สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรานะคะ ปัจจุบัน จขกท อายุ 30ปีแล้วค่ะ
หลังๆ เห็นโพสต์ตามเฟสบุ๊คและกระทู้เยอะพอสมควรเกี่ยวกับคนที่อยู่ใน Toxic relationship แต่ไม่กล้า Move on
เลยอยากจะมาแชร์เรื่องของตัวเองและวิธีหนีออกมาค่ะ เราอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้มาเกือบ 4 ปี
เราเคยมีแฟนเก่าอยู่คนนึง อายุเท่ากัน แต่ว่าอยู่คนละจังหวัด นานๆ เจอกันที
และเรื่องต่อจากนี้คือสิ่งที่เราต้องพบเจออยู่บ่อยครั้งตลอดความสัมพันธ์
1.เขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อน ทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาทะเลาะไม่เคยคุยกันดีๆ
โมโหใส่เรา ตัดสาย ปิดเครื่อง ลบเพื่อนในโซเชียล บางครั้งปิดเครื่องหายไปเลย ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวแบบงงๆ
จนบางครั้งตัวเองก็สับสนเองว่า นี่กูผิดป่ะวะ แล้วกูผิดอะไร ผิดตรงไหนนะ
ไปส่องเฟสบุ๊คอีกทีคือ ไปนั่งกินหมูกระทะแบบเอนจอยไลฟ์สุดๆ
บางครั้งเราเศร้ามาก ร้องไห้จนเป็น Hyperventilation Syndrome (ภาวะหายใจหอบเพราะอารมณ์) อยู่บ่อยครั้ง แต่เค้าก็ไม่ได้สนใจอะไร
เป็นเราที่ต้องนั่งร้องไห้ โทรหาเพื่อนให้เพื่อนปลอบใจ จนเพื่อนพูดว่า
' ถ้าไม่ไหว ก็ออกมานะ ไม่ได้ไม่เหลือใคร ยังมีเพื่อนอยู่เสมอ กูยังอยู่ตรงนี้ '
2.เราเป็นฝ่ายนั่งรถไปหาทุกครั้ง ไปหาที่บ้านเขาต่างจังหวัดนั้นละคะ
ครอบครัวเขาน่ารัก พ่อแม่ พี่สาว พี่ชาย อากง ต้อนรับเราแบบอบอุ่น จะทำอาหารโปรดไว้ให้กินทุกครั้ง รวมทั้งขนมอื่นๆ อีกมากมาย
ในทางกลับกัน เขาไม่เคยมาหาเราเลย จะมีแค่ครั้งนึงเหมือนเขามาสอบข้าราชการ
ก็เลยจำเป็นต้องมาสอบที่กทม เลยให้มานอนที่คอนโดเรา เพราะจะได้เดินทางสะดวก ไม่เสียเวลา แค่ครั้งนั้นจริงๆ
3.ช่วงที่คบกัน เวลาเราป่วย เราคือคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด
ตอนนั้นเราอาหารเป็นพิษตอนตีสองกว่าๆ โทรหาเขาเพื่อที่จะบอกว่าเอ่อ เราไม่ไหว จะไปโรงพยาบาลนะ
อยากให่อยู่เป็นเพื่อนตอนนั่งแกรบ ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้คะ ไม่รับสายใดๆ ก็อาจจะเวลานอน อ่ะเข้าใจ
เราเลยโทรหาเพื่อน ให้เพื่อนอยู่ในสายโทรศัพท์ด้วยกัน จนถึงโรงพยาบาล จัดการเรื่องแอดมิดอะไรเรียบร้อย
ก็ไปนอนที่ห้องพิเศษ เช้ามาเราพยายามติดต่อเขาหลายครั้ง กว่าเขาจะทราบว่าเราแอดมิดก็ปาไปจะสิบโมงเช้าแล้วค่ะ
แต่ในขณะก่อนหน้านั้น เพื่อนๆ ญาติๆ ต่างพากันโทรเข้ามาหาสอบถามอาการ
