
ตามนั้นเลยครับ วันนี้เราจะมาเปิดพอร์ตที่ใช้ยื่น BAScii แล้วติดตัวจริงในรอบ Early Admission 2024
[Scores]
ขอเกริ่นเรื่องคะแนนก่อนเลยเพื่อประกอบข้อมูลในการสอบเข้าด้วย โดยเราใช้คะแนน SAT Maths+IELTS ยื่นไป(คะแนน sat verbal เน่ามากกก เลยขอยื่นไอเอลดีกว่า555555)
IELTS Overall 7.5, SAT Math 780
เอาจริงนี่ก็ว่าคะแนนค่อนข้างช่วยในการสอบเข้ามากๆนะสำหรับชาวอินเตอร์ เรามองว่ามันคือปัจจัยที่ควบคุมได้ดีกว่าพอร์ตและการสัมภาษณ์ที่มันใช้เกณฑ์วัดค่อนข้างยาก แล้วใช่ว่าของทุกคนจะเหมือนกันด้วยยย ดังนั้น ใครที่มีเวลาเยอะๆขอให้ปั่นคะแนนไว้เยอะๆเลยเพราะเราจะได้เปรียบคนอื่นในการสอบเข้ามากๆ
[Portfolio]
เรารู้ตัวอยากเข้า BAScii ตั้งแต่มิถุนา 66 ตอนนั้นก็เลยเริ่มเตรียมตัวเก็บพอร์ตมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย เอาจริงๆคือค่อนข้างเริ่มจาก 0 เลยนะนอกเสียจากกิจกรรมที่เราทำเป็นปกติตามโรงเรียน แต่โชคดีที่เราค่อนข้างเป็นเด็กกิจกรรมอยู่แล้ว และ engaged ในกิจกรรมนอกรร.มากๆ(แต่ไม่เอาเรื่องเรียนในรร.เลย555)เพราะเราใช้เวลาทั้งม.5 ไปค่ายเยอะมากๆ(ทั้งหมดก็ 7-8+ ค่ายได้แหนะ)เพราะอยากหาคณะที่ใช่ด้วยและก็ชอบไปค่ายเป็นการส่วนตัว5555 เราก็เริ่มเก็บพอร์ตเน้นด้าน Business เพราะเป็นคนสนใจด้านนี้
ส่วนเรื่องการเขียนลงพอร์ตจริงๆเราก็เริ่มทำไปเรื่อยๆตั้งแต่เปิดให้รับสมัครเลย แต่เอาจริงๆมาเร่งทำในวันสุดท้ายของวันสมัครเพราะเราไม่มีตัวอย่าง/ref ดูเลย ซึ่งเราก็ไม่แนะนำเวย์นี้มากๆควรทำไปเรื่อยๆแล้วส่งพอร์ตก่อน registration deadline สักวันสองวันก็ดี
*ลิสต์ของกิจกรรมที่เราเขียนในพอร์ตขอทิ้งไว้ในช่อง comment นะ พิมพ์ไม่พอแล้ว565
[Innovation Idea]
*อ่านในช่อง comment นะของหน้า portfolio นะ อยู่ข้อ 11ๆ
[Aptitude Test]
ปีนี้ก็มีเวลา 30 นาทีตามเคย มีจับ pattern, เติมเลข, เติมคำ(business terms) ประมาณนี้ๆ มีแค่ 10 กว่าข้อถ้าจำไม่ผิดนะ เอาจริงก็ซ้อมๆทำไปหน่อยก็ดีนะ ทำไปนิดนึงให้เรารู้แนวก็พอ(รู้สึกว่าไม่ได้สำคัญอะไรมากในการสอบเข้า) ให้ search ในเน็ตเลยว่า IQ Test ไรงี้อะ ทำได้หมดเลยย
[Interview]
