การเดินทางครั้งนี้ เกิดขึ้นจากวิชา GEN411 CULTURE AND EXCURSION เป็นการเดินทางเพื่อศึกษาวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ ในสถานที่ที่เราเลือก เราได้เลือกไปที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม และประเพณี ยังคงสืบถ่ายความดั้งเดิมไว้อยู่ และที่เราเลือกแม่กำปอง เพราะว่าเป็นชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังรักษาวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และ ธรรมชาติ
เราได้วางแผนที่จะไปทริปในระยะเวลา 4 วัน 3 คืน โดยจะไปวันที่ 10 - 13 เมษา โดยเราเดินทางด้วยเครื่องบิน จาก กทม. ไป เชียงใหม่ ในวันที่ 10 เมษา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งทริปนี้เราจะเหมารถยนต์ไปแม่กำปอง โดยค่าเดินทางด้วยเครื่องบินราคาประมาณ 2,600 บาท ราคาเหมารถ 1,500 บาท ราคารถตู้ 150 บาท เป็นราคาไปกลับนะ โดยเดินทางด้วยรถยนต์จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากตัวเมืองเชียงใหม้ไปแม่กำปอง
วันที่ 1
พวกเราไปเจอกันที่สนามบินเชียงใหม่ประมาณ 8:30 น. จากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ร้านใต้ถุนบ้าน ซึ่งตัวร้านจะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ในร้านจะมีเมนูไม่ค่อยเยอะ จะเน้นไปทางอาหารเช้าและที่สำคัญราคาไม่แพงนะทุกคน55555
ซึ่งวันแรกเราวางแพลนไว้ว่าจะเที่ยวในตัวเมืองก่อนขึ้นไปบนดอย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พวกเราก็ได้เดินทางไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ซึ่งจะตั้งอยู่ตรงข้ามอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ในย่านกลางเวียงเชียงใหม่ และจะมีค่าเข้าคนละ 10 บาท จากนั้นพวกเราก็จะเดินชมนิทรรศการตามลูกศรที่ติดอยู่บนพื้น ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้คนในล้านนา ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อ ความศรัทธาและความเจริญรุ่งเรือง บางห้องมีการจัดวางที่สวยงามและดูน่าขนลุกไปในตัว พวกเราใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นพวกเราก็เดินไปต่อกันที่หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ จะมีค่าเข้าคนละ 10 บาท ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดแสดงเกี่ยวกับความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีทางด้านการปกครอง วิถีชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะมีการนำเสอในรูปแบบที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นนำเสนอผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สื่อวิดีทัศน์และสไลด์โชว์และยัง มีแผนผังเมืองเชียงใหม่ในสมัยก่อนให้เราได้ชมอีกด้วย
หลังจากที่เดินเข้าชมหอศิลปะวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่เสร็จพวกเราก็แวะไปทำบุญที่วัดอิทขีลสะดือเมืองเชียงใหม่กันต่อ ซึ่งแต่ก่อนพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นที่ตั้งเสาหลักเมืองของเมืองเชียงใหม่ และพวกเราก็ได้ทำบุญช่อตุงประจำวันเกิด ซึ่งก็จะมีช่อตุง 1 ช่อ และทราย 1 ถัง จากนั้นก็นำช่อตุงไปปักไว้ตรงกระถางปะจำวันเกิดและเททรายลงข้างล่าง ก่อนจะขึ้นดอยก็ได้ทำการแวะเข้าไปไหว้พระกันก่อน
