== The Iron Claw (2023) โศกนาฏกรรมตระกูลนักมวยปล้ำ.. วอน อีรีช ==



ฟริตซ์ วอน อีรีช ยอดนักมวยปล้ำยุค 50 เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะคว้าเข็มขัดแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวทมาครองให้ได้
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้เขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน... วันเวลาล่วงผ่านไป.. ฟริตซ์ แก่ตัวลง
แต่เขาก็ได้ปลุกปั้นลูกชายของเขาให้เดินบนเส้นทางที่เขาได้แผ้วถางไว้ ลูกทั้ง 4 คน...



เควิน วอน อีริช (Zac Efron) พี่คนรองของบ้าน (คนโตเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก) คนที่ฟริตซ์หวังไว้มากที่สุด
เนื่องจากเป็นพี่ที่คอยดูแลน้องๆ เขาฝึกฝนตัวเองเพื่อให้แข็งแกร่งตลอดเวลา 
แต่ลึกๆนั้นเขาเป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งไม่ชอบออกสังคมเท่าไรนัก 
อย่างไรก็ตามเป้าหมายเดียวในชีวิตของเขาคือดูแลน้องๆทุกคน และทำให้พ่อภูมิใจ



เดวิด วอน อีริช (Harris Dickinson) ลูกชายคนที่ 3 เดวิดเป็นเหมือนคนกลางที่คอยประสานคนในบ้าน 
มีหน้าที่ซัพพอร์ตความรู้สึกคนอื่นเสมอ เดวิดแคร์เควินอย่างมากไม่ว่าจะเรื่องใดๆก็ตาม 
เขาจะคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเรื่องต่างๆทั้งในและนอกสนาม 
และเดวิดเป็นคนที่วาทศิลป์ดีมาก มีความสามารถในการพูดชักจูงใจคนได้ 



แคร์รี่ วอน อีริช (Jeremy Allen White) ลูกชายคนที่ 4 แคร์รี่เป็นนักกีฬากรีฑาทีมชาติ 
และเตรียมตัวเพื่อที่จะไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ปี 1980 ที่กรุงมอสโก สหภาพโซเวียต ณ ขณะนั้น 
แต่เนื่องจากเป็นยุคของสงครามเย็น สหรัฐฯได้บอยคอยไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน.. แคร์รี่อดไปโอลิมปิกในทันที 
หลังจากนั้นฟริตซ์ได้ขอให้ลูกชายคนนี้เข้าสู่วงการมวยปล้ำแทน



ไมค์ วอน อีริช (Stanley Simons) น้องคนเล็ก ไมค์เป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องในของมวยปล้ำมากเท่ากับพี่พี่ 
แต่มีความชื่นชอบในเรื่องดนตรีมากกว่า ไมค์เป็นคนอารมณ์ดี กินเก่ง และเป็นแสงสว่างของบ้านวอนอีริช 



The Iron Claw เป็นภาพยนตร์กีฬาอัตชีวประวัติ เขียนบทและกำกับโดย Sean Durkin 
เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว Von Erichs ครอบครัวนักมวยปล้ำอาชีพ 
การต่อสู้ดิ้นรนของลูกผู้ชายเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ทั้งรุ่นพ่อและรุ่นลูก 
โดยแม้ว่าฟริตซ์จะเลิกเล่นแล้วก็ตามแต่เขาก็ตั้งบริษัทมวยปล้ำของตนเอง เพื่อหวังบรรลุความสำเร็จต่อไป 
แต่กลายเป็นว่าเกิดเรื่องราวอันน่าเศร้ากับสมาชิกในครอบครัว...



สร้างจากเรื่องจริงแน่นอนครับกับหนังเรื่องนี้ แฟนๆวงการมวยปล้ำยุค 70-80 ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อของตระกูลวอนอีรีช 
กับผลงานยอดเยี่ยมในสังเวียนมากมาย และเรื่องราวที่เป็นโศกนาฎกรรม
หรืออาจจะเรียกว่าเป็นคำสาปของตระกูลนี้ที่ได้รับมาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา...



