ฟริตซ์ วอน อีรีช ยอดนักมวยปล้ำยุค 50 เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะคว้าเข็มขัดแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวทมาครองให้ได้
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้เขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน... วันเวลาล่วงผ่านไป.. ฟริตซ์ แก่ตัวลง
แต่เขาก็ได้ปลุกปั้นลูกชายของเขาให้เดินบนเส้นทางที่เขาได้แผ้วถางไว้ ลูกทั้ง 4 คน...
เควิน วอน อีริช (Zac Efron) พี่คนรองของบ้าน (คนโตเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก) คนที่ฟริตซ์หวังไว้มากที่สุด
เนื่องจากเป็นพี่ที่คอยดูแลน้องๆ เขาฝึกฝนตัวเองเพื่อให้แข็งแกร่งตลอดเวลา
แต่ลึกๆนั้นเขาเป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งไม่ชอบออกสังคมเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามเป้าหมายเดียวในชีวิตของเขาคือดูแลน้องๆทุกคน และทำให้พ่อภูมิใจ
เดวิด วอน อีริช (Harris Dickinson) ลูกชายคนที่ 3 เดวิดเป็นเหมือนคนกลางที่คอยประสานคนในบ้าน
มีหน้าที่ซัพพอร์ตความรู้สึกคนอื่นเสมอ เดวิดแคร์เควินอย่างมากไม่ว่าจะเรื่องใดๆก็ตาม
เขาจะคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเรื่องต่างๆทั้งในและนอกสนาม
และเดวิดเป็นคนที่วาทศิลป์ดีมาก มีความสามารถในการพูดชักจูงใจคนได้
แคร์รี่ วอน อีริช (Jeremy Allen White) ลูกชายคนที่ 4 แคร์รี่เป็นนักกีฬากรีฑาทีมชาติ
และเตรียมตัวเพื่อที่จะไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ปี 1980 ที่กรุงมอสโก สหภาพโซเวียต ณ ขณะนั้น
แต่เนื่องจากเป็นยุคของสงครามเย็น สหรัฐฯได้บอยคอยไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน.. แคร์รี่อดไปโอลิมปิกในทันที
หลังจากนั้นฟริตซ์ได้ขอให้ลูกชายคนนี้เข้าสู่วงการมวยปล้ำแทน
ไมค์ วอน อีริช (Stanley Simons) น้องคนเล็ก ไมค์เป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องในของมวยปล้ำมากเท่ากับพี่พี่
แต่มีความชื่นชอบในเรื่องดนตรีมากกว่า ไมค์เป็นคนอารมณ์ดี กินเก่ง และเป็นแสงสว่างของบ้านวอนอีริช
The Iron Claw เป็นภาพยนตร์กีฬาอัตชีวประวัติ เขียนบทและกำกับโดย Sean Durkin
เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว Von Erichs ครอบครัวนักมวยปล้ำอาชีพ
การต่อสู้ดิ้นรนของลูกผู้ชายเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ทั้งรุ่นพ่อและรุ่นลูก
โดยแม้ว่าฟริตซ์จะเลิกเล่นแล้วก็ตามแต่เขาก็ตั้งบริษัทมวยปล้ำของตนเอง เพื่อหวังบรรลุความสำเร็จต่อไป
แต่กลายเป็นว่าเกิดเรื่องราวอันน่าเศร้ากับสมาชิกในครอบครัว...
สร้างจากเรื่องจริงแน่นอนครับกับหนังเรื่องนี้ แฟนๆวงการมวยปล้ำยุค 70-80 ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อของตระกูลวอนอีรีช
กับผลงานยอดเยี่ยมในสังเวียนมากมาย และเรื่องราวที่เป็นโศกนาฎกรรม
หรืออาจจะเรียกว่าเป็นคำสาปของตระกูลนี้ที่ได้รับมาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา...