เพื่อนมาเยี่ยม เอาขนมของโปรดมาฝากไว้ที่เคาเตอร์หน้าห้อง เรานี่น้ำตาไหลเลย
อีกพาร์ทคือเราป่วยโควิดค่ะ ก็มีแต่เพื่อนที่คอยซื้อของมาส่งไว้หน้าห้องที่คอนโด เพื่อนทักมา โทรมาเม้ามอยกันคลายเหงา
เขานี่หรอ โทรมาน้อยมากๆ ทักมาน้อยมากๆ
นอกจากกายที่ป่วย เราเองสุขภาพใจไม่แข็งแรงด้วยค่ะ เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
ทุกครั้งที่ไปหาหมอ ปรับยา เขาเองก็ไม่เคยจะมาถามนะคะ เราเป็นยังไงบ้าง หมอว่ายังไงบ้าง
4.แต่มีครั้งนึงที่เราถูกรถชน แขนหัก ขาเกือบหัก เราทราบเรื่องคืนนั้น เช้ามาไม่เกินแปดโมง เราไปโผล่อยู่โรงพยาบาลแล้วค่ะ รักเขา
ไปช่วยดูแลกับแม่เขาตลอดหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็มีเรื่องให้เสียใจคือ เข้าใจนะคะว่าคนป่วย ไม่สบายตัวแล้วคงหงุดหงิด แต่ก็เริ่มถึงจุดที่จะรับไม่ไหวแล้วค่ะ ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ที่เราตักอาหารมาให้เค้า เค้าแบบหงุดหงิดว่าจะตักน้ำมาทำไม น้ำยำในยำหมูค่ะ จำได้เลย ไม่อร่อย ไม่กินละ
คือในใจตอนนั้นแบบ อดหลับอดนอน ดูแลมาตลอด พูดจากันแบบนี้หรอ
5.เราจะไปหาเขาก็ช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ เสาร์อาทิตย์บ้าง
จนหลังๆ งานเราค่อนข้างเยอะ เหนื่อยจากงานแล้วเริ่มเหนื่อยเดินทาง เลยไม่ค่อยได้ไป
เขาเองก็ไม่มานะคะ เลยทำให้ความสัมพันธ์ค่อนข้างที่จะห่างกันนิดนึง
6.ถ้าถามว่ามีเรื่องดีๆมั้ยก็มีค่ะ เวลาไปบ้านเขาก็ค่อนข้างดูแล พาไปทานข้าว ขนม พาไปตลาดนัด พาไปเที่ยวบ้างบางที
ของขวัญมีให้บ้างตามโอกาส
7.ประเด็นนี่ทำให้เริ่มรู้สึกว่า เราอยู่ตรงนั้นทำไมนะ
ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวใหญ่ เวลามีงานมงตล งานอะไรรวมตัวกันที จะจำนวนคนเยอะมากๆ
เราเคยได้ยินคำตอบถามว่า เราเป็นใคร ญาติคนไหนกันนะ คำตอบที่เราได้มาตลอดก็คือ ' เพื่อน ' ได้ยินแล้วเหว่อเลยค่ะ
พอความสัมพันธ์ต่างๆ มันเริ่มจะไม่เหมือนคนรักกัน รึจริงๆ มันอาจจะดูไม่ใช่คนรักกันตั้งแต่แรกก็ได้แล้วนะคะ
เพียงแต่เรามืดมนไป เราเริ่มไม่เป็นฝ่ายดูแล เริ่มทิ้งระยะห่างที่จะเดินไปทางต่างจังหวัด อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรได้บ้างกับความสัมพันธ์นี้
ปรากฎว่าเขาเองก็นิ่ง ไม่ได้อยากดูพัฒนาความสัมพันธ์ให้มันก้าวหน้าใดๆ ไม่มาหา
มาถึงจุดพีคแล้วคะ เราโทรมาบอกเราว่า จะอ่านหนังสือสอบข้าราชการ
จะขอเวลาไม่ติดต่อเรา 2-3 เดือน แต่เราคงไม่เข้าใจหรอก ไม่ติดต่อในที่นี้คือไม่คุยกันเลยนะคะ ไม่คุยผ่านแชท ไม่โทรมา ไม่มาเจอ
