Day3
- Shinjuku
- Kawagachiko
- Gyu kaku Kawaguchiko
- Kawaguchiko shopping Center Bell
เช้านี้กับอากาศ 12 องศา ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาอยู่ที่นี่สระผมทุกวันเลย แชมพูและครีมนวดของโรงแรมดีมาก คิดถูกที่ไม่ได้เตรียมไป ยิ่งตอนเป่าผมนะ ผมพลิ้วเชียวว ชอบบบบ รีบแต่งตัวแล้วลงมาทานข้าวเช้าของโรงแรม ตอนที่เราลงมาเกือบหมดเวลาอาหารเช้า อาหารเริ่มเหลือน้อยแล้ว แต่คุณป้าทำปลาซาบะย่างซอสเทอริยามาให้ พร้อมซุปร้อนๆอีก 3 ถ้วย โดยอาหารเช้าจะคิดรวมอยู่ในที่พักเรียบร้อยแล้ว ทานได้ถึงเวลา 10.00 น. ก็จะเริ่มเก็บอาหารแล้ว
อาหารเช้ารสชาติเข้มข้น โดยเฉพาะปลาซาบะย่างอร่อย เนื้อแน่น ซุปแกงกะหรี่กับซุปข้าวโพดหอมเครื่องเทศ รสชาติถูกปากคนไทยแน่นอน
ในภาพเราตักมาน้อย เพราะยังเช้าอยู่ไม่ค่อยหิวค่ะ
จากนั้นเราเก็บของและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม ในระหว่างที่กำลังเช็คเอาท์ก็เจอคุณลุงคนไทยท่านหนึ่ง พอเราคุยกับคุณปลาเป็นภาษาไทย คุณลุงก็หันมาทักทายเราและพูดคุยกันนิดหน่อย สำหรับการเช็คเอาท์ที่ Toyoko Inn แค่วางคีย์การ์ดใส่กล่องก็ถือว่าเช็คเอาท์เรียบร้อย
บรรยากาศรอบๆที่พัก
ขอโบกมือบ้ายบายสถานี Otsuka ซึ่งเป็นสถานีที่ไม่ใหญ่ ค่อนข้างเงียบสงบ คนไม่ค่อยพลุกพล่าน แต่มีทุกอย่างที่เราต้องการครบถ้วนเลย ทั้งตลาด ร้านราเมง ร้านกินดื่มก็มี ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาพักที่นี่อีกค่ะ
บรรยากาศภายในสถานี Otsuka
เราไปฝากกระเป๋าที่สถานีชินจุกุเพื่อรอขึ้นรถบัสไปดูคุณฟูจิที่คาวากุจิโกะ จะบอกว่าเราตื่นเต้นกับสถานีชินจุกุมากเลยนะ เพราะเป็นสถานีที่ใหญ่มากกกก มีหลายร้อยทางออก ถ้าเดินออกผิดทางนี่ชีวิตเปลี่ยนเลย เราเลยทำการบ้านหนักมากๆ กลัวหลงทางแล้วขึ้นรถบัสไม่ทันรอบที่จองไว้ งานงอกเลย พอก้าวเท้าออกจากรถไฟ JR ก็พยายามนึกภาพที่ดูใน Youtube มามุ่งหน้าไปยังทางออก koshu-Kaido Gate ค่อยๆเดินภายในใต้ดินจนสุดมางแล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปก็จะถึงทางออกไป Shinjuku bus terminal ซึ่งไม่หลงเลยย แอบถอนหายใจและภูมิใจในตัวเองเบาๆ ฝากกระเป๋าที่ตู้รับฝากกระเป๋า 700เยน/ใบ
โดยวิธีการดูว่าตู้ไหนเป็นตู้ว่าง ให้เราสังเกตจากไฟสีเขียว ถ้าตู้ที่มีไฟสีเขียว=ตู้ว่าง เราก็เปิดตู้ ยกกระเป๋าใส่ตู้และกดฝากกระเป๋าที่หน้าจอที่มีไฟด้านซ้ายมือ ซึ่งตู้นี้สามารถเลือกวิธีการชำระเงินได้หลายแบบ แต่เราเลือกใช้บัตร Suica จ่าย