จากนั้นพวกเราก็เหมารถขึ้นไปที่พักที่ได้จองไว้ ซึ่งที่พักที่พวกเราจะเข้าไปพักมีชื่อว่า morning ธารทอง จะอยู่ห่างจากหมู่บ้านแม่กำปองประมาณ 3 กม. และตรงข้ามที่พักจะเป็นโครงการหลวงตีนตก ซึ่งที่พักจะตกแต่งสไตล์ลอฟท์ ห้องพักจะมีทั้งหมดประมาณ 5 ห้อง ทางขึ้นไปบนดอยคือคดเคี้ยวมาก ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ยิ่งหูอื้อขึ้นเรื่อยๆ และพวกเราหูอื้อกันตลอดทางค่ะ55555 ถ้าใครที่เมารถบ่อยๆแนะนำให้ทานยาแก้เมารถไปด้วยเลยค่ะ อ๋อและก็จะมีทริคเล็กๆน้อยๆในการขึ้นดอยเพื่อไม่ให้หูอื้อ คือเราจะต้องเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วยในระหว่างที่กำลังขึ้นดอย จากนั้นเมื่อไปถึงที่พัก พวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันต่อไป
สรุปค่าใช้จ่ายในวันแรก
-ค่าที่พัก 4 วัน 3 คืน 1,650 บาท/คน
-ค่าอาหารเช้าประมาณ 100-230 บาท/คน
- ค่าเข้าชมนิทรรศการทั้ง 2 ที่ 20 บาท/คน
-ค่าทำบุญ
-ค่าอาหารเที่ยง&เย็น อันนี้แล้วแต่บุคคล55555
วันที่ 2
ในเช้าวันที่ 2 พวกเราตื่นเช้าเพื่อที่จะไปตักบาตรในหมู่บ้าน ต่อไปคือหาข้าวเช้ากิน โดยมื้อแรกเราฝากท้องที่ร้านดัง นั้นก็คือ 'ร้านข้าวซอยกลอยใจ' โดยพวกเราได้ หลังจากเราได้กินข้าวเช้ากันจนอิ่มแล้ว (ราคาอาหารแอบบสูงนะแต่เข้าใจได้ว่าแหล่งท่องเที่ยวเลยคิดว่าช่างมัน555)
หลังจากอิ่มท้อง เราได้เดินทางต่อไปยัง 'วัดกลางน้ำ' หรือที่รู้จักในชื่อ 'วัดคันธาพฤกษา' ความงดงามของวัดนี้ไม่สามารถอธิบายได้ครบถ้วนด้วยคำพูด เป็นวัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางน้ำตกที่มีเสียงของน้ำไหลเอื่อยๆ สร้างบรรยากาศที่ร่มเย็นและสงบอย่างยิ่ง เราได้ใช้เวลาเดินเล่นรอบๆ วัด, ถ่ายรูป และศึกษาประวัติของหมู่บ้าน
ต่อมาเราก็เดินขึ้นมสำรวจหมู่บ้าน และเรามีแผนที่จะไปดูโรงคั่วกาแฟของหมู่บ้านแต่สอบถามคนในหมู่บ้าน เหมือนว่าโรงคั่วกาแฟจะเปิดก็ต่อเมื่อมีออเดอร์มาก่อนถึงจะเปิด เราเลยไปนั่งกินกาแฟที่ร้าน ฮ่อมดอย ที่อยู่ใกล้กับโรงคั่วกาแฟ เราได้พูดกับพี่เจ้าของร้านกาแฟเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตต่างๆในหมู่บ้าน วิถีหมู่บ้านแต่ก่อน แบบคร่าวๆ แล้วพี่เจ้าของร้านกาแฟก็แนะนำให้เราไปพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน
รายละเอียดที่ลงลึกกว่านี้กับผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่ชื่อว่า คุณธีรเมศว์ ขจรรัตนภิรมย์ หรือคนในหมู่บ้านจะเรียกว่า พ่อใหญ่ เราถามถึงประเด็นต่างๆ เช่นทำไมหมู่บ้านแม่กำปองถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำไมถึงเจริญกว่าแต่ก่อน (คุยกับเกือบ 3 ชั่วโมง) รายละเอียดเยอะมาก