นั่นคือการค่อยๆสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปทีละคน เริ่มจากลูกชายคนโตแจ๊คที่จากไปด้วยวัยเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น
จากการจมน้ำเสียชีวิตที่แคนาดา..และหลังความตายของพี่คนโต ทำให้เควิน (รับบทโดยแซค เอฟรอน)
ต้องรับหน้าที่คอยดูแลน้องๆที่เหลืออยู่ทุกคนทั้งเดวิด.. แคร์รี่และไมค์
(จริงๆแล้วบ้านวอน อีริช มีน้องชายคนสุดท้ายชื่อคริสด้วยนะครับเป็นนักมวยปล้ำเช่นกัน แต่ในหนังไม่มีการพูดถึงคริส)
แน่นอนว่าเขาเต็มใจกับบทบาทนี้ ขณะเดียวกันเขาก็อยากทำให้พ่อภูมิใจในตัวเขาเช่นกัน
ฟริตซ์ (รับบทโดย Holt McCallany) อดีตนักมวยปล้ำที่อยากจะประสบความสำเร็จคว้าเข็มขัดมาครอง
สร้างครอบครัวขึ้นมาด้วยแรงกายของเขาล้วนๆ มีลูกชายที่ดีและพร้อมจะเดินตามรอยของเขาที่ถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก..
ในหนังเราจะเห็นได้ว่าฟริตซ์เลี้ยงลูกอย่างดี เอาใจใส่ คอยแนะนำและสั่งสอนเรื่องทั้งในและนอกสนาม
เผินๆเหมือนจะเป็นพ่อที่ดี แต่สิ่งที่ทำร้ายลูกๆ โดยที่เขาไม่เคยได้ฉุกคิดเลยก็คือ การเอาความฝันของตนไปยัดใส่ในมือของลูกๆ
แม้ว่าคำตอบที่ได้มาทุกครั้งจะเหมือนกับความเต็มใจที่จะทำ
แต่ลึกๆ แล้วที่ลูกทุกคนทำ เพราะต่างอยากเป็นคนสำคัญที่สุดของพ่อทั้งนั้น...
เหตุผลสำคัญคือฟริตซ์เลี้ยงลูกแบบจัดลำดับ เขาจะบอกเสมอว่าเขารักลูกทุกคน
แต่เมื่อมีใครที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วงเวลานั้น ฟริตซ์ก็จะเอาใจใส่ลูกคนดังกล่าวเป็นพิเศษในทันที
โดยไม่สนว่าใจของลูกๆที่เหลือจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าบรรดาพี่น้องทุกคนรักใคร่และเอาใจใส่กันดี
แต่ก็มีช่วงเวลาที่เราเห็นว่าในหมู่พี่น้องบางครั้งก็เหมือนมีกำแพงบางอย่างที่มองไม่เห็นมากั้นกลางเช่นกัน
The Iron Claw เป็นหนังดีอีกเรื่องครับที่ไม่พ้นสายตาของค่าย A24 คว้ามาจัดจำหน่ายได้สำเร็จ ..
แซค เอฟรอน ที่ลงทุนฟิตหุ่นให้ล่ำบึ้กแบบสุดๆ กับบทนำดราม่าของเค้าทำหน้าที่ได้ดี
ถ่ายทอดความรู้สึกของความที่เป็นคนต้องรับผิดชอบดูแลคนรอบข้าง ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
และก็ต้องเป็นผู้เสียสละในหลายๆครั้ง ก่อนที่ความอัดอั้นทุกอย่างจะมาระเบิดในตอนท้าย
คุณจะได้สัมผัสถึงความรักอันบริสุทธิ์ของพี่น้อง คนในครอบครัว
แต่หากถามว่าเทียบกับหนังมวยปล้ำระดับตำนานอีกเรื่องอย่าง The Wrestler ในปี 2008 ที่นำแสดงโดยมิคกี้ รูค
ผมยังชอบเรื่องหลังมากกว่า ไว้ผมจะมารีวิวให้ได้อ่านกันครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Iron Claw (2023) โศกนาฏกรรมตระกูลนักมวยปล้ำ.. วอน อีรีช ==
ฟริตซ์ วอน อีรีช ยอดนักมวยปล้ำยุค 50 เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะคว้าเข็มขัดแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวทมาครองให้ได้
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้เขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน... วันเวลาล่วงผ่านไป.. ฟริตซ์ แก่ตัวลง
แต่เขาก็ได้ปลุกปั้นลูกชายของเขาให้เดินบนเส้นทางที่เขาได้แผ้วถางไว้ ลูกทั้ง 4 คน...