คือต่อให้เราจะป่วย จะมีปัญหาทุกข์ใจ เหนื่อยใจอะไร ก็ไม่ต้องติดต่อค่ะ ฟังแล้วดูตลกมั้ยคะ แล้วจะมีแฟนไปทำไมกัน
ในใจตอนนั้นก็ตอบไปว่า อ่อเข้าใจค่ะ เพราะอยากรู้ว่า เขาจะทำยังไงต่อกับความสัมพันธ์นี้
ช่วงระยะเวลาที่ไม่ติดต่อกัน กลายเป็นเราแฮปปี้มาก ดูแลตัวเอง ชอปปี้ง ดูหนัง ไปเที่ยวกับเพื่อน ถ่ายรูปสวยๆ ลงโซเชียล
ไปเล่นกับแมว ไปทำบุญ หากิจกรรมทำที่ตัวเองชอบ พาตัวเองไปทานอะไรอร่อยๆ จนตกตะกอนได้แล้วว่า
ถ้ามีแฟนแล้วเจออะไรแบบนี้ งั้นจบความสัมพันธ์ดีกว่าค่ะ
อ่อ เราเองแอบไปส่องโซเชียลของเขาเหมือนกันนะคะ ปรากฎว่า ก็เห็นเขาไปทานข้าวกับเพื่อนนู้นนี่นั้น ไปคาเฟ่ ก็แฮปปี้ดี แต่ไม่บอกเลิก
เราเลยตัดสินใจโทรไปบอกเลิกเองค่ะ ด้วยเหตุผลที่ก่าวมาข้างต้นเลยว่า เราอยู่คนเดียวได้ แล้วก็อยู่ได้ดีมาตลอด
ขอจบความสัมพันธ์ไว้ตรงนี้จะดีกว่า เราไปต่อไม่ไหวจริงๆ เขาก็ร้องไห้คะ บอกเราว่า เรายังไปเที่ยวบ้าน ยังมาเจอกันได้แบบเดิมนะ
ขอโทษเราเหมือนกัน พูดจบแล้วเราก็ขอบคุณ และจบสายสนทนาไปเลย
อยากบอกทุกคนที่เผชิญกับอะไรที่ Toxic อยู่นะคะ
ให้พยายามหันกับมารักตัวเองให้ไวที่สุด ถ้าเราทำให้ตัวเองยิ้มได้ แฮปปี้ได้ อยู่กับตัวเองได้ดี คนที่เข้ามาจะต้องทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง หรือว่า รักไปเจ็บไป ทรมานไป เพื่อนเราบอกกับเราตลอดค่ะว่า
ถ้าสิ่งที่แฟนทำดูแลไม่ได้เท่าที่เพื่อนทำหรือตัวเราเองทำ ก็ไม่ต้องมี เพราะเพื่อนก็ทำได้ และตัวเราก็ดูแลตัวเองได้
****หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง เราเองก็ได้ให้โอกาสตัวเอง เปิดใจ ศึกษาดูใจคุยกับคนใหม่****
ตัดสินใจเริ่มต้นความสัมพันธ์ จนปัจจุบัน เราคบกับแฟนใหม่จะ 3 ปีแล้วค่ะ
และกำลังจะแต่งงานกัน ตลอดระยะเวลาของความสัมพันธ์ บอกได้เลยว่านี่คือ Healthy relationships 5000%
มีอะไรเปิดใจคุยกันตลอด ดูแลทั้งกายและสภาพจิตใจ ไม่ต้องโทรไปร้องไห้กับเพื่อนแล้วค่ะ
ยกเครดิตให้แฟนคนนี้เลย อ่อ ต้องบอกก่อนว่า พื้นฐานเราเองเป็นโรคซึมเศร้าด้วยนะคะ
แต่แฟนคนนี้ทำให้เราหยุดรักษาโรคนี้แล้วด้วยค่ะ อาหมอที่รักษาเอ่ยปากชมว่า
' นี้สิ ความสัมพันธ์ที่ดี รักไปมีความสุขไป ชีวิตดีขึ้น เขาเป็นเหมือนบ้านที่โอบกอดคุณไว้เลย บ้านที่คุณตามหา หมอดีใจกับคุณมากจริงๆ '
สุดท้ายแล้ว ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ประโยคที่ว่า "รักตัวเอง ไม่เจ็บเลยซักวัน" ประโยคนี้ใช้ได้จริงๆ ค่ะ
ถ้าเรารักตัวเองมากพอ ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ รักตัวเองกันเยอะๆนะคะ