หลังจากที่เราพูดคุยทางพ่อใหญ่ก็ให้เราดูโรงคั่วกาแฟอีกรอบ ให้เราเข้าไปดูการคั่วกาแฟ ไร่กาแฟ ที่ไม่ใช่ไร่กาแฟ เพราะว่าส่วนใหญ่ร้านกาแฟที่เก็บมานั้นเก็บตามป่า ตามเขา ที่ไม่ใช่ไร่ที่ทำการเพาะปลูกกับจริงจังขนาดนั้น แต่กาแฟแม่กำปองพึ่งจะมีมาไม่นานมาก แต่ที่คนในหมู่บ้านทำกันหลักๆเมื่อก่อนก็คือเก็บใบเหมี่ยง ใบเหมี่ยงของแม่กำปอง มีขึ้นอยู่ในทุกพื้นที่ในระแวกหมู่บ้านอยู่นานแล้ว
และพ่อใหญ่ยังมาไปดูพิพิธภัณฑ์คน-ป่า-เหมี้ยง ที่เต็มไปด้วยศิลปะจากศิลปินต่างๆที่วาดหมู่บ้านแม่กำปองเอาไว้ และยังมีเครื่องมือที่ชาวบ้านใช้กับเมื่อก่อนอีกด้วย
สรุปจากที่ได้ไปคุยกับพ่อใหญ่มา ที่มาของการที่แม่กำปองกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างไง ในเมื่อก่อนนั้นหมู่บ้านแม่กำปองนั้น เป็นหมู่บ้านที่อยู่กลางเขา ในสมัยก่อนการเข้าถึงทรัพยาการต่างๆยังเข้าถึงได้ยากมาก ทั้งในเรื่องการเดินทาง ไฟฟ้า รายได้ต่างๆๆที่เข้าหมู่บ้าน ทางพ่อใหญ่ในตอนนั้นต้องทำสักอย่างให้มีรายได้เข้าถึงชาวบ้าน เลยคิดให้ชาวบ้านให้ทำธุรกิจโฮมสเตย์ เพื่อหารายได้เข้าหมู่บ้าน หลังจากนั้นอะไรหลายๆอย่างก็เริ่มดีขึ้น จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า จะไปเที่ยวเชียงใหม่ต้องไปแม่กำปอง และ ทางหมู่บ้านยังตั้งกฏว่าถ้าจะเปิดธุรกิจในหมู่บ้านต้องเป็นลูกหลานของคนในหมู่บ้านเท่านั้น กฏนี้เป็นกฏที่ทุกคนในหมู่บ้านยอมรับกันหมด เพื่อไม่ให้การทำธุรกิจทำลายสภาพแวดล้อมของหมู่บ้าน และยังคงเหลือวิถีชีวิตของในหมู่บ้านไว้อยู่
หลังจากที่ได้ไปพูดคุยสำรวจหมู่บ้านกันมามากพอแล้ว เราเลยแวะนั่งพัก ชมวิวที่ร้านบ้านต้นไม้ เป็นร้านเดียวในแม่กำปองที่จะเห็นอาทิตย์ตก เรานั่งเล่น นั่งคุยกันจนมืด หลังจากนั่นเราก็กลับที่พักกัน
วันที่ 3
พวกเราได้จ้างรถชาวบ้านที่เเม่กำปอง พวกเราตื่นตั้งเเต่ตี 4.30 น. เป็นเช้าที่อากาศเย็นมาก 23 °C เพื่อจะไป “ จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ’’ เพื่อไปดูทะเลหมอกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นคุณลุงมารับประมาณตี 5 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15-20 นาทีก็ถึงระยะการเดินทางเพียง 4 กิโลเมตรจากเเม่กำปอง ( เเต่ทางโค้งเยอะ เป็นโค้งหักศอก ) พอไปถึงจุดจอดรถแล้วก็เดินทางเท้าไปอีก 200 เมตรก็จะถึง “ จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ’’ จริงเเอบเสียดายที่พวกเราไม่ได้เห็นทะเลหมอก ได้เห็นเเต่ฝุ่น PM2.5 เเต่ก็เข้าใจ555 วันนั้นเลยทำให้มองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ไม่ชัดเจนเเต่ก็ได้มองเห็นภูเขารอบๆ เราก็จะสามารถเห็นทิวทัศน์ของ ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ และ เชียงราย อยู่ข้างบนอากาศเย็น เเอบหนาวนิดๆ ถือเป็นจุดชมวิวที่เห็นธรรมชาติได้กว้างมาก เป็นเช้าเเรกที่สดชื่นฟินกับธรรมชาติ พร้อมชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้น กิ่วฝิ่นเป็นรอยต่อระหว่างเชียงใหม่กับลำปาง พอพวกเราได้ลงมาจากกิ่วฝิ่นก็มีร้านกาเเฟ ร้านเล็กๆ มีทั้งชาร้อน กาเเฟร้อน เครื่องดื่มต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ด้านล่างจะมองเห็นฝั่งไปลำปางโดยจะมีเส้นทางก็เดินป่าไปลำปางเพื่อไปชม “ ดอกเสี้ยวบาน ’’ อาจจะเห็นบางช่วงที่มีดอกไม้บานเท่านั้น