เราได้สัมภาษณ์ในช่วง 3:45 PM - 4:00 PM แต่เอาจริงได้เข้าไปสัมตั้งแต่บ่าย 3 10 นาทีกว่าๆละ เหมือนคิวมันจะเลื่อนเข้ามานะ โชคดีในการสอบสัมช่วงบ่ายคือที่อาจารย์จะเหนื่อยละ จะถามอะไรยากๆหรือจี้เรามากไม่ได้แล้ว ห้องสัมก็จะมีทั้งหมด 5 ห้อง ขึ้นชื่อว่าห้องที่ 2 จะเป็นห้องที่สัมตึงและเดือดที่สุด ส่วนห้องที่ 5 เป็นห้องที่ชิลที่สุด ส่วนห้องอื่นก็จะธรรมดาๆทั่วไปๆ เราได้สัมห้อง 1 เข้าไปก็จะมีอจ.อยู่ 3 คน เป็นผู้ชายหมดเลย ตรงกลางคนเป็นคนไทย(คนนี้จะนั่งดูและอ่านพอร์ตของเราตลอดการสัมภาษณ์เลย บางทีถ้าสงสัยอะไรในพอร์ตเราก็จะถามจากตรงนี้แหละ) อีก 2 คนรอบๆ คนเหมือนจะนึงเป็น European(ฟังจากสำเนียง) กับอีกคนที่น่าจะเป็น British โดยที่การสัมภาษณ์ครั้งนี้เรารู้สึกว่ามันเหมือนจะเป็นการเช็ค passion ในการเข้าที่นี่มากกว่านะ เพราะเราไม่โดนถามเรื่องข่าวเลย(ซึ่งเราเตรียมมาเยอะมากๆ เพราะกลัวที่สุดว่าเราจะโดนถามแล้วตอบไม่ได้ละจะโดนจี้ไปอีก) ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับตัวเราด้วยซ้ำ เข้ามาเขาก็จะให้แนะนำตัวเองเลยเหมือนกับทุกที่ที่ไปสัมภาษณ์(ไม่ได้จำกัดเวลานะ) พูดเสร็จเขาก็ยิงคำถามต่อมาเลยว่า Why BAScii and have you applied to other programmes? เสร็จปุ้ปเขาก็ถามต่อในอนาคตของตัวเองว่าจบไปแล้วจะทำอะไรต่อ คุณมองตัวเองในอีก 5-10 ปียังไง คุยๆไปซักพักก็โย้กย้ายไปพูด Innovation Idea ที่ทุกคนจะได้พูดกันในพอร์ตอยู่แล้วโดยเราไม่ได้จำกัดเวลา ซึ่งดีมากๆ เพราะเราต้องพูดค่อนข้างเยอะจากการที่ต้องท้าวความปัญหามา 2 อย่างก่อนได้ ถึงจะสามารถนำเสนอตัว innovation ได้(เราเคย mock สัมแล้วได้แค่พูดมา 2 นาทีสรปุแล้วพูดไม่ทัน ยัง address ปัญหาไม่จบเลย ตอนนั้นเลยโดน comment เรื่อง inno idea เวิ่นเว้อจนเกินไป ถึงวันจริงแล้วเราก็พูดแบบเดิมแต่เต็มและครบทุกอย่างที่เตรียมมา) โดย form/guideline ที่เราใช้พูดก็จะมีประมาณว่า 1. เกริ่นปัญหา(และบอกประโยชน์ของแมลงก่อนโยงเข้าข้อ 2) 2. ตัว Inno(ให้ข้อมูล+ดีกว่า product ทั่วไปยังไง) 3. ช่องทางการขาย 4. technology implementation 5. ปิดจบด้วยคำหวานๆ ตอนพูดเสร็จก็มีอจ.คนนึงพูดมาเลยนะว่า "hmm, that's pretty elevated." เราก็แบบ ห๊ะ ว้าว45556 แล้วเขาก็ถามเราต่อจากไอเดียนี้อยู่ 2 คำถามซึ่งไม่ยากมากและพอจะเตรียมมาได้(รู้สึกว่าถ้าเอาไปพูดใน presentation เราแล้วอะก็น่าจะไม่โดนถามต่อละนะ) 1. จะตั้งราคาเท่าไหร่(ข้อนี้เราค่อนข้าง reluctant ในการตอบ เพราะมันต้องคำนวณเยอะมากๆ เราก็เลยใช้การประมาณคร่าวๆเลยว่าราคาต้องแพงกว่าขนมทั่วไปอยู่แล้ว+การที่มันยัง mass produce ไม่ได้ ก็เลยบอกไปกลมๆว่า 40-50 บาท แต่ถ้าในระยะยาว บ.