จากพนักงานรัฐวิสาหกิจเงินเดือน 10,000 สู่พนักงานเอกชน 350,000 บาทต่อเดือน ในวัย 43

ขอแชร์ประสบการณ์ การทำงานให้เพื่อนๆ และคนที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่ชีวิตการทำงานเผื่อไว้เป็นแนวทาง 

เจ้าของกระทู้เรียนจบวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยของรัฐ ในปี 2545 พอเรียนจบก็โชคดีจับได้ใบแดงไปเป็นทหาร 1 ปี พอปลดประจำการมาก็ไปสอบเข้า รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่มีหน้าทีผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า แต่เนื่องจากที่รัฐหวิสาหกิจ ดังกล่าวยังไม่ได้เปิดรับ จึงไปสัมครงานแถวนิคมแหลมฉบัง ก็ได้ทำงานเป็นวิศวกรเป็นเวลา 1 ปี และย้ายมาทำงานรัฐวิสาหกิจดังกล่าว (แอบภูมิใจเพราะตอนสอบเข้าได้คะแนนข้อเขียน เป็นอันดับ 1) 

ชีวิตการทำงานรัฐวิสาหกิจ:
ต้องเกริ่นก่อนว่า จขก อาศัยอยู่ในบ้านพักพนักงานของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวตั้งแต่ยังจำความได้ เพราะคุณพ่อ เป็นพนักงานในรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ทำให้ จขก มีความตั้งใจตั้งแต่เด็กที่จะเข้าทำงานที่นี่ให้ได้ และสุดท้ายความตั้งใจแรกก็เป็นจริง 

วันที่เริ่มทำงานวันแรกคือ 16 มกราคม 2548 พร้อมกับเงินเดือนเริ่มต้น 10,000 บาท บวกค่าวิศวกร 4,000 บาท ก็ถือว่าท้าทายกับชีวิตของการเริ่มต้นทำงานในเมืองใหญ่ที่ค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งตอนนั้น จขก เช่าบ้าน เดือนละ 4,000 บาท บวกกับที่ชีวิตช่วงนั้นชอบเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนๆ ทำให้เงินเดือนแทบจะไม่เหลือเลย แต่สุดท้ายก็ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้

ตอนเข้าไปทำงานใหม่ๆ เจอความท้าทายหนึ่งที่ จขก ตั้งใจจะต้องทำให้ได้คือ การทำให้พี่ๆ ช่าง ปวช ปวส ยอมรับเราในฐานะวิศวกร นั่นคือความตั้งใจแรกที่ตั้งใจจะต้องทำให้ได้ สุดท้ายก็สำเร็จในระยะเวลาประมาณ 4 ปี จขก สามารถผลักดันตัวเองจนไปเป็นวิทยากรพิเศษให้กับศูนย์ฝึกอบรมในรัฐวิสาหกิจดังกล่าวได้ นอกเหนือจากการทำงานที่หน่วยงานตนเอง กว่าจะทำได้ต้องใช้ความพยายามพอสมควรในการศึกษางาน ต้องทุ่มเทอย่างมากและต้องศึกษาให้มากกว่างานที่ตนเองรับผิดชอบเยอะมาก จนสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างดีในเรื่องยากๆ เรื่องที่ จขก เป็นวิทยากร เป็นเรื่องเฉพาะทางทางเทคนิค จำได้ว่าครั้งนึงมีคนที่เข้ารับการอบรม email มาขอบคุณที่สามารถถ่ายทอดเรื่องที่ยากๆ ให้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ พร้อมให้นิยามนึงกับ จขก ว่า "ศิลปิน คือ คนที่สามารถถ่ายทอดความเชื่อที่มองไม่เห็นให้คนอื่นสามารถเข้าใจได้" 

ระหว่างการทำงานที่นี่ จขก ก็ได้รับการประเมินเงินเดือนในระดับดีมากทุกปี ซึ่งก็เป็นผลจากความตั้งใจและมุ่งมั่นในการทำงาน จากนั้นเป้าหมายถัดมาในการทำงานของ จขก ก็เริ่มขึ้น เนื่องจากรัฐวิสาหกิจที่ จขก ทำงานอยู่มี วิศวกรจำนวนมากหลายพันคน และทุกปีจะมีการจัดงานชมรมวิศวกร และมอบรางวัลวิศวกรดีเด่นให้กับวิศวกรที่มีผลงานวิชาการดีเด่น ใช่แล้วครับเป้าหมายถัดไปของ จขก คือ การได้รับรางวัลวิศวกรดีเด่น ซึ่งแรงผลักดันหลักๆ คือต้องการให้พ่อและแม่ภูมิใจ หลังจากตั้งเป้าหมายใหม่แล้ว จากนั้นทุกๆปี จขก จะเขียนบทความวิชาการ และเข้าร่วมนำเสนอผลงานด้านวิชาการอย่างต่อเนื่อง ผลพลอยได้คือได้มีโอกาสไปนำเสนอผลงานใน ตปท. ทุกปี และแล้วความตั้งใจก็เป็นจริง หลังจากทำงานมาได้ 8 ปี จขก ก็ได้รับรางวัลวิศวกรดีเด่น จำได้ว่าตอนขึ้นไปรับรางวัลรู้สึกภูมิใจมากๆ และก็รับรู้ได้ว่าพ่อกับแม่ก็คงต้องภูมิใจมากๆ เช่นกัน 

