่เป็นไปได้อยู่สามทาง ในการหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม: 1.อุทิศตัวด้วยใจรักต่อเทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดก็ได้ในศาสนาฮินดู 2.เพิ่มพูนขึ้นในความรู้โดยผ่านการบำเพ็ญภาวนาให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับองค์พระพรหม(แปลว่าการเป็นหนึ่งเดียว)...เพื่อที่จะระลึกได้ว่า สถานการณ์ต่างๆในชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งตัวตนของเรานั้นคือภาพลวงตาและสิ่งเดียวที่แท้จริงก้คือพระพรหมเท่านั้น 3. ทำตามระเบียบแบบแผนและ ศาสนพิธีต่างๆอย่างเคร่งครัด
ในศาสนาฮินดู ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกว่า จะไปให้ถึงความสมบูรณ์แบบทางจิตวิญญาณโดยวิธีใด และยังมีคำอธิบายที่เป็นไปได้เกี่ยวกับความทุกข์ยากและสิ่งชั่วร้ายที่มีอยู่ในโลกนี้อีกด้วย ตามความเชื่อของฮินดู ความทุกข์ที่ทุกคนประสบ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย หรือความอดอยาก หรือภัยพิบัติ เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วกับคนๆนั้นเพราะการกระทำที่ชั่วร้ายของเขาเอง ส่วนใหญ่เป็นมาจากชีวิตในชาติก่อนของเขา จิตวิญญาณเท่านั้นที่มีความสำคัญ ซึ่งในวันหนึ่งจะเป็นอิสระจากวงจรแห่งการเกิดใหม่ และได้พักสงบ
นิวเอจ
 พวกนิวเอจสนับสนุนความคิดที่ว่าคนเราสามารถที่จะพัฒนาพลัง ในตัวของเราเอง และเป็นพระเจ้าได้ เมื่อพูดถึงพระเจ้า พวกเขา จะไม่พูดถึงพระเจ้าผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง หรือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง ที่เรารู้จักเป็นส่วนตัวได้ แต่จะพูดถึงพระเจ้าในลักษณะที่เป็น จิตสำนึกที่สูงส่งกว่าพวกเขา พวกที่เชื่อในลัทธินิวเอจจะมองตัว ของเขาเองว่าเป็นพระเจ้า เป็นพลังงานในจักรวาล หรือเป็นจักรวาล เลยด้วยซ้ำไป ในความเป็นจริงแล้ว ตามความเชื่อของพวกเขา ทุกอย่างที่คนๆนั้นเห็น ได้ยิน รู้สึกหรือจินตนาการได้จะถูกเรียกว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์(พระเจ้า)ทั้งสิ้น
พวกนิวเอจเลือกที่จะใช้ความหลากหลายในการอธิบายถึงความเชื่อของเขา ซึ่งถูกเรียกว่าการสะสมธรรมเนียมโบราณด้านจิตวิญญาณ พวกเขารับทราบ ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทพธิดาทั้งหลาย เหมือนกับชาวฮินดู โลกนี้ถูกมองว่าเป็นแหล่งของสิ่งที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณทั้งหลาย และมีสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึกและความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวของมันเอง แต่สิ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือตนเอง ตนเองคือแหล่งกำเนิด ผู้ควบคุมและ พระเจ้าของทั้งหมด ไม่มีความจริงอื่นใดนอกเหนือจากที่ตนเองกำหนดให้มันมี
ลัทธินิวเอจสอนเนื้อหาที่กว้างขวาง เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับของโลกตะวันออก และจิตวิญญาณ ปรัชญาที่เกี่ยวข้องความจริงในธรรมชาติ เทคนิคเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการหายใจ การสวด การรัวกลอง การทำสมาธิ เพื่อที่จะพัฒนาความเปลี่ยนแปลงภาวะจิตและการเป็นพระเจ้าของเขาผู้นั้น
ประสบการณ์ในทางลบที่คนๆหนึ่งมี (ความล้มเหลว ความเศร้าเสียใจ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัวและความเจ็บปวด)นั้น เป็นเพียงภาพลวงตา การเชื่อว่าตัวเขาเองคือ ผู้ที่ควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือชีวิตของตน ไม่มีสิ่ง ที่ไม่ถูกต้องในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นในทางร้ายหรือเป็นความเจ็บปวดก็ตาม คนๆหนึ่งในเวลาต่อมา สามารถพัฒนาทางจิตวิญญาณจนมาถึงจุดที่ว่า ชีวิตไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่มีความเป็นจริงใดๆภายนอก คนๆนั้นได้กลายมาเป็นพระเจ้า และสร้างความเป็นจริงของเขาขึ้นมาเอง
ศาสนาพุทธ
