เรื่อง วัฏฏะ กระแสแห่ง ปฏิจจสมุปบาท และการแก้กรรม อย่างถาวร

กรรมถูกกำหนดมาก่อนแล้ว คร่าวๆ แต่เปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุปัจจัย 
นี่เป็นการวิจัย สิ่งที่เกิด จากการกระทำ ภายในใจของผมเอง 
อธิบายเทียบกับ ดวงดาว ในอวกาศ จะเข้าใจง่ายครับ 
(พูดผิดในข้อธรรมต้องกราบขออภัยผมไม่ค่อยรู้ศัพท์เท่าไหร่ครับ)
 
จากวงโคจร ของกระแส ปฏิจจสมุปบาท แต่ละชุด 
 
เมื่อมีความคิดผุดขึ้น นับได้ 1จุด เมื่อมีการน้อมไปในความคิด นับได้ 1จุด 
รวมเป็น2จุด ของนามธรรม เหนี่ยวนำ เป็นแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน เป็นวัฏฏะ 
 
กระแสแรงดึงดูดนี้ ก่อเกิดการปรุงแต่งเป็นชุดๆ ถ้าไม่มีการดับไปก่อน 
แต่ปล่อยให้ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ๆๆๆ (เรื่องราวใหญ่โต) 
เทียบได้เสมือน ดวงดาว ที่ก่อเกิด เป็นรูปร่าง หมุนวนรอบตัวเอง (ความเพลิน) 
คิดเรื่องดีบ้าง (ดาวที่อุดมสมบูรณ์) 
คิดเรื่องแย่บ้าง (ดาวที่เผาไหม้ตัวมันเอง) 
 
เมื่อหมุนจนได้ที่แล้ว มีกำลัง แรงดึงดูดในตัว ตอนนี้เอง ที่ตัวมันเอง 
ก็ถูกดึงดูด จาก กระแสของวง ปฏิจจสมุปบาท อื่นๆ กลายเป็นวงโคจร 
ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา (ปรุงแต่งซับซ้อนหลายเรื่องราว) 
 
ศูนย์กลางของ วงโคจรทั้งหมด คือ จุดที่มีกำลังที่สุด ของนามธรรม 
นั้นๆ จะเรียกว่ากรรม ก็ได้ครับ (ตัวตน นิสัยของสัตว์นั้นๆ) 
คือคิดดีบ่อยๆ  ทำกุศลจิตบ่อยๆ จุดนั้นก็ใหญ่สุดมีกำลัง
ดึงดูด วงโคจรของ กระแส ปฏิจจสมุปบาท อื่นๆ มาได้
ทำให้วงอื่นๆ (บาปกรรม เก่าๆ) ลดทอนกำลังลงไป(ไม่ได้หายไป) 
 
แต่ถ้าไม่รู้อะไรเลย คือมีแต่อวิชชา มีการผุดเกิดเรื่อยๆ รูปนามในจิต 
ที่สืบต่อกัน มาอย่างยาวนาน ก็จะใหญ่โตเสมือน จักรวาลนี้เอง 
จะมีทั้ง เกิดใหม่ และกำลังดับ ดับไปแล้ว (เรียกว่าสันดานก็ได้) 
 
ทีนี้วงโคจร ที่ซับซ้อนนี้เอง ที่ทำให้เราทำนายกรรมไม่ได้ชัดเจน 
เพราะอาจจะมี ดาวเล็กๆ ที่ชนทับ วงโคจรกัน เป็นวิบาก ตัดรอน 
หรืออาจจะช่วย ให้กลายเป็นรอดพ้น ได้ในบางกรณี 
(ตรงนี้อธิบายว่า ทำไมทำดียังไม่ได้ดี ทำชั่วยังไม่ได้ชั่ว ซึ่งจริงๆแล้ว ทำดีนิดเดียว 
ก็มีกระแส ก่อเกิดรอสนองแล้ว แต่อย่างที่อธิบายข้างต้นครับ มันซับซ้อน) 
 