สำหรับเรื่องเงินเดือน จขก ได้รับการพิจารณาขึ้นเงินเดือน 10-12% ทุกปี แต่เนื่องจากเงินเดือนเริ่มต้นไม่สูงทำให้เงินเดือนเพิ่มในแต่ละปีถ้าคิดเป็นตัวเงินก็ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ซึ่ง จขก เองได้แต่งงานและมีลูกคนแรกตอนอายุประมาณ 32 ปี แน่นอนว่าเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ต้องคิดถึงวิธีการที่จะสามารถทำให้มีรายได้มากขึ้นเพื่ออนาคตของลูกๆ 

เมื่อย่างเข้าสู่การทำงานปีที่ 11 ตอนนั้นเงินเดือนประมาณ 43,000 บาท ซึ่งปีนั้น จขก ก็มีลูกคนที่สอง ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญ ของ จขก อีกครั้งนึง 

จขก ลาออกจากรัฐวิสาหกิจ แห่งนี้หลังจากทำงานมาครบ 11 ปี และไปเริ่มงานกับบริษัทเอกชน 

ชีวิตการทำงานเอกชน:
เริ่มต้นการทำงานเอกชน จขก ได้เงินเดือนเพิ่มจากที่เดิมประมาณ 2 เท่า ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่ามากแล้วสำหรับ จขก และพอที่จะดูแลครอบครัวได้แบบไม่เดือดร้อน ความแตกต่างที่ชัดเจนในชีวิตการทำงานเอกชนคือการเหมือนได้เปิดโลกใหม่ จากโลกที่มุ่งเน้นด้านเทคนิค วิศวกรรม มาสู่โลกที่ได้เรียนรู้ทางด้านการเงินมากขึ้น การจะทำอะไรทุกๆอย่างต้องคำนึงถึงต้นทุน รายรับ รายจ่าย และกำไร ขาดทุน นอกเหนือจากเรื่องทางวิศวกรรมที่ได้ประสบการณ์ และความรู้ติดตัวมาจาก รัฐวิสาหกิจ ที่เดิม 

จขก ทำงานที่บริษัทเอกชนมาได้ประมาณ 8 ปีแล้ว ปัจจุบันรายรับเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 350,000 บาท ซึ่งถือว่ามาไกลจากวันแรกที่เริ่มทำงานที่รัฐวิสาหกิจมากๆ ซึ่ง จขก ก็ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดกับองค์การเหมือนเดิม ซึ่งผลที่ได้รับตอบแทนก็ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางที่ดี ทั้งการที่ได้รับการโปรโมทให้ได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องผ่านอะไรมามากมาย ทั้งความสนุก หัวเราะ รวมถึงคราบน้ำตาระหว่างทางเดินที่ผ่านมา แต่สุดท้ายถ้าเรายังมีความมุ่งมั่นตั้งใจ เราจะสำเร็จแน่นอนในวันนึง  สิ่งนึงที่ผมเชื่อคือ ปัญหาและอุปสรรคสอนอะไรให้กับชีวิตเราได้เสมอ ทั้งเรื่องบทเรียน และการเตรียมพร้อมในชีวิตจากบทเรียนที่เคยผ่านมา เพราะฉนั้นเมื่อเจอปัญหาและอุปสรรค อย่าเดินหนีมัน ขอให้ตั้งสติและคิดหาวิธีแก้ปัญหา สุดท้ายเราจะสามารถผ่านมันไปได้

สิ่งนึงที่แตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างการทำงานบริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจ คือ หากคุณมีความสามารถ คุณก็สามารถได้รับการโปรโมทได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอเวลาตามกฏระเบียบ แต่แน่นอนต้องแลกมาด้วยเวลาและความรับผิดชอบที่ต้องมีอย่างสูงตามรายรับที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงไม่ต้องกังวลผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ และสวัสดิการครอบคลุมไปถึงครอบครัวและพ่อ แม่  อย่างว่าแหละครับ Nothing free ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ 

สุดท้ายสิ่งนึงที่อยากแบ่งปันกับทุกคนคือ ความพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่สูญเปล่าแน่นอน ถึงแม้จะยังไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจ แต่อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ระหว่างทางเดินที่เราได้ผ่านมาแน่นอนครับ 