 ชาวพุทธไม่ได้นมัสการเทพเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดทั้งสิ้น คนที่ไม่ใช่ ชาวพุทธมักจะคิดว่า ชาวพุทธนมัสการพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้า(หรือเจ้าชายสิทธถะ)ไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านเป็นพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านในสายตาของชาวพุทธ คือผู้ที่บรรลุผลของสิ่ง ที่ชาวพุทธทุกคนต้องการจะบรรลุ นั่นคือการตรัสรู้ และด้วยสิ่งนี้นั่นเอง เขาก็จะมีอิสระจากวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธส่วนมาก เชื่อว่าพวกเขามีการเกิดใหม่หลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็จำเป็น ต้องเกี่ยวข้องกับการทนทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาวพุทธแสวงหาทาง ที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ ชาวพุทธเชื่อว่าการตกอยู่ในวังวนเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากความอยากมีอยากได้ ความไม่พอใจ และความมัวเมา ลุ่มหลงของคนๆนั้นเอง ดังนั้นเป้าประสงค์ของชาวพุทธก็คือการทำจิตใจให้บริสุทธ์และปล่อยวางความต้องการของสิ่งที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และการยึดติดกับตนเอง
ชาวพุทธเชื่อฟังและปฏิบัติตามหลักการต่างๆในคำสอนของศาสนา และทำสมาธิภาวนาอย่างเคร่งครัด เมื่อชาวพุทธทำสมาธิภาวนา มันจะไม่เหมือนกับการอธิษฐานหรือการเพ่งความสนใจที่พระหรือเจ้า แต่เป็นเรื่องวินัยทางฝ่ายวิญญาณมากกว่า โดยทางการฝึกฝนทำสมาธินี้คนๆหนึ่งอาจจะถึงนิพพานได้นั่นคือการ“ขจัดออกไป”ซึ่งไฟแห่งความปรารถนา
ศาสนาพุทธให้แนวทางซึ่งค่อนข้างเป็นความจริงในศาสนาต่างๆของโลก คือการมีวินัย มีค่านิยมที่ดีและให้มีทิศทาง ซึ่งคนทั่วไปอาจจะต้องการที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางนั้น
ศาสนาอิสลาม
 ศาสนาอิสลามเชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียวซึ่งพวกเขา เรียกว่า องค์อัลเลาะห์ ผู้เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ผู้อยู่เหนือกว่ามวล มนุษยชาติ องค์อัลเลาะห์นั้นถูกมองว่าเป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งสิ้น และเป็นแหล่งของทั้งความดีและความชั่วร้ายทั้งมวล ทุกสิ่งที่เกิด ขึ้นเป็นเจตจำนงขององค์อัลเลาะห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรง มีฤทธิ์มากและเป็นผู้พิพากษาที่เข้มงวด ผู้ที่จะแสดงความเมตตา ต่อผู้ติดตามของพระองค์ ตามการกระทำความดีอย่างเพียงพอ และการอุทิศตัวให้แก่ศาสนา ความสัมพันธ์ของผู้ติดตามองค์อัลเลาะห์และตัวพระองค์เอง เหมือนกับพวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
แม้ว่าชาวมุสลิมจะยกย่องผู้พยากรณ์ท่านอื่นๆ แต่ถือว่าท่านมูฮัมหมัดคือผู้พยากรณ์คนสุดท้าย คำสอน และวิถีการดำเนินชีวิตของท่านถือว่ามีสิทธิอำนาจ การเป็นมุสลิม คือคุณต้องถือหน้าที่ทางศาสนา 5 อย่างด้วยกัน
1.ทบทวนข้อบัญญัติทางศาสนาเกี่ยวกับองค์อัลเลาะห์และท่านมูฮัมหมัด 2.มีการละหมาดโดยท่องจำคำสวดภาษาอารบิค ห้าครั้งต่อวัน 3.ให้ทานแก่คนยากจน 4.หนึ่งเดือนของแต่ละปี(รอมาดอน)ให้มีการงดอาหาร เครื่องดื่ม การมีเพศสัมพันธ์และการสูบบุหรี่ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก 5.ไปแสวงบุญหนึ่งครั้งในชีวิต เพื่อร่วมนมัสการที่สถานศักดิ์สิทธิ์ในนครเมกกะ ชาวมุสลิม เมื่อตาย ก็หวังที่จะได้ไปอยู่ที่สวรรค์ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่ได้ไปสวรรค์ เขาก็ต้องได้รับโทษเป็นนิรันดร์ในนรก
สำหรับหลายๆคน ศาสนาอิสลามทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ดูไปด้วยกันได้ ศาสนาอิสลามสอนว่า มีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว ผู้ซึ่งรับการนมัสการโดยการกระทำความดีและวินัยในการทำตามพิธีกรรมต่างๆทางศาสนาของพวกผู้ติดตาม หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว คนๆนั้นจะได้รับรางวัลหรือรับการลงโทษ ขึ้นอยู่กับการอุทิศตัวให้แก่ศาสนาของเขาผู้นั้น