เมื่อเราฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว จะมีสลิปข้อมูลการฝากกระเป๋าของเราออกมา ก็ให้ถ่ายรูปเก็บไว้ก็ได้ เผื่อทำหาย
วิธีการนำกระเป๋าออกจากตู้ฝากกระเป๋าก็ง่ายมากค่ะ กดที่หน้าจอเลือกหัวข้อนำกระเป๋าออกและแตะบัตร Suica ที่เราใช้ตอนฝากกระเป๋า แค่นี้เองเราก็นำกระเป๋าออกมาจากตู้ฝากกระเป๋าได้แล้วค่ะ
จากนั้นเราก็เดินเล่นย่านชินจุกุตามหารองเท้าให้คุณปลา จนได้ On สีขาวมาครอบครอง 1 คู่ถ้วน ซึ่งสีขาวเป็นสีหายากมาก ขนาดเราไปถึงห้าง Alpen Shinjuku ที่คนไทยไปซื้อกันเยอะมาก ก็ยังไม่มีสีขาวเลย มีแต่สีดำล้วน แต่ความโชคดีของพวกเราคือ ได้สีขาวและตรงไซต์พอดีที่ห้าง Takashimaya Shinjuku ซึ่งบอกเลยว่าเป็นพิกัดลับสุดๆของคนที่อยากได้ หากใครหาสีหรือไซต์ที่ต้องการไม่เจอ ลองแวะมาที่นี่คุณอาจจะได้รองเท้ากลับไปค่ะ
รีบเดินสับกลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ และเตรียมตัวรอรถบัสที่ชั้น 4 Shinjuku Expressway bus terminal พร้อมมื้อกลางวันเป็นข้าวปั้นจากร้านสะดวกซื้อ
เวลาที่เราจองมาคือ13.15 น. พอ 13.05 น. เจ้าหน้าที่ก็ประกาศให้เข้าแถวและขึ้นรถ เรายื่นใบจองรถที่จองและชำระเงินแล้วจากไทยให้ตรวจ นั่งประจำที่ คาดเข็มขัดเรียบร้อยและรถออกตรงเวลามากนะ แบบเป๊ะสุดๆ เพราะงั้นเราต้องมาเตรียมตัวรอให้พร้อมมาก่อนเวลา 5-10 นาทีก่อนรถออก ถ้าพลาดไปต้องยุ่งยาก วุ่นวายแน่ๆ
นั่งรถบัสชิลๆ ไป 2 ชั่วโมง แม้จะขับเร็วแต่รับรู้ได้เลยว่ามีความระมัดระวังและปลอดภัยมากๆ ตลอดทางเราไม่หลับเลย เพราะอยากซึมซับบรรยากาศข้างทาง รถบัสขับลัดเลาะไปตามภูเขา ผ่านสายฝนและหมอกหนา ยิ่งทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า ข้างนอกอากาศต้องเย็นมากแน่ๆ และโอกาสที่จะได้เห็นคุณฟูจิคงยากแล้วหล่ะ
ประมาณ 15.00 น. ถึงสถานีคาวากุจิโกะท่ามกลางฝนตกหนัก เราสองคนลากกระเป๋าขนาด 26 นิ้วพร้อมของพะรุงพะรังข้ามถนนเพื่อไปเช็คอินโรงแรมในค่ำคืนนี้ เราเลือกพักที่โรงแรม Plaza Inn Kawaguchiko ซึ่งเดินทางสะดวก สะอาด ราคาประหยัด และที่สำคัญเป็นห้องวิวฟูจิ จองไว้กะว่าตื่นเช้ามาฟูจิจะออกมาให้เห็นแบบเต็มๆตาแน่ จ่ายค่าที่พักราคา 11,000 เยน/คืน ด้วยบัตรทราเวลการ์ด เก็บของ นอนพักสักหน่อยและหามื้อเย็นกัน
