พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
[๑๙๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพราหมณ์ บรรดาองค์ ๒ นี้ ยกเสียองค์หนึ่งแล้วบุคคลผู้ประกอบด้วยองค์เพียง ๑ อาจจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่
และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วยพราหมณ์
โสณทัณฑะทูลว่าข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อนี้ไม่ได้ เพราะว่าปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์
และศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์
ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล
ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา
และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น.
[๑๙๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์
ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์
ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น
ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล
ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา
และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น
ดูกรพราหมณ์ ศีลนั้นเป็นไฉน ปัญญานั้นเป็นไฉน
พราหมณ์โสณทัณฑะทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พวกข้าพระองค์มีความรู้เท่านี้เอง เมื่อ
เนื้อความมีเช่นไร ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งแด่พระโคดมผู้เจริญเองเถิด.
"ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา"
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
เนื้อความมีเช่นไร ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งแด่พระโคดมผู้เจริญเองเถิด.