สามารถตั้งตัวได้ ก็จะสามารถ scale up ก.ผลิตได้ ดังนั้นราคาก็ต้องลดลงได้ อจ.ก็พยักหน้ากันหมดเลย 2. ส่วนประกอบของขนมนี้อะไรบ้าง เราก็ตอบได้หมดเลยเพราะเตรียม 2 อันนี้มาแล้วจริงๆ ให้เขารู้ว่าเรารู้ในเรื่องนี้จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ถามเราตรงนี้อีกเลย แล้วไปต่อในอะไรที่ไม่ค่อยตึงละ แบบ อจ.ฝรั่งถามว่า เอ้ ยูไปเรียนรร.อะไรเนี่ย ทำไมมันมีติดเข็มด้วย(ชิวเลยแหละ55) อีกอันอจ.คนไทยก็ถามว่าอะไรเล็กๆน้อยๆเรื่อยเปื่อยในพอร์ตของเราแค่นั้นก็จบแล้ว
[Character Assessment Test]
นี่อาจจะเป็น highlight สำหรับชาว BAScii candidates ในรุ่นถัดๆไป5455 ตอนแรกที่ออกเกณฑ์ใหม่นี้เราก็ช็อคและตกใจเหมือนกัน ตอนนั้นก็เครียดขึ้นมาเลยแหละเพราะเราไม่รู้อะไรเลย โชคดีที่ตอนนั้นหลังประกาศรับนร.ใหม่(รู้ตอนประกาศรับสมัครออก)ก็มีงาน OPH ของบาสไซพอดี ตอนนั้นเราก็เลยพอได้ข้อมูลมาว่ามันคือ half-day activity ที่จะ assess behaviour ตอนที่เราทำงานเป็นทีมไรงี้
ของเราจะได้ช่วงเช้าตั้งแต่ 9:00-12:00 AM(บ่าย 1:00-4:00 PM มีทั้งหมด 2 ช่วง) ละเอาจริงadmissionของบาสไซเป็นอะไรที่ค่อนข้างกินเวลานะ ถ้าใครที่สมัครหลายๆที่อะ มีโอกาสโดนบาสไซชนได้เยอะสุดเลย เพราะเราต้องไปสอบกับบาสไซ 2 วัน วันแรก apitude test ตอนเที่ยง+สอบสัมภาษณ์ในวันเดียวกันซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ประมาณ 8 โมง ถึง 4 โมงเย็นเลย(ขึ้นอยู่กับ slot เวลา 15 นาทีที่สัมภาษณ์ที่เราได้อะนะ) แล้วอีกวันนึงก็ต้องหมดช่วงเช้าไม่ก็บ่ายในการสอบ character assessment แต่เหมือนว่าจะมีคนที่ขอทางคณะเลื่อน test นี้ได้นะ แล้วบอกตรงๆเลยว่าชนสัมกับที่อื่น(รู้สึกได้เลยว่าคณะใจดีมากก)
เข้าเรื่อง จากวันแรกที่เราได้ทำ register ไว้ เขาจะให้ทำ DISC personality assessment(เหมือนทำ MBTI) พอวันที่ 2 เขาก็จะเอา type ที่เราได้ไปปรนกับ type อื่นๆให้คละๆกันเป็นทีมละ 6 คน รวมเป็น 10 ทีม ปีเราเป็นปีแรก เขาใช้พื้นที่ของ Sasin School of Management ที่อยู่ตรงข้ามบาสไซ จัดใน hall ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วจะมีเหมือนโต๊ะจีนกระจายทั่วห้องแล้วมีเวทีอยู่หน้าสุดของห้องเลย ตรงนั้นจะเป็นที่ๆ host พูดดำเนินงานต่างๆ