ความพีคอยู่ตรงที่ร้านในคาวากุจิโกะส่วนใหญ่ปิดวันพุธจ้า เยี่ยมเลยยย เอาไงกับชีวิตดี ว่าแล้วคุณปลาผู้รับหน้าที่เรื่องอาหารก็ไปเสาะหาเจอร้านเนื้อย่างที่เปิดเพียงหนึ่งเดียวและอยู่ห่างไป 1 กิโล ก็เลยคิดกันว่าแค่ 1 กิโลเอง สบายๆ เลยเดินลัดเลาะบ้านคนไปเรื่อยๆ ตาม GPS เดินไปท่ามกลางฝนตกและอากาศหนาวจนต้องหยิบหมวกไหมพรมและถุงมือมาใส่ พอไปได้สักครึ่งทางก็เริ่มคิดแล้วว่า ไกลไปป่าวคุณน้า 1 กิโลเนี่ย แต่เอ้าถึงไหนถึงกัน ลุยอย่างเดียว เดิน เดิน เดิน จนถอนหายใจแล้วควันออกปาก สนุกสนานกันไปอีกกกก
พอถึงร้าน Gyu-KaKu ร้านญี่ปุ่นของแทร่ เพราะเมนูก็ภาษาญี่ปุ่นแถมพนักงานพูดแต่ญี่ปุ่นด้วยยย ใช้ภาษามือกันสนุกเลยทีนี้ แต่พนักงานน่ารักมากนะ พยายามคุย พยายามสื่อสารกับเรา ไม่มีหน้านิ่วคิ้วขมวดเลย เราเลือกกินแบบ A la carte เพิ่มตับเนื้อและเครื่องใน สำหรับมื้อนี้บอกเลยคุ้มแล้วที่เดินมา เนื้อดีมากกกกกกก ตับเนื้อยิ่งโคตรดี นุ่ม ละลาย ไม่เหนียว ย่างบนเตาถ่านนะคุณเอ้ยยยย ไม่มีเนื้อส่วนไหนที่ไม่อร่อย อร่อยหมดทุกอย่างงงงง ให้เลยเต็ม 10 คะแนน จบที่ค่าเสียหาย 6,000 เยน
ควันออกปากแล้วล่าสุด
เป้าหมายต่อไปคือ ไปซื้อสตรอเบอร์รีที่ซุปเปอร์มาเก็ต Kawaguchiko shopping Center Bell เจอพี่ๆคนไทยที่ขึ้นการบินไทยด้วยกัน เลยพูดคุยทักทายกัน จะว่าไปเราสองคนก็รู้สึกว่าเจอพี่ๆคนไทยที่ไหน จะเจอแต่คนใจดีตลอดเลย พูดคุยแนะนำกันเสมอ น่ารักมากๆ เราซื้อสตรอเบอร์รีกับนมไว้เป็นมื้อเช้า
พอดูนาฬิกาก็เห็นว่า ทุ่มครึ่งแล้ว เลยเดินกลับที่พักกัน ตอนเดินกลับนี่แหละ เป็นการเดินที่เงียบมากกกก ท่ามกลางฝนตกและซอยเล็กลัดเลาะบ้านคน ทุกคนเข้าบ้านกันหมด นึกถึงในซีรี่ย์ฆาตกรรมที่คนร้ายชอบซุ่มตามที่มืดๆ มีเพียงเราสองคนที่เดินฝ่าฝนและคอยระแวงมองแต่ข้างหลัง พ้มจะโดนตุ้บหัวไหม คุณปลานำหน้า ณัฐปิดท้าย พร้อมเปิดไฟฉายคนละเครื่อง เดินจ้ำๆ มองซ้ายที ขวาที หลังที พอถึงสถานีค่อยโล่งใจหน่อย แต่เอาจริงๆ มันไม่ได้เปลี่ยวหรือดูอันตรายเลยนะ แต่เพราะเราไม่คุ้นทางบวกกับความมืดเลยทำให้เราระแวงไปเอง
ไปต่อกันกับขนมที่ Lawson พอกรุบกริบ เอาจริงๆทริปนี้ไม่มีใครห้ามใคร อยากไปไหน อยากกินอะไร จัดไปเลยเต็มที่ ปิดท้ายวันที่ 3 ไปกับเตียงนุ่มๆ ผ้าห่มอุ่นๆ ก็ทำให้หลับไปโดยไม่รู้ตัว Zzzzz