ธรรมชาติจะสวยงามก็ต่อเมื่อเรามาเห็นด้วยตาตัวเอง มาสัมผัสธรรมชาติอากาศเย็นสบายที่กิ่วฝิ่นกัน“ จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ’’ ก็ยังเป็น Landmark อีกที่นึงของเเม่กำปองอยากให้ทุกคนลองขึ้นมาสัมผัสบรรยากาศที่นี้ด้วยตัวเอง มาเก็บภาพสวยๆ ชมหมอก เเละพระอาทิตย์ขึ้นรับอากาศเย็นในตอนเช้า
พวกเราก็ได้ลงไปที่หมู่บ้านเเม่กำปองประมาณช่วง 7โมงกว่าๆ ตอนเช้าๆบางร้านอาจจะยังไม่เปิด เราก็ได้ไปรับประทานอาหารเช้าที่ร้าน “ ไส้อั่วเเม่นิ่ม เเม่กำปอง ’’ อาหารมีเมนูต่างๆ เช่นไส้อั่ว หมูทอด เเหนมย่าง ปีกไก่ทอด น้ำพริก ห่อนึ่งไก่ เเกงฮังเล เป็นต้น เป็นอาหารพื้นเมืองของเเม่กำปองส่วนใหญ่รสชาติ อร่อย เครื่องเทสเครื่องเเกงหอมค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของที่นี้ ช่วงเช้าคนยังไม่ค่อยเยอะมาก พวกเราได้ทานอาหารเสร็จก็ได้เริ่มเดินป่าระยะสั้น เริ่มออกเดินทาง 8 โมงเช้าโดยมีชวบ้านที่แม่กำปองเป็นไกด์เดินทางให้พวกเรา โดยเส้นทางก็ขึ้นเดินป่ารอบในหมู่บ้าน เราก็เริ่มเดิน เจอต้นเมี้ยงที่ขึ้นเต็มตามเส้นทางที่พวกเราเดิน คุณป้าที่เป็นไกด์ก็จะหยุดเล่าประวัติความเป็นมาเป็นระยะๆ ทำให้เรารู้ที่มาคร่าวๆ ว่าคนแถวนี้มีอาชีพหลักคือการปลูกเมี้ยงขาย อาชีพเสริมคือการปลูกกาแฟ และการทำโฮมสเตย์ และเดินเดินไปเรื่อยๆ เจอพวกต้นกาแฟ และกลางป่าใหญ่จะเจอต้นใหม่ใหญ่ที่เขาเรียกกันว่าต้นตากับยาย 18คนโอบและ10 คนโอบตลอดเส้นทางที่พวกเราเดินไม่ค่อยเหนื่อยมาก แต่มันเต็มไปด้วยตื่นเต้น ที่พบเจอตลอดต้นไม้ที่มาต่างๆทำให้พวกเราสนใจ เดินจนถึงจุดปลายทางก็คือน้ำตกที่แม่กำปองที่มีทั้งหมด 7 ชั้นพวกเราก็ไปพิชิตมาแล้ว เส้นทางสูงชันตามทางน้ำไหลมีน้ำไหลเชียวตลอดทาง แต่เป็นน้ำตกสายเล็กๆ คาดว่าน่าจะมาจากเป็นยอดเขาแต่ชาวบ้านที่นี้ก็ไม่เคยพบต้นทางของน้ำว่าตรงไหน ช่วงเย็นๆพวกเราก็ได้กลับที่พักกันพักผ่อนเพื่อจะลุยต่อในวันพรุ่งนี้55555
สรุปการเดินทางในวันที่สาม
-ค่าจ้างไกด์ 300 บาท ตามระยะเส้นที่เราเลือก (ระยะสั้น)
-ค่าจ้างรถแบบเหมาทั้งวัน 800 บาท (ถือว่าคุ้มมาก ถ้าไปกันหลายคนหารๆกัน)
-ค่าอาหารขึ้นอยู่กับแต่ละคนในการเลือกทาน แต่ส่วนใหญ่ เรทค่าอาหารอาจไม่แพงมากแต่ละร้านเท่าๆกัน มื้อละประมาณ 100-200 บาท/คน
-จุมชมวิวกิ่วฝิ่น ,น้ำตกแม่กำปอง ,โครงการหลวงตีนตก (เข้า/ฟร
MAE KAMPONG VILLAGE x CHIANG MAI | Backpack Trip | GEN441
เราได้วางแผนที่จะไปทริปในระยะเวลา 4 วัน 3 คืน โดยจะไปวันที่ 10 - 13 เมษา โดยเราเดินทางด้วยเครื่องบิน จาก กทม. ไป เชียงใหม่ ในวันที่ 10 เมษา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งทริปนี้เราจะเหมารถยนต์ไปแม่กำปอง โดยค่าเดินทางด้วยเครื่องบินราคาประมาณ 2,600 บาท ราคาเหมารถ 1,500 บาท ราคารถตู้ 150 บาท เป็นราคาไปกลับนะ โดยเดินทางด้วยรถยนต์จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากตัวเมืองเชียงใหม้ไปแม่กำปอง
วันที่ 1