คริสตศาสนา -- ความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์
 คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งทรงสำแดงพระองค์ เองแก่เราและทรงให้เรารู้จักเป็นการส่วนตัวในชีวิตนี้ได้ คริสเตียน ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่พิธีกรรมทางศาสนาหรือการกระทำความดี แต่ความสนใจอยู่ที่ การชื่นชมในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเติบโต ในการรู้จักกับพระองค์มากขึ้นโดยทางพระเยซูคริสต์ การมีความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่แค่ที่คำสอนของพระองค์เท่านั้น เป็นวิธีที่คริสเตียนจะประสบกับความชื่นชมยินดีและชีวิตที่มีความหมาย เมื่อพระเยซูยังทรงดำเนินพระชนม์อยู่บนโลก พระองค์ไม่เคยกล่าวถึงตนเองว่า ทรงเป็นผู้พยากรณ์ที่ชี้ให้คนเห็นพระเจ้า หรือทรงกล่าวว่าตนเอง คือพระอาจารย์ที่สอนหนทางการตรัสรู้ พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ยกโทษความผิดบาปของผู้คน และตรัสว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระองค์ตรัสประโยคนี้ว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”1
พวกคริสเตียนถือว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์คือข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรของพระเจ้าที่ทรงมีมาถึงมวลมนุษย์ พระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตและการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่เปิดเผยให้เราเห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า ความรักและความจริงของพระองค์ และวิธีที่คนหนึ่งคนใดจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้
ไม่ว่าคริสเตียนต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรในชีวิต พวกเขาสามารถหันเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงมีสติปัญญาและ ฤทธานุภาพ ผู้ซึ่งทรงรักพวกเขาอย่างแท้จริงได้ อย่างมั่นใจเสมอ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานและชีวิตของพวกเขาจะมีความหมาย ถ้าหากเขาดำเนินชีวิตอย่างเป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ศาสนาต่างๆของโลกมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไรบ้าง?
เมื่อมองดูที่ระบบของความเชื่อและความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า ของแต่ละศาสนาและลัทธิความเชื่อหลักๆของโลกแล้ว เราพบว่ามีความหลากหลายอยู่มากทีเดียว คือ
ศาสนาฮินดูรับรู้ว่ามีเทพเจ้าอยู่มากมาย
ศาสนาพุทธบอกว่าไม่มีพระเจ้า
พวกที่ติดตามลัทธินิวเอจเชื่อว่าพวกเขาคือพระเจ้า
พวกมุสลิมเชื่อในพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจและไม่สามารถรู้จักพระเจ้าองค์นี้ได้
คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก และเป็นผู้ที่เราสามารถเข้าถึงพระองค์ได้
แล้วคนในทุกศาสนาหรือความเชื่อนมัสการพระเจ้าองค์เดียวกันหรือไม่? ให้ลองมาพิจารณากันดู พวกนิวเอจสอนว่าทุกคนควรจะเพ่งความสนใจไปที่ภาวะทางจิตที่เกี่ยวข้องกับจักรวาล แต่คำสอนเช่นนั้นก็จะทำให้ชาวมุสลิมต้องละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขา ชาวฮินดูก็ต้องทิ้งความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าหลายองค์ของพวกเขา และชาวพุทธก็ต้องวางความเชื่อใหม่ที่ว่ามีพระเจ้าอยู่จริง
ศาสนาและลัทธิความเชื่อหลักๆของโลก(ฮินดู นิวเอจ พุทธ อิสลามและพวกผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์) แต่ละความเชื่อต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งสิ้น แต่มีอยู่ความเชื่อหนึ่ง ที่ยืนยันว่ามีพระเจ้าผู้ที่ทรงเป็นบุคคล ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เป็น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่