เควิน วอน อีริช (Zac Efron) พี่คนรองของบ้าน (คนโตเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก) คนที่ฟริตซ์หวังไว้มากที่สุด
เนื่องจากเป็นพี่ที่คอยดูแลน้องๆ เขาฝึกฝนตัวเองเพื่อให้แข็งแกร่งตลอดเวลา
แต่ลึกๆนั้นเขาเป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งไม่ชอบออกสังคมเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามเป้าหมายเดียวในชีวิตของเขาคือดูแลน้องๆทุกคน และทำให้พ่อภูมิใจ
เดวิด วอน อีริช (Harris Dickinson) ลูกชายคนที่ 3 เดวิดเป็นเหมือนคนกลางที่คอยประสานคนในบ้าน
มีหน้าที่ซัพพอร์ตความรู้สึกคนอื่นเสมอ เดวิดแคร์เควินอย่างมากไม่ว่าจะเรื่องใดๆก็ตาม
เขาจะคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเรื่องต่างๆทั้งในและนอกสนาม
และเดวิดเป็นคนที่วาทศิลป์ดีมาก มีความสามารถในการพูดชักจูงใจคนได้
แคร์รี่ วอน อีริช (Jeremy Allen White) ลูกชายคนที่ 4 แคร์รี่เป็นนักกีฬากรีฑาทีมชาติ
และเตรียมตัวเพื่อที่จะไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ปี 1980 ที่กรุงมอสโก สหภาพโซเวียต ณ ขณะนั้น
แต่เนื่องจากเป็นยุคของสงครามเย็น สหรัฐฯได้บอยคอยไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน.. แคร์รี่อดไปโอลิมปิกในทันที
หลังจากนั้นฟริตซ์ได้ขอให้ลูกชายคนนี้เข้าสู่วงการมวยปล้ำแทน
ไมค์ วอน อีริช (Stanley Simons) น้องคนเล็ก ไมค์เป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องในของมวยปล้ำมากเท่ากับพี่พี่
แต่มีความชื่นชอบในเรื่องดนตรีมากกว่า ไมค์เป็นคนอารมณ์ดี กินเก่ง และเป็นแสงสว่างของบ้านวอนอีริช
The Iron Claw เป็นภาพยนตร์กีฬาอัตชีวประวัติ เขียนบทและกำกับโดย Sean Durkin
เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว Von Erichs ครอบครัวนักมวยปล้ำอาชีพ
การต่อสู้ดิ้นรนของลูกผู้ชายเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ทั้งรุ่นพ่อและรุ่นลูก
โดยแม้ว่าฟริตซ์จะเลิกเล่นแล้วก็ตามแต่เขาก็ตั้งบริษัทมวยปล้ำของตนเอง เพื่อหวังบรรลุความสำเร็จต่อไป
แต่กลายเป็นว่าเกิดเรื่องราวอันน่าเศร้ากับสมาชิกในครอบครัว...
สร้างจากเรื่องจริงแน่นอนครับกับหนังเรื่องนี้ แฟนๆวงการมวยปล้ำยุค 70-80 ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อของตระกูลวอนอีรีช
กับผลงานยอดเยี่ยมในสังเวียนมากมาย และเรื่องราวที่เป็นโศกนาฎกรรม
หรืออาจจะเรียกว่าเป็นคำสาปของตระกูลนี้ที่ได้รับมาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา...