พวกเราไปเจอกันที่สนามบินเชียงใหม่ประมาณ 8:30 น. จากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ร้านใต้ถุนบ้าน ซึ่งตัวร้านจะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ในร้านจะมีเมนูไม่ค่อยเยอะ จะเน้นไปทางอาหารเช้าและที่สำคัญราคาไม่แพงนะทุกคน55555
ซึ่งวันแรกเราวางแพลนไว้ว่าจะเที่ยวในตัวเมืองก่อนขึ้นไปบนดอย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พวกเราก็ได้เดินทางไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ซึ่งจะตั้งอยู่ตรงข้ามอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ในย่านกลางเวียงเชียงใหม่ และจะมีค่าเข้าคนละ 10 บาท จากนั้นพวกเราก็จะเดินชมนิทรรศการตามลูกศรที่ติดอยู่บนพื้น ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้คนในล้านนา ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อ ความศรัทธาและความเจริญรุ่งเรือง บางห้องมีการจัดวางที่สวยงามและดูน่าขนลุกไปในตัว พวกเราใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นพวกเราก็เดินไปต่อกันที่หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ จะมีค่าเข้าคนละ 10 บาท ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดแสดงเกี่ยวกับความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีทางด้านการปกครอง วิถีชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะมีการนำเสอในรูปแบบที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นนำเสนอผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สื่อวิดีทัศน์และสไลด์โชว์และยัง มีแผนผังเมืองเชียงใหม่ในสมัยก่อนให้เราได้ชมอีกด้วย
หลังจากที่เดินเข้าชมหอศิลปะวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่เสร็จพวกเราก็แวะไปทำบุญที่วัดอิทขีลสะดือเมืองเชียงใหม่กันต่อ ซึ่งแต่ก่อนพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นที่ตั้งเสาหลักเมืองของเมืองเชียงใหม่ และพวกเราก็ได้ทำบุญช่อตุงประจำวันเกิด ซึ่งก็จะมีช่อตุง 1 ช่อ และทราย 1 ถัง จากนั้นก็นำช่อตุงไปปักไว้ตรงกระถางปะจำวันเกิดและเททรายลงข้างล่าง ก่อนจะขึ้นดอยก็ได้ทำการแวะเข้าไปไหว้พระกันก่อน
จากนั้นพวกเราก็เหมารถขึ้นไปที่พักที่ได้จองไว้ ซึ่งที่พักที่พวกเราจะเข้าไปพักมีชื่อว่า morning ธารทอง จะอยู่ห่างจากหมู่บ้านแม่กำปองประมาณ 3 กม. และตรงข้ามที่พักจะเป็นโครงการหลวงตีนตก ซึ่งที่พักจะตกแต่งสไตล์ลอฟท์ ห้องพักจะมีทั้งหมดประมาณ 5 ห้อง ทางขึ้นไปบนดอยคือคดเคี้ยวมาก ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ยิ่งหูอื้อขึ้นเรื่อยๆ และพวกเราหูอื้อกันตลอดทางค่ะ55555 ถ้าใครที่เมารถบ่อยๆแนะนำให้ทานยาแก้เมารถไปด้วยเลยค่ะ อ๋อและก็จะมีทริคเล็กๆน้อยๆในการขึ้นดอยเพื่อไม่ให้หูอื้อ คือเราจะต้องเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วยในระหว่างที่กำลังขึ้นดอย จากนั้นเมื่อไปถึงที่พัก พวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันต่อไป
สรุปค่าใช้จ่ายในวันแรก
-ค่าที่พัก 4 วัน 3 คืน 1,650 บาท/คน
-ค่าอาหารเช้าประมาณ 100-230 บาท/คน
- ค่าเข้าชมนิทรรศการทั้ง 2 ที่ 20 บาท/คน
-ค่าทำบุญ