นั่นคือการค่อยๆสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปทีละคน เริ่มจากลูกชายคนโตแจ๊คที่จากไปด้วยวัยเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น 
จากการจมน้ำเสียชีวิตที่แคนาดา..และหลังความตายของพี่คนโต ทำให้เควิน (รับบทโดยแซค เอฟรอน) 
ต้องรับหน้าที่คอยดูแลน้องๆที่เหลืออยู่ทุกคนทั้งเดวิด.. แคร์รี่และไมค์ 
(จริงๆแล้วบ้านวอน อีริช มีน้องชายคนสุดท้ายชื่อคริสด้วยนะครับเป็นนักมวยปล้ำเช่นกัน แต่ในหนังไม่มีการพูดถึงคริส) 
แน่นอนว่าเขาเต็มใจกับบทบาทนี้ ขณะเดียวกันเขาก็อยากทำให้พ่อภูมิใจในตัวเขาเช่นกัน



ฟริตซ์ (รับบทโดย Holt McCallany) อดีตนักมวยปล้ำที่อยากจะประสบความสำเร็จคว้าเข็มขัดมาครอง 
สร้างครอบครัวขึ้นมาด้วยแรงกายของเขาล้วนๆ มีลูกชายที่ดีและพร้อมจะเดินตามรอยของเขาที่ถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก..
ในหนังเราจะเห็นได้ว่าฟริตซ์เลี้ยงลูกอย่างดี เอาใจใส่ คอยแนะนำและสั่งสอนเรื่องทั้งในและนอกสนาม 
เผินๆเหมือนจะเป็นพ่อที่ดี แต่สิ่งที่ทำร้ายลูกๆ โดยที่เขาไม่เคยได้ฉุกคิดเลยก็คือ การเอาความฝันของตนไปยัดใส่ในมือของลูกๆ 
แม้ว่าคำตอบที่ได้มาทุกครั้งจะเหมือนกับความเต็มใจที่จะทำ 
แต่ลึกๆ แล้วที่ลูกทุกคนทำ เพราะต่างอยากเป็นคนสำคัญที่สุดของพ่อทั้งนั้น...



เหตุผลสำคัญคือฟริตซ์เลี้ยงลูกแบบจัดลำดับ เขาจะบอกเสมอว่าเขารักลูกทุกคน 
แต่เมื่อมีใครที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วงเวลานั้น ฟริตซ์ก็จะเอาใจใส่ลูกคนดังกล่าวเป็นพิเศษในทันที 
โดยไม่สนว่าใจของลูกๆที่เหลือจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าบรรดาพี่น้องทุกคนรักใคร่และเอาใจใส่กันดี 
แต่ก็มีช่วงเวลาที่เราเห็นว่าในหมู่พี่น้องบางครั้งก็เหมือนมีกำแพงบางอย่างที่มองไม่เห็นมากั้นกลางเช่นกัน



The Iron Claw เป็นหนังดีอีกเรื่องครับที่ไม่พ้นสายตาของค่าย A24 คว้ามาจัดจำหน่ายได้สำเร็จ .. 
แซค เอฟรอน ที่ลงทุนฟิตหุ่นให้ล่ำบึ้กแบบสุดๆ กับบทนำดราม่าของเค้าทำหน้าที่ได้ดี 
ถ่ายทอดความรู้สึกของความที่เป็นคนต้องรับผิดชอบดูแลคนรอบข้าง ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด 
และก็ต้องเป็นผู้เสียสละในหลายๆครั้ง ก่อนที่ความอัดอั้นทุกอย่างจะมาระเบิดในตอนท้าย 
คุณจะได้สัมผัสถึงความรักอันบริสุทธิ์ของพี่น้อง คนในครอบครัว 
แต่หากถามว่าเทียบกับหนังมวยปล้ำระดับตำนานอีกเรื่องอย่าง The Wrestler ในปี 2008 ที่นำแสดงโดยมิคกี้ รูค 
ผมยังชอบเรื่องหลังมากกว่า ไว้ผมจะมารีวิวให้ได้อ่านกันครับ

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร 
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่