นั่นคือการค่อยๆสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปทีละคน เริ่มจากลูกชายคนโตแจ๊คที่จากไปด้วยวัยเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น
จากการจมน้ำเสียชีวิตที่แคนาดา..และหลังความตายของพี่คนโต ทำให้เควิน (รับบทโดยแซค เอฟรอน)
ต้องรับหน้าที่คอยดูแลน้องๆที่เหลืออยู่ทุกคนทั้งเดวิด.. แคร์รี่และไมค์
(จริงๆแล้วบ้านวอน อีริช มีน้องชายคนสุดท้ายชื่อคริสด้วยนะครับเป็นนักมวยปล้ำเช่นกัน แต่ในหนังไม่มีการพูดถึงคริส)
แน่นอนว่าเขาเต็มใจกับบทบาทนี้ ขณะเดียวกันเขาก็อยากทำให้พ่อภูมิใจในตัวเขาเช่นกัน
ฟริตซ์ (รับบทโดย Holt McCallany) อดีตนักมวยปล้ำที่อยากจะประสบความสำเร็จคว้าเข็มขัดมาครอง
สร้างครอบครัวขึ้นมาด้วยแรงกายของเขาล้วนๆ มีลูกชายที่ดีและพร้อมจะเดินตามรอยของเขาที่ถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก..
ในหนังเราจะเห็นได้ว่าฟริตซ์เลี้ยงลูกอย่างดี เอาใจใส่ คอยแนะนำและสั่งสอนเรื่องทั้งในและนอกสนาม
เผินๆเหมือนจะเป็นพ่อที่ดี แต่สิ่งที่ทำร้ายลูกๆ โดยที่เขาไม่เคยได้ฉุกคิดเลยก็คือ การเอาความฝันของตนไปยัดใส่ในมือของลูกๆ
แม้ว่าคำตอบที่ได้มาทุกครั้งจะเหมือนกับความเต็มใจที่จะทำ
แต่ลึกๆ แล้วที่ลูกทุกคนทำ เพราะต่างอยากเป็นคนสำคัญที่สุดของพ่อทั้งนั้น...
เหตุผลสำคัญคือฟริตซ์เลี้ยงลูกแบบจัดลำดับ เขาจะบอกเสมอว่าเขารักลูกทุกคน
แต่เมื่อมีใครที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วงเวลานั้น ฟริตซ์ก็จะเอาใจใส่ลูกคนดังกล่าวเป็นพิเศษในทันที
โดยไม่สนว่าใจของลูกๆที่เหลือจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าบรรดาพี่น้องทุกคนรักใคร่และเอาใจใส่กันดี
แต่ก็มีช่วงเวลาที่เราเห็นว่าในหมู่พี่น้องบางครั้งก็เหมือนมีกำแพงบางอย่างที่มองไม่เห็นมากั้นกลางเช่นกัน
The Iron Claw เป็นหนังดีอีกเรื่องครับที่ไม่พ้นสายตาของค่าย A24 คว้ามาจัดจำหน่ายได้สำเร็จ ..
แซค เอฟรอน ที่ลงทุนฟิตหุ่นให้ล่ำบึ้กแบบสุดๆ กับบทนำดราม่าของเค้าทำหน้าที่ได้ดี
ถ่ายทอดความรู้สึกของความที่เป็นคนต้องรับผิดชอบดูแลคนรอบข้าง ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
และก็ต้องเป็นผู้เสียสละในหลายๆครั้ง ก่อนที่ความอัดอั้นทุกอย่างจะมาระเบิดในตอนท้าย
คุณจะได้สัมผัสถึงความรักอันบริสุทธิ์ของพี่น้อง คนในครอบครัว
แต่หากถามว่าเทียบกับหนังมวยปล้ำระดับตำนานอีกเรื่องอย่าง The Wrestler ในปี 2008 ที่นำแสดงโดยมิคกี้ รูค
ผมยังชอบเรื่องหลังมากกว่า ไว้ผมจะมารีวิวให้ได้อ่านกันครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===