แต่พระพุทธเจ้า เปรียบเสมือน ผู้เห็นแจ้งทั้งตลอดวงโคจร จะมองเห็น 
ได้ในแต่ละวงโคจรที่ซ้อนทับและ จุดตัด จึงเห็นได้ครบบริบูรณ์ 
 
วัฏฏะ ทั้งหมดถูกส่งต่อกัน ผ่านจิตที่ เกิดดับ แต่มีการสืบต่อ 
ทีนี้ถ้าเรา ค่อยๆ ดับดาวแต่ละดวงได้ล่ะ โดยทำตามสิ่งที่ 
พระพุทธเจ้าสอน การรู้สึกตัว รู้ลมหายใจ และพิจารณา 
สิ่งที่ผุดเกิด เห็นตามความเป็นจริงได้ ลดการยึดถือลง ทีละส่วนๆ 
 
พอกระแสแห่ง ปฏิจจสมุปบาท แห่งการเกิดขาดช่วง 
การปรุงแต่งไม่มี ของเดิมที่เคยเกิดก็ค่อยๆ ดับ วัฏฏะที่ 
เสมือน แสงสว่างแห่งกลุ่มดาว ที่มีจำนวนมาก ก็ค่อยๆหรี่ 
ดับและหายไป เหลือแต่ความว่าง 
 
เมื่อ พิจารณา เห็นเกิดและดับ เห็นความไม่เที่ยงแล้ว 
และปล่อยวางลงได้ จากความรู้นั้น ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา
ณ จุดๆ นี้ เป็นจุดที่เป็นอิสระ และเป็นการแก้กรรม 
ได้อย่างถาวร ตามแนวทางแห่งพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ที่ 
เกิดขึ้นมาพบแนวทางนี้ และสั่งสอน สัตว์ให้ก้าวออกตามท่าน ครับ 
 
 
สรุปสั้นๆ 
นามธรรมที่ผุดเกิดเล็กๆเริ่มต้นจุดเดียว 
ก่อเกิด รูปนามที่ยิ่งใหญ่ไม่รู้จบ และสืบ 
ต่อด้วยอวิชชา รูปแต่ละชาติเป็นเพียง 
ทางผ่านชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เก็บข้อมูล 
นามธรรม สืบต่อเนื่อง ได้ไม่จำกัด 
การรู้จักทุกข์ คือจุดเริ่มต้น แห่งการดับ 
ชุดข้อมูล นามธรรม ให้ดับไปได้  อย่างน้อยที่สุด

หากยังไม่มีกำลังดับได้ ก็ควรทำ สิ่งที่ดี เป็นกุศล
ให้มีกำลังก่อน (ปรุงดีก่อน) เมื่อมีกำลังแล้ว ความดี
วงโคจรเสถียรแล้ว ก็ค่อยๆ ดับวงโคจรที่เป็นกุศลภายหลัง
เพื่อความเป็นที่สุด คือการออกจากการเวียนว่าย ตายเกิด

==============
note:
เนื่องจากโพส เป็นการ เทียบเคียง เปรียบเทียบ
ตามความเข้าใจของผมเอง และกระทู้นี้ เป็น คำตอบของ 
ในกรอบ คำถามของ โพสด้านล่างนี้ ครับ
https://ppantip.com/topic/42697895/comment7
แต่เห็นว่าเนื้อหา น่านำมาสนทนากันต่อกับท่านอื่นๆ
เลยนำมาโพสแยกกระทู้ ครับ

เพื่อความสบายใจ ของผู้อ่านที่แนะนำ จขกท 
ว่าควรศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาให้
เข้าใจดีก่อน ก่อนที่กล่าวอ้าง พระพุทธเจ้า

จึงขอ ขีดคั่นคำ ในพระไตรปิฎกออก
ปฏิจจสมุปบาท และคำว่า พระพุทธเจ้า
ออก เพื่อให้ท่านไม่เสียเครดิต จากความ
ด้อยปัญญาของผม หากจะมีคำที่กล่าวผิดไปครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่