ก่อนเข้าห้องเขาจะเน้นย้ำมากๆเลยนะตรงเรื่องการเข้าห้องน้ำ คือถ้าเข้าไปแล้วจะออกจากห้องมาไม่ได้เลยจนว่าจะจบกิจกรรม เราแนะนำว่าตอนเช้าดื่มน้ำไปน้อยๆเลยนะ เข้าไปค่อยไปจิบๆเอา555 ในแต่ละโต๊ะก็จะมีเก้าอี้อีก 2 ตัวตั้งอยู่ห่างๆไว้สำหรับอาจารย์(เป็นได้ทั้งไทย ทั้งต่างชาติ)ที่คอยจด คอยสังเกตสิ่งที่เราทำตลอด(บังคับให้พูดอิ้งตอนทำงานนะเพราะเขาก็ต้อง assess เราจากตรงนั้นอะ) เก้าอี้อีกตัวให้รุ่นพี่บาสไซช่วยดูแลเรื่อง หยิบ เก็บของในการทำกิจกรรม พอเริ่มงานก็จะมี 2 กิจกรรมหลักๆเลย 1. Ice Breaking 2. Group Project ตามที่ให้โจทย์มา(โจทย์เหมือนกันหมดทุกกลุ่ม)
Ice breaking ที่เราได้ทำก็คือการทำหอคอยจากเส้นสปาเกตตี้ดิบแล้วให้ marshmallow อยู่บนยอด ทำยังไงก็ได้ให้สูงที่สุด โดยมี material ให้ประมาณนี้:
1. เส้นสปาเก็ตตี้ดิบ(10-20 อัน, หักเพื่อเอาไปใช้ได้)
2. marshmallow 1 ชิ้น
3. เทปสีแดง 1 อัน(คล้าย ducะ tape, ใช้มือฉีกได้ ไม่ต้องใช้กรรไกร)
4. เชือกสีแดง เส้น
พอ host จัดแจงรายละเอียดทุกอย่างอะไรหมดแล้วเขาก็จะให้เริ่มทำได้เลย ตอนนั้นน่าจะมีเวลา 15 นาทีนะ ก็ต้องวางแผนกับเพื่อนดีๆ ทำๆไปได้แป้ปนึง host ก็บอกว่า ให้ทุกคนยกมือข้างที่ถนัดขึ้นแล้วไว้ที่หลังของตัวเองแล้วก็ทำงานต่อ คือตลกมาก5565 ลำบากด้วย คือทุกคนต้องหันมาช่วยกันจริงๆอะ แม้จะใน task ง่ายๆก็เถอะ อย่างฉีกเทปไรงี้อะ พอ 5 นาทีสุดท้ายเขาก็ค่อยให้ใช้ได้ 2 มือตามปกติ พอจบปุ้ป ทุกอย่างต้องหยุดจริงๆ มือห้ามแตะอะไรเด็ดขาด สักพักเขาก็จะมาวัดส่วนสูงของหอคอยจนถึง height สูงสุดของ marshmallow เขาก็จะประกาศว่าทีมอะไรทำได้สูงที่สุด ส่วนทีมเราได้ความสูงประมาณ 26 cm +- นะถ้าจำไม่ผิด เอาจริงการทำอันนี้เราแนะนำเรื่อง plan ที่ดีกับการถ่วงน้ำหนักนะ เพราะพอติดมาร์ชเมลโล่ไปแล้วมันจะเอียงมากๆ55 พอเสร็จอันนี้แล้วเขาก็จะให้เราเขียนตอบคำถาม 3 ข้อ เหมือนว่า 1.reflection ในสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกิจกรรมนี้ 2. อะไรที่ต้องแก้ไขอีก ส่วน 3. เราจำไม่ได้แล้วอะ แงงง ซึ่งอันนี้อาจารย์เขาก็จะเอาที่เราเขียนไป gradedนะเพราะทุกคนจะได้เขียน application num. ไว้ ทั้งหมดนี้อันนีแค่น้ำจิ้มๆนะ5656