วันนี้เป็นวันที่เราชอบมากที่สุดในทริป ชอบเพราะได้เดินไปเรื่อยๆ ได้มอง ได้เห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นในต่างจังหวัด ประทับใจตอนเดินไปและกลับจากร้านเนื้อย่างนี่แหละ ถึงแม้มันจะมืดแต่มันปลอดภัย ไม่มีการจับกลุ่มตั้งก๊ง ขับรถแว้นเสียงดังโวยวายหรือต้องคอยระวังหมาที่จะพุ่งมาแง่มขา มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า บนโลกนี้ยังมีพื้นที่ที่ปลอดภัยอยู่จริงๆ ซึ่งขนาดอยู่กรุงเทพเดินเข้าซอยกลับบ้านยังรู้สึกหวาดระแวงเลยนะ คหสต. เอาจริงๆ เหมือนเราจะชอบความสงบ ความเรียบง่ายของต่างจังหวัดแบบนี้มากกว่าความวุ่นวายในเมืองเสียอีก
หวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมา เราจะได้พบกันนะคะ คุณฟูจิ
[CR] Ep.3 รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองครั้งแรก ชมซากุระ 1-5 เมษายน 2024
- Shinjuku
- Kawagachiko
- Gyu kaku Kawaguchiko
- Kawaguchiko shopping Center Bell
เช้านี้กับอากาศ 12 องศา ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มาอยู่ที่นี่สระผมทุกวันเลย แชมพูและครีมนวดของโรงแรมดีมาก คิดถูกที่ไม่ได้เตรียมไป ยิ่งตอนเป่าผมนะ ผมพลิ้วเชียวว ชอบบบบ รีบแต่งตัวแล้วลงมาทานข้าวเช้าของโรงแรม ตอนที่เราลงมาเกือบหมดเวลาอาหารเช้า อาหารเริ่มเหลือน้อยแล้ว แต่คุณป้าทำปลาซาบะย่างซอสเทอริยามาให้ พร้อมซุปร้อนๆอีก 3 ถ้วย โดยอาหารเช้าจะคิดรวมอยู่ในที่พักเรียบร้อยแล้ว ทานได้ถึงเวลา 10.00 น. ก็จะเริ่มเก็บอาหารแล้ว
รีบเดินสับกลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ และเตรียมตัวรอรถบัสที่ชั้น 4 Shinjuku Expressway bus terminal พร้อมมื้อกลางวันเป็นข้าวปั้นจากร้านสะดวกซื้อ
เวลาที่เราจองมาคือ13.15 น. พอ 13.05 น. เจ้าหน้าที่ก็ประกาศให้เข้าแถวและขึ้นรถ เรายื่นใบจองรถที่จองและชำระเงินแล้วจากไทยให้ตรวจ นั่งประจำที่ คาดเข็มขัดเรียบร้อยและรถออกตรงเวลามากนะ แบบเป๊ะสุดๆ เพราะงั้นเราต้องมาเตรียมตัวรอให้พร้อมมาก่อนเวลา 5-10 นาทีก่อนรถออก ถ้าพลาดไปต้องยุ่งยาก วุ่นวายแน่ๆ
นั่งรถบัสชิลๆ ไป 2 ชั่วโมง แม้จะขับเร็วแต่รับรู้ได้เลยว่ามีความระมัดระวังและปลอดภัยมากๆ ตลอดทางเราไม่หลับเลย เพราะอยากซึมซับบรรยากาศข้างทาง รถบัสขับลัดเลาะไปตามภูเขา ผ่านสายฝนและหมอกหนา ยิ่งทำให้เรารู้สึกได้เลยว่า ข้างนอกอากาศต้องเย็นมากแน่ๆ และโอกาสที่จะได้เห็นคุณฟูจิคงยากแล้วหล่ะ