มาแชร์เรื่องราวของ Toxic relationship และวิธี Move on กันค่ะ
หลังๆ เห็นโพสต์ตามเฟสบุ๊คและกระทู้เยอะพอสมควรเกี่ยวกับคนที่อยู่ใน Toxic relationship แต่ไม่กล้า Move on
เลยอยากจะมาแชร์เรื่องของตัวเองและวิธีหนีออกมาค่ะ เราอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้มาเกือบ 4 ปี
เราเคยมีแฟนเก่าอยู่คนนึง อายุเท่ากัน แต่ว่าอยู่คนละจังหวัด นานๆ เจอกันที
และเรื่องต่อจากนี้คือสิ่งที่เราต้องพบเจออยู่บ่อยครั้งตลอดความสัมพันธ์
1.เขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อน ทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาทะเลาะไม่เคยคุยกันดีๆ
โมโหใส่เรา ตัดสาย ปิดเครื่อง ลบเพื่อนในโซเชียล บางครั้งปิดเครื่องหายไปเลย ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวแบบงงๆ
จนบางครั้งตัวเองก็สับสนเองว่า นี่กูผิดป่ะวะ แล้วกูผิดอะไร ผิดตรงไหนนะ
ไปส่องเฟสบุ๊คอีกทีคือ ไปนั่งกินหมูกระทะแบบเอนจอยไลฟ์สุดๆ
บางครั้งเราเศร้ามาก ร้องไห้จนเป็น Hyperventilation Syndrome (ภาวะหายใจหอบเพราะอารมณ์) อยู่บ่อยครั้ง แต่เค้าก็ไม่ได้สนใจอะไร
เป็นเราที่ต้องนั่งร้องไห้ โทรหาเพื่อนให้เพื่อนปลอบใจ จนเพื่อนพูดว่า
' ถ้าไม่ไหว ก็ออกมานะ ไม่ได้ไม่เหลือใคร ยังมีเพื่อนอยู่เสมอ กูยังอยู่ตรงนี้ '
2.เราเป็นฝ่ายนั่งรถไปหาทุกครั้ง ไปหาที่บ้านเขาต่างจังหวัดนั้นละคะ
ครอบครัวเขาน่ารัก พ่อแม่ พี่สาว พี่ชาย อากง ต้อนรับเราแบบอบอุ่น จะทำอาหารโปรดไว้ให้กินทุกครั้ง รวมทั้งขนมอื่นๆ อีกมากมาย
ในทางกลับกัน เขาไม่เคยมาหาเราเลย จะมีแค่ครั้งนึงเหมือนเขามาสอบข้าราชการ
ก็เลยจำเป็นต้องมาสอบที่กทม เลยให้มานอนที่คอนโดเรา เพราะจะได้เดินทางสะดวก ไม่เสียเวลา แค่ครั้งนั้นจริงๆ
3.ช่วงที่คบกัน เวลาเราป่วย เราคือคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด
ตอนนั้นเราอาหารเป็นพิษตอนตีสองกว่าๆ โทรหาเขาเพื่อที่จะบอกว่าเอ่อ เราไม่ไหว จะไปโรงพยาบาลนะ
อยากให่อยู่เป็นเพื่อนตอนนั่งแกรบ ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้คะ ไม่รับสายใดๆ ก็อาจจะเวลานอน อ่ะเข้าใจ
เราเลยโทรหาเพื่อน ให้เพื่อนอยู่ในสายโทรศัพท์ด้วยกัน จนถึงโรงพยาบาล จัดการเรื่องแอดมิดอะไรเรียบร้อย
ก็ไปนอนที่ห้องพิเศษ เช้ามาเราพยายามติดต่อเขาหลายครั้ง กว่าเขาจะทราบว่าเราแอดมิดก็ปาไปจะสิบโมงเช้าแล้วค่ะ
แต่ในขณะก่อนหน้านั้น เพื่อนๆ ญาติๆ ต่างพากันโทรเข้ามาหาสอบถามอาการ
เพื่อนมาเยี่ยม เอาขนมของโปรดมาฝากไว้ที่เคาเตอร์หน้าห้อง เรานี่น้ำตาไหลเลย