ต่อมาใน highlight ของงานก็คือทุกทีมในช่วงเช้าจะได้โจทย์เดียวกันหมดเลย(ช่วงบ่ายคนละโจทย์ แต่เรื่องหอคอยสปาเก็ตตี้เหมือนกัน) เราได้ประมาณโจทย์ว่า ลุงบุญมีเป็นช่าง textile ที่มีฝีมือที่จ.ลำปาง แต่สิ่งที่ลุงทำกำลังจะหายไปจากปัญหาที่ลูกลุงและวัยรุ่นแถวนั้นต่างเข้าไปใช้ชีวิตเพื่อความก้าวหน้าที่ดีกว่าทางด้านการแพทย์ที่เชียงใหม่ บวกกับการที่ลุงโดนสินค้าจากจีนบุกเข้าไทย(ขายถูก ตัดราคาไรงี้) แล้วจะทำยังไงเพื่อแก้ปัญหานี้ แล้วเขาก็จะให้ใบ SDGs มาด้วย แล้วให้ relate สิ่งที่เราทำเข้ากับข้อนั้นๆ คือ approach มันกว้างมากๆมันแล้วแต่ละทีมเลยว่าอยากจะทำยังไง(ไม่มีจำกัดเรื่อง budget ด้วย) ทีมเรา brainstorm กันนานมากๆ มีหลายไอเดียสุดๆ ใช้เวลาอยู่พอสมควรเลย จนสุดท้ายไปจบที่การทำร้านคาเฟ่ที่ขาย souvenir ของลุงแก+design ร้านที่อิงมาจากลายผ้าไหมของลุง+เปิด workshop ให้คนที่สนใจเข้ามาทำอะไรที่เกี่ยวกับผ้าไหมไทยกับลุงได้ ทีมอื่นก็มีทั้ง subsribption box set, หุ่นยนต์ที่ mix and match ชุดที่มาจากผ้าไหมแก, แต่ส่วนมากก็ทำคาเฟ่เนี่ยแหละ5666 พอทำเสร็จแล้วก็จะให้ 2 คนในทีมมั้งนะ ออกไปพรีเซน ซึ่งเราก็ออกไป554 แต่ทีมเราไม่ได้แย่งออกกันไปพรีเลยนะ เราก็เห็นมีเพื่อนคนึงที่อาสาออกไปพรี เราก็เห็นว่าในทีมคงไม่มีใครออก เราก็ออกไปด้วยกก็ได้55
Materials:
1. กล่องไปรษณีย์ขนาดยักษ์ ตัวเท่าคน5656 ด้านนึงเป็นสีขาว อีกด้านเป็นสี cardboard ปกติๆเลย
2. ลัง/กล่องไปรษณีย์ขนาดเท่ามือ
3. กรรไกร
4. Markers
ส่วนใหญ่ก็จะมีของประมาณนี้นะๆ อาจจะมีอย่างอื่นแต่ลืมไปละ ถถถ
จากที่มันค่อนข้าง repetitive กับกลุ่มอื่น พอได้มีโอกาสพรีแล้วเอาก็เลยพยายามใส่อะไรที่มัน unique ที่กลุ่มอื่นจะไม่มี(ได้พรีเป็นกลุ่มสุดท้าย) เช่นบนหลังคามี solar cells แล้วได้ในด้าน SDG ข้อ clean energy ด้วย, เนื่องจากร้านนี้จะอยู่ที่ลำปาง เราก็ให้ข้อมูลว่ามันสามารถเป็น bypass ให้คนที่จะผ่านไปหัวเมืองใหญ่ในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ได้ เราเลยจัดทำมุมถ่ายรูปสวยๆที่ใครเห็นแล้วก็ต้องรู้ว่าเป็นร้านลุงเพื่อ attract วัยรุ่นคนอย่างเราๆที่ติดโซเชียล, แก้วtakeawayที่เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้, เมล็ดกาแฟที่ sourced