ประมาณ 15.00 น. ถึงสถานีคาวากุจิโกะท่ามกลางฝนตกหนัก เราสองคนลากกระเป๋าขนาด 26 นิ้วพร้อมของพะรุงพะรังข้ามถนนเพื่อไปเช็คอินโรงแรมในค่ำคืนนี้ เราเลือกพักที่โรงแรม Plaza Inn Kawaguchiko ซึ่งเดินทางสะดวก สะอาด ราคาประหยัด และที่สำคัญเป็นห้องวิวฟูจิ จองไว้กะว่าตื่นเช้ามาฟูจิจะออกมาให้เห็นแบบเต็มๆตาแน่ จ่ายค่าที่พักราคา 11,000 เยน/คืน ด้วยบัตรทราเวลการ์ด เก็บของ นอนพักสักหน่อยและหามื้อเย็นกัน
ความพีคอยู่ตรงที่ร้านในคาวากุจิโกะส่วนใหญ่ปิดวันพุธจ้า เยี่ยมเลยยย เอาไงกับชีวิตดี ว่าแล้วคุณปลาผู้รับหน้าที่เรื่องอาหารก็ไปเสาะหาเจอร้านเนื้อย่างที่เปิดเพียงหนึ่งเดียวและอยู่ห่างไป 1 กิโล ก็เลยคิดกันว่าแค่ 1 กิโลเอง สบายๆ เลยเดินลัดเลาะบ้านคนไปเรื่อยๆ ตาม GPS เดินไปท่ามกลางฝนตกและอากาศหนาวจนต้องหยิบหมวกไหมพรมและถุงมือมาใส่ พอไปได้สักครึ่งทางก็เริ่มคิดแล้วว่า ไกลไปป่าวคุณน้า 1 กิโลเนี่ย แต่เอ้าถึงไหนถึงกัน ลุยอย่างเดียว เดิน เดิน เดิน จนถอนหายใจแล้วควันออกปาก สนุกสนานกันไปอีกกกก
พอถึงร้าน Gyu-KaKu ร้านญี่ปุ่นของแทร่ เพราะเมนูก็ภาษาญี่ปุ่นแถมพนักงานพูดแต่ญี่ปุ่นด้วยยย ใช้ภาษามือกันสนุกเลยทีนี้ แต่พนักงานน่ารักมากนะ พยายามคุย พยายามสื่อสารกับเรา ไม่มีหน้านิ่วคิ้วขมวดเลย เราเลือกกินแบบ A la carte เพิ่มตับเนื้อและเครื่องใน สำหรับมื้อนี้บอกเลยคุ้มแล้วที่เดินมา เนื้อดีมากกกกกกก ตับเนื้อยิ่งโคตรดี นุ่ม ละลาย ไม่เหนียว ย่างบนเตาถ่านนะคุณเอ้ยยยย ไม่มีเนื้อส่วนไหนที่ไม่อร่อย อร่อยหมดทุกอย่างงงงง ให้เลยเต็ม 10 คะแนน จบที่ค่าเสียหาย 6,000 เยน
พอดูนาฬิกาก็เห็นว่า ทุ่มครึ่งแล้ว เลยเดินกลับที่พักกัน ตอนเดินกลับนี่แหละ เป็นการเดินที่เงียบมากกกก ท่ามกลางฝนตกและซอยเล็กลัดเลาะบ้านคน ทุกคนเข้าบ้านกันหมด นึกถึงในซีรี่ย์ฆาตกรรมที่คนร้ายชอบซุ่มตามที่มืดๆ มีเพียงเราสองคนที่เดินฝ่าฝนและคอยระแวงมองแต่ข้างหลัง พ้มจะโดนตุ้บหัวไหม คุณปลานำหน้า ณัฐปิดท้าย พร้อมเปิดไฟฉายคนละเครื่อง เดินจ้ำๆ มองซ้ายที ขวาที หลังที พอถึงสถานีค่อยโล่งใจหน่อย แต่เอาจริงๆ มันไม่ได้เปลี่ยวหรือดูอันตรายเลยนะ แต่เพราะเราไม่คุ้นทางบวกกับความมืดเลยทำให้เราระแวงไปเอง
หวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมา เราจะได้พบกันนะคะ คุณฟูจิ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้