อีกพาร์ทคือเราป่วยโควิดค่ะ ก็มีแต่เพื่อนที่คอยซื้อของมาส่งไว้หน้าห้องที่คอนโด เพื่อนทักมา โทรมาเม้ามอยกันคลายเหงา
เขานี่หรอ โทรมาน้อยมากๆ ทักมาน้อยมากๆ
นอกจากกายที่ป่วย เราเองสุขภาพใจไม่แข็งแรงด้วยค่ะ เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
ทุกครั้งที่ไปหาหมอ ปรับยา เขาเองก็ไม่เคยจะมาถามนะคะ เราเป็นยังไงบ้าง หมอว่ายังไงบ้าง
4.แต่มีครั้งนึงที่เราถูกรถชน แขนหัก ขาเกือบหัก เราทราบเรื่องคืนนั้น เช้ามาไม่เกินแปดโมง เราไปโผล่อยู่โรงพยาบาลแล้วค่ะ รักเขา
ไปช่วยดูแลกับแม่เขาตลอดหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็มีเรื่องให้เสียใจคือ เข้าใจนะคะว่าคนป่วย ไม่สบายตัวแล้วคงหงุดหงิด แต่ก็เริ่มถึงจุดที่จะรับไม่ไหวแล้วค่ะ ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ที่เราตักอาหารมาให้เค้า เค้าแบบหงุดหงิดว่าจะตักน้ำมาทำไม น้ำยำในยำหมูค่ะ จำได้เลย ไม่อร่อย ไม่กินละ
คือในใจตอนนั้นแบบ อดหลับอดนอน ดูแลมาตลอด พูดจากันแบบนี้หรอ
5.เราจะไปหาเขาก็ช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ เสาร์อาทิตย์บ้าง
จนหลังๆ งานเราค่อนข้างเยอะ เหนื่อยจากงานแล้วเริ่มเหนื่อยเดินทาง เลยไม่ค่อยได้ไป
เขาเองก็ไม่มานะคะ เลยทำให้ความสัมพันธ์ค่อนข้างที่จะห่างกันนิดนึง
6.ถ้าถามว่ามีเรื่องดีๆมั้ยก็มีค่ะ เวลาไปบ้านเขาก็ค่อนข้างดูแล พาไปทานข้าว ขนม พาไปตลาดนัด พาไปเที่ยวบ้างบางที
ของขวัญมีให้บ้างตามโอกาส
7.ประเด็นนี่ทำให้เริ่มรู้สึกว่า เราอยู่ตรงนั้นทำไมนะ
ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวใหญ่ เวลามีงานมงตล งานอะไรรวมตัวกันที จะจำนวนคนเยอะมากๆ
เราเคยได้ยินคำตอบถามว่า เราเป็นใคร ญาติคนไหนกันนะ คำตอบที่เราได้มาตลอดก็คือ ' เพื่อน ' ได้ยินแล้วเหว่อเลยค่ะ
พอความสัมพันธ์ต่างๆ มันเริ่มจะไม่เหมือนคนรักกัน รึจริงๆ มันอาจจะดูไม่ใช่คนรักกันตั้งแต่แรกก็ได้แล้วนะคะ
เพียงแต่เรามืดมนไป เราเริ่มไม่เป็นฝ่ายดูแล เริ่มทิ้งระยะห่างที่จะเดินไปทางต่างจังหวัด อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรได้บ้างกับความสัมพันธ์นี้
ปรากฎว่าเขาเองก็นิ่ง ไม่ได้อยากดูพัฒนาความสัมพันธ์ให้มันก้าวหน้าใดๆ ไม่มาหา
มาถึงจุดพีคแล้วคะ เราโทรมาบอกเราว่า จะอ่านหนังสือสอบข้าราชการ
จะขอเวลาไม่ติดต่อเรา 2-3 เดือน แต่เราคงไม่เข้าใจหรอก ไม่ติดต่อในที่นี้คือไม่คุยกันเลยนะคะ ไม่คุยผ่านแชท ไม่โทรมา ไม่มาเจอ