-ค่าอาหารเที่ยง&เย็น อันนี้แล้วแต่บุคคล55555
วันที่ 2
ในเช้าวันที่ 2 พวกเราตื่นเช้าเพื่อที่จะไปตักบาตรในหมู่บ้าน ต่อไปคือหาข้าวเช้ากิน โดยมื้อแรกเราฝากท้องที่ร้านดัง นั้นก็คือ 'ร้านข้าวซอยกลอยใจ' โดยพวกเราได้ หลังจากเราได้กินข้าวเช้ากันจนอิ่มแล้ว (ราคาอาหารแอบบสูงนะแต่เข้าใจได้ว่าแหล่งท่องเที่ยวเลยคิดว่าช่างมัน555)
และพ่อใหญ่ยังมาไปดูพิพิธภัณฑ์คน-ป่า-เหมี้ยง ที่เต็มไปด้วยศิลปะจากศิลปินต่างๆที่วาดหมู่บ้านแม่กำปองเอาไว้ และยังมีเครื่องมือที่ชาวบ้านใช้กับเมื่อก่อนอีกด้วย
หลังจากที่ได้ไปพูดคุยสำรวจหมู่บ้านกันมามากพอแล้ว เราเลยแวะนั่งพัก ชมวิวที่ร้านบ้านต้นไม้ เป็นร้านเดียวในแม่กำปองที่จะเห็นอาทิตย์ตก เรานั่งเล่น นั่งคุยกันจนมืด หลังจากนั่นเราก็กลับที่พักกัน
วันที่ 3
พวกเราได้จ้างรถชาวบ้านที่เเม่กำปอง พวกเราตื่นตั้งเเต่ตี 4.30 น. เป็นเช้าที่อากาศเย็นมาก 23 °C เพื่อจะไป “ จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ’’ เพื่อไปดูทะเลหมอกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นคุณลุงมารับประมาณตี 5 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15-20 นาทีก็ถึงระยะการเดินทางเพียง 4 กิโลเมตรจากเเม่กำปอง ( เเต่ทางโค้งเยอะ เป็นโค้งหักศอก ) พอไปถึงจุดจอดรถแล้วก็เดินทางเท้าไปอีก 200 เมตรก็จะถึง “ จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ’’ จริงเเอบเสียดายที่พวกเราไม่ได้เห็นทะเลหมอก ได้เห็นเเต่ฝุ่น PM2.5 เเต่ก็เข้าใจ555 วันนั้นเลยทำให้มองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ไม่ชัดเจนเเต่ก็ได้มองเห็นภูเขารอบๆ เราก็จะสามารถเห็นทิวทัศน์ของ ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ และ เชียงราย อยู่ข้างบนอากาศเย็น เเอบหนาวนิดๆ ถือเป็นจุดชมวิวที่เห็นธรรมชาติได้กว้างมาก เป็นเช้าเเรกที่สดชื่นฟินกับธรรมชาติ พร้อมชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้น กิ่วฝิ่นเป็นรอยต่อระหว่างเชียงใหม่กับลำปาง พอพวกเราได้ลงมาจากกิ่วฝิ่นก็มีร้านกาเเฟ ร้านเล็กๆ มีทั้งชาร้อน กาเเฟร้อน เครื่องดื่มต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ด้านล่างจะมองเห็นฝั่งไปลำปางโดยจะมีเส้นทางก็เดินป่าไปลำปางเพื่อไปชม “ ดอกเสี้ยวบาน ’’ อาจจะเห็นบางช่วงที่มีดอกไม้บานเท่านั้น
ธรรมชาติจะสวยงามก็ต่อเมื่อเรามาเห็นด้วยตาตัวเอง มาสัมผัสธรรมชาติอากาศเย็นสบายที่กิ่วฝิ่นกัน“ จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ’’ ก็ยังเป็น Landmark อีกที่นึงของเเม่กำปองอยากให้ทุกคนลองขึ้นมาสัมผัสบรรยากาศที่นี้ด้วยตัวเอง มาเก็บภาพสวยๆ ชมหมอก เเละพระอาทิตย์ขึ้นรับอากาศเย็นในตอนเช้า
สรุปการเดินทางในวันที่สาม
-ค่าจ้างไกด์ 300 บาท ตามระยะเส้นที่เราเลือก (ระยะสั้น)
-ค่าจ้างรถแบบเหมาทั้งวัน 800 บาท (ถือว่าคุ้มมาก ถ้าไปกันหลายคนหารๆกัน)
-ค่าอาหารขึ้นอยู่กับแต่ละคนในการเลือกทาน แต่ส่วนใหญ่ เรทค่าอาหารอาจไม่แพงมากแต่ละร้านเท่าๆกัน มื้อละประมาณ 100-200 บาท/คน
-จุมชมวิวกิ่วฝิ่น ,น้ำตกแม่กำปอง ,โครงการหลวงตีนตก (เข้า/ฟร