ไว้มีโอกาสจะมาแชร์ อุปสรรคในการพำงานใหญ่ๆ ที่ จขก เคยผ่านมาให้ฟังนะครับ

 คุณพ่อลูกสอง

//--------------------------------------------------------------------//
17 May 2024: 

ต้องบอกก่อนนะครับ ว่าเป็นครั้งแรกของ จขกท ที่เข้ามาตั้งกระทู้ในพันทิปครับ

จขกท อ่านทุก Comments แล้ว และต้องขออภัยที่ไม่ได้แชร์ว่าอะไรเป็น Key success ที่ทำให้มาถึงตรงจุดนี้ได้ เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่ จขกท ทำอาจไม่ได้ยืนยันว่าทุกคนที่ทำตามจะประสบความสำเร็จครับ เอาเป็นว่าสิ่งต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ จขกท ทำนะครับ

- โดยส่วนตัวเวลาเกิดปัญหาขึ้นในงาน จขกท จะมองหาข้อบกพร่องของตนเองก่อนเสมอ ก่อนที่จะมองหาความผิดพลาดของคนอื่น อันนี้คงเป็นส่วนนึงที่ทำให้ จขกท มองเห็นข้อบกพร่องของตัวเรา ทำให้มีโอกาสปรับปรุงตนเองเสมอ

- เมื่อได้รับมอบหมายงาน จะต้องหาทุก solutions ที่เป็นไปได้ที่ทำให้งานสำเร็จ ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จ ไม่ต้องให้ผู้บังคับบัญชาต้องบอกว่าต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง แค่บอก Outcome ที่ต้องการ ที่เหลือ จขกท จะหา Solution เพื่อทำให้สำเร็จให้ได้

- ไม่ปฎิเสธงานที่ยาก หรืองานที่ไม่เคยทำมาก่อน เมื่อได้รับมอบหมายแล้ว จะกลับมาพร้อม Solutions + แผนงานและกำหนดการที่ชัดเจน เพื่อนำเสนอให้กับผู้บังคับบัญชา

- งานที่รับผิดชอบ ต้องสามารถประเมินความเสี่ยงในทุกๆ มิติ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องสามารถประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในรูปตัวเงินสำหรับกรณี Base case / Best Case / Worse Case พร้อม mitigation plans 

- การนำเสนองาน ต้องกระชับ และตรงประเด็น 

- Multitasking skill ก็สำคัญ เพราะเมื่อต้องรับผิดชอบงานในหลายๆส่วน ที่มากขึ้น ต้องลำดับความสำคัญในการจัดการงานให้ได้ และทีมงานที่ช่วย support เราก็เป็นส่วนสำคัญ จขกท ก็จะหาคนที่มีลักษณะแบบที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อช่วย lead งานในส่วนต่างๆ 

- เมื่อโตขึ้น Soft skills ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เรามีความแตกต่างจากเพื่อนร่วมงาน เช่น Presentation skill, Leadership, Problem solving, Critical thinking, Creativity -- > จขกท เองอาจโชคดีที่มีโอกาสเป็นวิทยากรเมื่อตอนเริ่มเข้าทำงานใหม่ๆ ทำให้มีโอกาสได้พัฒนา Soft skills ในหลายๆด้านเช่น Presentation skill, Leadership, Problem solving (มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนวิธีคิดแก้ปัญหาต่างๆ กับผู้เข้าอบรมในหลายๆเรื่อง)  จขกท มีโอกาสได้ไปบรรยายให้กับ บริษัทเอกชนใหญ่ หลายๆที่ ตั้งแต่ ปี 2553 - 2564 แต่ปัจจุบันไม่ได้รับบรรยายแล้ว เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา เพราะต้องรับผิดชอบงานเยอะมากขึ้น

- ความรู้พื้นฐานด้าน บัญชี การเงิน รวมถึงการบริหารสัญญา ก็สำคัญสำหรับ จขกท เพราะเมื่อต้องรับผิดชอบงานที่สูงขึ้น เรื่องตัวเลขถือว่าสำคัญมากสำหรับการบริหารจัดการ เพราะทุก Activities ของงานที่เกี่ยวข้องสุดท้ายจะถูดสรุปและสะท้อนออกมาในรูปตัวเลข ผ่าน บัญชี กำไร/ขาดทุน, บัญชีกระแสเงินสด และ Balance sheet -- > ต้อง Track ตัวเลขที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย monthly basis และต้อง Forecast เพื่อพิจารณาความเสี่ยงและหา Mitigation plans เพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว

จากที่กล่าวมาข้างต้นน่าจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้ผู้บังคับบัญชามีความไว้วางใจในการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากชึ้นให้กับ จขกท ครับ 

จขกท ขอขอบคุณทุกๆ Comment นะครับ และขออภัยที่ทำให้หลายท่านอาจจะไม่พอใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ share key success ให้ด้วยนะครับ 

Good night krub.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่