อยากเล่าเรื่องของตนเอง
ในวัยใกล้เกษียณของผมในตอนนี้ จากการที่ได้เป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งสูงสุดในสายงานที่ตัวเองทำ แต่ด้วยการถูกหลอกให้ออกจากงานจากคนที่ไว้ใจให้ไปช่วยงานด้วยรายได้ที่มากกว่าที่เดิมอย่างมาก ทำให้ตัดสินใจลาออกจากที่เดิมเพื่อไปช่วยงานรุ่นพี่ที่ไว้ใจ แต่พอไปทำงานที่ใหม่ เขาขอให้ทำในสิ่งที่เป็นการทรยศบริษัทเดิมที่เคยทำมากว่า 20 ปี ผมจึงได้ปฏิเสธ ซึ่งผมคิดว่าเราไม่ได้มาทำให้ตัวเองด้วยการเนรคุณกับบริษัทเดิม จึงไม่กล้าทรยศเกียรติยศตนเอง แต่ผลที่ได้คือการโดนบีบให้ลาออกด้วยการกดดันกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ ทำให้เกิดอาการเครียดมาก และได้ล้มเจ็บป่วยลงภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เพราะสภาพร่างกายไปต่อไม่ไหว จึงตัดสินใจลาออกเพื่อมารักษาตนเองในวัยใกล้เกษียณ จึงสามารถเรียกได้ว่า "ตกงาน" ในวัยสูงอายุแล้ว และการที่จะหางานทำใหม่ในยุคที่เศรษฐกิจปัจจุบันก็เป็นไปได้ยาก จึงตัดสินใจเกษียณก่อนอายุ แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้น ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินมากนัก เพราะมีการเก็บออมอยู่ตลอดชีวิตจากการเก็บออมอย่างเป็นระบบ
สิ่งที่เป็นบทเรียนกับผมอย่างมากก็คือ "อย่าไว้ใจใครเลยในโลกของการทำงาน" ไม่มีคำว่า "มิตรแท้" มีแต่การหลอกลวงเพื่อใช้งาน เพื่อประโยชน์ของตนเองทั้งนั้น การแสดงเมตตาต่อเพื่อร่วมงานอย่างจริงใจนั้น เป็นสิ่ง "โง่เขลา" แต่จงเสแสร้งแสดงบทบาทของนักบุญที่รู้ตนว่าจะเอาประโยชน์จากผู้อื่นได้อย่างไร จงนิ่งให้เป็น อย่าบอกความรู้สึกใดๆ ให้เพื่อนร่วมงานรู้ โดยเฉพาะความรู้สึกไม่ดีต่อบุคคลอื่นในบริษัทเดียวกัน เพราะไม่มีใครไว้ใจได้ จงตั้งตนเองอยู่ในสถานะที่ "เย็นให้พอ และรอให้ได้" เมื่อวางกลยุทธ์ต่อบุคคลในบริษัทเดียวกัน การรับตำแหน่งที่ต้องดูแลคนนั้น คำว่ามือไม่เปื้อนเลือดนั้นไม่มี แต่จงเป็นนักบุญที่เชือดคนได้โดยที่เขายังเข้าใจว่าเราเป็นพ่อพระ
สุดท้ายนี้ ผมให้อโหสิกรรมแก่คนที่ทำร้ายผมจนต้องว่างงานก่อนกำหนด เพราะ "กรรม" จะจัดสรรตัวมันเองอย่างยุติธรรมที่สุด
ประสบการณ์จากคนเคยทำงานบริษัท
ในวัยใกล้เกษียณของผมในตอนนี้ จากการที่ได้เป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งสูงสุดในสายงานที่ตัวเองทำ แต่ด้วยการถูกหลอกให้ออกจากงานจากคนที่ไว้ใจให้ไปช่วยงานด้วยรายได้ที่มากกว่าที่เดิมอย่างมาก ทำให้ตัดสินใจลาออกจากที่เดิมเพื่อไปช่วยงานรุ่นพี่ที่ไว้ใจ แต่พอไปทำงานที่ใหม่ เขาขอให้ทำในสิ่งที่เป็นการทรยศบริษัทเดิมที่เคยทำมากว่า 20 ปี ผมจึงได้ปฏิเสธ ซึ่งผมคิดว่าเราไม่ได้มาทำให้ตัวเองด้วยการเนรคุณกับบริษัทเดิม จึงไม่กล้าทรยศเกียรติยศตนเอง แต่ผลที่ได้คือการโดนบีบให้ลาออกด้วยการกดดันกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ ทำให้เกิดอาการเครียดมาก และได้ล้มเจ็บป่วยลงภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เพราะสภาพร่างกายไปต่อไม่ไหว จึงตัดสินใจลาออกเพื่อมารักษาตนเองในวัยใกล้เกษียณ จึงสามารถเรียกได้ว่า "ตกงาน" ในวัยสูงอายุแล้ว และการที่จะหางานทำใหม่ในยุคที่เศรษฐกิจปัจจุบันก็เป็นไปได้ยาก จึงตัดสินใจเกษียณก่อนอายุ แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้น ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินมากนัก เพราะมีการเก็บออมอยู่ตลอดชีวิตจากการเก็บออมอย่างเป็นระบบ
สิ่งที่เป็นบทเรียนกับผมอย่างมากก็คือ "อย่าไว้ใจใครเลยในโลกของการทำงาน" ไม่มีคำว่า "มิตรแท้" มีแต่การหลอกลวงเพื่อใช้งาน เพื่อประโยชน์ของตนเองทั้งนั้น การแสดงเมตตาต่อเพื่อร่วมงานอย่างจริงใจนั้น เป็นสิ่ง "โง่เขลา" แต่จงเสแสร้งแสดงบทบาทของนักบุญที่รู้ตนว่าจะเอาประโยชน์จากผู้อื่นได้อย่างไร จงนิ่งให้เป็น อย่าบอกความรู้สึกใดๆ ให้เพื่อนร่วมงานรู้ โดยเฉพาะความรู้สึกไม่ดีต่อบุคคลอื่นในบริษัทเดียวกัน เพราะไม่มีใครไว้ใจได้ จงตั้งตนเองอยู่ในสถานะที่ "เย็นให้พอ และรอให้ได้" เมื่อวางกลยุทธ์ต่อบุคคลในบริษัทเดียวกัน การรับตำแหน่งที่ต้องดูแลคนนั้น คำว่ามือไม่เปื้อนเลือดนั้นไม่มี แต่จงเป็นนักบุญที่เชือดคนได้โดยที่เขายังเข้าใจว่าเราเป็นพ่อพระ
สุดท้ายนี้ ผมให้อโหสิกรรมแก่คนที่ทำร้ายผมจนต้องว่างงานก่อนกำหนด เพราะ "กรรม" จะจัดสรรตัวมันเองอย่างยุติธรรมที่สุด