จากชุมชนรอบข้าง, website ที่ให้คนที่สนใจเข้ามาอ่านความเป็นมาและทำ online booking ที่เป็น workshop กับลุงได้ ประมาณนี้ พอแต่ละกลุ่มทำ presentation เสร็จ เขาก็จะให้ แต่ละกลุ่ม2นาทีเขียน reflection หรือ comment ให้แต่ละกลุ่มไว้ด้วย(เขียนทีมละ 1 แผ่น เป็นแผ่น post-it) เราก็จะได้อ่าน comments จากแต่ละทีมด้วยนะ หลังจบกิจกรรมนี้ก็ไม่ได้มีประกาศทีมที่ชนะหรืออะไรเลยนะ ต่อจากนี้ก็จะให้ทุกคนกรอก Google Forms ให้เลือก teammates2คนที่ทำงานดีที่สุดและ1คนที่ทำงานดีน้อยที่สุดพร้อมเขียนเหตุผล พอถึงตอนเที่ยงปุ้ปเขาก็ปล่อยเราเลยย
เปิดพอร์ต BAScii+แชร์คำถามสัมภาษณ์และการสอบเข้า BAScii ปี 2024
ตามนั้นเลยครับ วันนี้เราจะมาเปิดพอร์ตที่ใช้ยื่น BAScii แล้วติดตัวจริงในรอบ Early Admission 2024
[Scores]
ขอเกริ่นเรื่องคะแนนก่อนเลยเพื่อประกอบข้อมูลในการสอบเข้าด้วย โดยเราใช้คะแนน SAT Maths+IELTS ยื่นไป(คะแนน sat verbal เน่ามากกก เลยขอยื่นไอเอลดีกว่า555555)
IELTS Overall 7.5, SAT Math 780
เอาจริงนี่ก็ว่าคะแนนค่อนข้างช่วยในการสอบเข้ามากๆนะสำหรับชาวอินเตอร์ เรามองว่ามันคือปัจจัยที่ควบคุมได้ดีกว่าพอร์ตและการสัมภาษณ์ที่มันใช้เกณฑ์วัดค่อนข้างยาก แล้วใช่ว่าของทุกคนจะเหมือนกันด้วยยย ดังนั้น ใครที่มีเวลาเยอะๆขอให้ปั่นคะแนนไว้เยอะๆเลยเพราะเราจะได้เปรียบคนอื่นในการสอบเข้ามากๆ
[Portfolio]
เรารู้ตัวอยากเข้า BAScii ตั้งแต่มิถุนา 66 ตอนนั้นก็เลยเริ่มเตรียมตัวเก็บพอร์ตมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย เอาจริงๆคือค่อนข้างเริ่มจาก 0 เลยนะนอกเสียจากกิจกรรมที่เราทำเป็นปกติตามโรงเรียน แต่โชคดีที่เราค่อนข้างเป็นเด็กกิจกรรมอยู่แล้ว และ engaged ในกิจกรรมนอกรร.มากๆ(แต่ไม่เอาเรื่องเรียนในรร.เลย555)เพราะเราใช้เวลาทั้งม.5 ไปค่ายเยอะมากๆ(ทั้งหมดก็ 7-8+ ค่ายได้แหนะ)เพราะอยากหาคณะที่ใช่ด้วยและก็ชอบไปค่ายเป็นการส่วนตัว5555 เราก็เริ่มเก็บพอร์ตเน้นด้าน Business เพราะเป็นคนสนใจด้านนี้
ส่วนเรื่องการเขียนลงพอร์ตจริงๆเราก็เริ่มทำไปเรื่อยๆตั้งแต่เปิดให้รับสมัครเลย แต่เอาจริงๆมาเร่งทำในวันสุดท้ายของวันสมัครเพราะเราไม่มีตัวอย่าง/ref ดูเลย ซึ่งเราก็ไม่แนะนำเวย์นี้มากๆควรทำไปเรื่อยๆแล้วส่งพอร์ตก่อน registration deadline สักวันสองวันก็ดี