คือต่อให้เราจะป่วย จะมีปัญหาทุกข์ใจ เหนื่อยใจอะไร ก็ไม่ต้องติดต่อค่ะ ฟังแล้วดูตลกมั้ยคะ แล้วจะมีแฟนไปทำไมกัน
ในใจตอนนั้นก็ตอบไปว่า อ่อเข้าใจค่ะ เพราะอยากรู้ว่า เขาจะทำยังไงต่อกับความสัมพันธ์นี้
ช่วงระยะเวลาที่ไม่ติดต่อกัน กลายเป็นเราแฮปปี้มาก ดูแลตัวเอง ชอปปี้ง ดูหนัง ไปเที่ยวกับเพื่อน ถ่ายรูปสวยๆ ลงโซเชียล
ไปเล่นกับแมว ไปทำบุญ หากิจกรรมทำที่ตัวเองชอบ พาตัวเองไปทานอะไรอร่อยๆ จนตกตะกอนได้แล้วว่า
ถ้ามีแฟนแล้วเจออะไรแบบนี้ งั้นจบความสัมพันธ์ดีกว่าค่ะ
อ่อ เราเองแอบไปส่องโซเชียลของเขาเหมือนกันนะคะ ปรากฎว่า ก็เห็นเขาไปทานข้าวกับเพื่อนนู้นนี่นั้น ไปคาเฟ่ ก็แฮปปี้ดี แต่ไม่บอกเลิก
เราเลยตัดสินใจโทรไปบอกเลิกเองค่ะ ด้วยเหตุผลที่ก่าวมาข้างต้นเลยว่า เราอยู่คนเดียวได้ แล้วก็อยู่ได้ดีมาตลอด
ขอจบความสัมพันธ์ไว้ตรงนี้จะดีกว่า เราไปต่อไม่ไหวจริงๆ เขาก็ร้องไห้คะ บอกเราว่า เรายังไปเที่ยวบ้าน ยังมาเจอกันได้แบบเดิมนะ
ขอโทษเราเหมือนกัน พูดจบแล้วเราก็ขอบคุณ และจบสายสนทนาไปเลย
อยากบอกทุกคนที่เผชิญกับอะไรที่ Toxic อยู่นะคะ
ให้พยายามหันกับมารักตัวเองให้ไวที่สุด ถ้าเราทำให้ตัวเองยิ้มได้ แฮปปี้ได้ อยู่กับตัวเองได้ดี คนที่เข้ามาจะต้องทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง หรือว่า รักไปเจ็บไป ทรมานไป เพื่อนเราบอกกับเราตลอดค่ะว่า
ถ้าสิ่งที่แฟนทำดูแลไม่ได้เท่าที่เพื่อนทำหรือตัวเราเองทำ ก็ไม่ต้องมี เพราะเพื่อนก็ทำได้ และตัวเราก็ดูแลตัวเองได้
****หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง เราเองก็ได้ให้โอกาสตัวเอง เปิดใจ ศึกษาดูใจคุยกับคนใหม่****
ตัดสินใจเริ่มต้นความสัมพันธ์ จนปัจจุบัน เราคบกับแฟนใหม่จะ 3 ปีแล้วค่ะ
และกำลังจะแต่งงานกัน ตลอดระยะเวลาของความสัมพันธ์ บอกได้เลยว่านี่คือ Healthy relationships 5000%
มีอะไรเปิดใจคุยกันตลอด ดูแลทั้งกายและสภาพจิตใจ ไม่ต้องโทรไปร้องไห้กับเพื่อนแล้วค่ะ
ยกเครดิตให้แฟนคนนี้เลย อ่อ ต้องบอกก่อนว่า พื้นฐานเราเองเป็นโรคซึมเศร้าด้วยนะคะ
แต่แฟนคนนี้ทำให้เราหยุดรักษาโรคนี้แล้วด้วยค่ะ อาหมอที่รักษาเอ่ยปากชมว่า
' นี้สิ ความสัมพันธ์ที่ดี รักไปมีความสุขไป ชีวิตดีขึ้น เขาเป็นเหมือนบ้านที่โอบกอดคุณไว้เลย บ้านที่คุณตามหา หมอดีใจกับคุณมากจริงๆ '
สุดท้ายแล้ว ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ประโยคที่ว่า "รักตัวเอง ไม่เจ็บเลยซักวัน" ประโยคนี้ใช้ได้จริงๆ ค่ะ
ถ้าเรารักตัวเองมากพอ ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ รักตัวเองกันเยอะๆนะคะ