*ลิสต์ของกิจกรรมที่เราเขียนในพอร์ตขอทิ้งไว้ในช่อง comment นะ พิมพ์ไม่พอแล้ว565
[Innovation Idea]
*อ่านในช่อง comment นะของหน้า portfolio นะ อยู่ข้อ 11ๆ
[Aptitude Test]
ปีนี้ก็มีเวลา 30 นาทีตามเคย มีจับ pattern, เติมเลข, เติมคำ(business terms) ประมาณนี้ๆ มีแค่ 10 กว่าข้อถ้าจำไม่ผิดนะ เอาจริงก็ซ้อมๆทำไปหน่อยก็ดีนะ ทำไปนิดนึงให้เรารู้แนวก็พอ(รู้สึกว่าไม่ได้สำคัญอะไรมากในการสอบเข้า) ให้ search ในเน็ตเลยว่า IQ Test ไรงี้อะ ทำได้หมดเลยย
[Interview]
เราได้สัมภาษณ์ในช่วง 3:45 PM - 4:00 PM แต่เอาจริงได้เข้าไปสัมตั้งแต่บ่าย 3 10 นาทีกว่าๆละ เหมือนคิวมันจะเลื่อนเข้ามานะ โชคดีในการสอบสัมช่วงบ่ายคือที่อาจารย์จะเหนื่อยละ จะถามอะไรยากๆหรือจี้เรามากไม่ได้แล้ว ห้องสัมก็จะมีทั้งหมด 5 ห้อง ขึ้นชื่อว่าห้องที่ 2 จะเป็นห้องที่สัมตึงและเดือดที่สุด ส่วนห้องที่ 5 เป็นห้องที่ชิลที่สุด ส่วนห้องอื่นก็จะธรรมดาๆทั่วไปๆ เราได้สัมห้อง 1 เข้าไปก็จะมีอจ.อยู่ 3 คน เป็นผู้ชายหมดเลย ตรงกลางคนเป็นคนไทย(คนนี้จะนั่งดูและอ่านพอร์ตของเราตลอดการสัมภาษณ์เลย บางทีถ้าสงสัยอะไรในพอร์ตเราก็จะถามจากตรงนี้แหละ) อีก 2 คนรอบๆ คนเหมือนจะนึงเป็น European(ฟังจากสำเนียง) กับอีกคนที่น่าจะเป็น British โดยที่การสัมภาษณ์ครั้งนี้เรารู้สึกว่ามันเหมือนจะเป็นการเช็ค passion ในการเข้าที่นี่มากกว่านะ เพราะเราไม่โดนถามเรื่องข่าวเลย(ซึ่งเราเตรียมมาเยอะมากๆ เพราะกลัวที่สุดว่าเราจะโดนถามแล้วตอบไม่ได้ละจะโดนจี้ไปอีก) ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับตัวเราด้วยซ้ำ เข้ามาเขาก็จะให้แนะนำตัวเองเลยเหมือนกับทุกที่ที่ไปสัมภาษณ์(ไม่ได้จำกัดเวลานะ) พูดเสร็จเขาก็ยิงคำถามต่อมาเลยว่า Why BAScii and have you applied to other programmes? เสร็จปุ้ปเขาก็ถามต่อในอนาคตของตัวเองว่าจบไปแล้วจะทำอะไรต่อ คุณมองตัวเองในอีก 5-10 ปียังไง คุยๆไปซักพักก็โย้กย้ายไปพูด Innovation Idea ที่ทุกคนจะได้พูดกันในพอร์ตอยู่แล้วโดยเราไม่ได้จำกัดเวลา ซึ่งดีมากๆ เพราะเราต้องพูดค่อนข้างเยอะจากการที่ต้องท้าวความปัญหามา 2 อย่างก่อนได้ ถึงจะสามารถนำเสนอตัว innovation ได้(เราเคย mock สัมแล้วได้แค่พูดมา 2 นาทีสรปุแล้วพูดไม่ทัน ยัง address ปัญหาไม่จบเลย ตอนนั้นเลยโดน comment เรื่อง inno idea เวิ่นเว้อจนเกินไป ถึงวันจริงแล้วเราก็พูดแบบเดิมแต่เต็มและครบทุกอย่างที่เตรียมมา) โดย form/guideline ที่เราใช้พูดก็จะมีประมาณว่า 1. เกริ่นปัญหา(และบอกประโยชน์ของแมลงก่อนโยงเข้าข้อ 2) 2. ตัว Inno(ให้ข้อมูล+ดีกว่า product ทั่วไปยังไง) 3. ช่องทางการขาย 4. technology implementation 5. ปิดจบด้วยคำหวานๆ ตอนพูดเสร็จก็มีอจ.คนนึงพูดมาเลยนะว่า "hmm, that's pretty elevated." เราก็แบบ ห๊ะ ว้าว45556 แล้วเขาก็ถามเราต่อจากไอเดียนี้อยู่ 2 คำถามซึ่งไม่ยากมากและพอจะเตรียมมาได้(รู้สึกว่าถ้าเอาไปพูดใน presentation เราแล้วอะก็น่าจะไม่โดนถามต่อละนะ) 1. จะตั้งราคาเท่าไหร่(ข้อนี้เราค่อนข้าง reluctant ในการตอบ เพราะมันต้องคำนวณเยอะมากๆ เราก็เลยใช้การประมาณคร่าวๆเลยว่าราคาต้องแพงกว่าขนมทั่วไปอยู่แล้ว+การที่มันยัง mass produce ไม่ได้ ก็เลยบอกไปกลมๆว่า 40-50 บาท แต่ถ้าในระยะยาว บ.สามารถตั้งตัวได้ ก็จะสามารถ scale up ก.ผลิตได้ ดังนั้นราคาก็ต้องลดลงได้ อจ.ก็พยักหน้ากันหมดเลย 2. ส่วนประกอบของขนมนี้อะไรบ้าง เราก็ตอบได้หมดเลยเพราะเตรียม 2 อันนี้มาแล้วจริงๆ ให้เขารู้ว่าเรารู้ในเรื่องนี้จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ถามเราตรงนี้อีกเลย แล้วไปต่อในอะไรที่ไม่ค่อยตึงละ แบบ อจ.ฝรั่งถามว่า เอ้ ยูไปเรียนรร.อะไรเนี่ย ทำไมมันมีติดเข็มด้วย(ชิวเลยแหละ55) อีกอันอจ.คนไทยก็ถามว่าอะไรเล็กๆน้อยๆเรื่อยเปื่อยในพอร์ตของเราแค่นั้นก็จบแล้ว
[Character Assessment Test]
นี่อาจจะเป็น highlight สำหรับชาว BAScii candidates ในรุ่นถัดๆไป5455 ตอนแรกที่ออกเกณฑ์ใหม่นี้เราก็ช็อคและตกใจเหมือนกัน ตอนนั้นก็เครียดขึ้นมาเลยแหละเพราะเราไม่รู้อะไรเลย โชคดีที่ตอนนั้นหลังประกาศรับนร.ใหม่(รู้ตอนประกาศรับสมัครออก)ก็มีงาน OPH ของบาสไซพอดี ตอนนั้นเราก็เลยพอได้ข้อมูลมาว่ามันคือ half-day activity ที่จะ assess behaviour ตอนที่เราทำงานเป็นทีมไรงี้
ของเราจะได้ช่วงเช้าตั้งแต่ 9:00-12:00 AM(บ่าย 1:00-4:00 PM มีทั้งหมด 2 ช่วง) ละเอาจริงadmissionของบาสไซเป็นอะไรที่ค่อนข้างกินเวลานะ ถ้าใครที่สมัครหลายๆที่อะ มีโอกาสโดนบาสไซชนได้เยอะสุดเลย เพราะเราต้องไปสอบกับบาสไซ 2 วัน วันแรก apitude test ตอนเที่ยง+สอบสัมภาษณ์ในวันเดียวกันซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ประมาณ 8 โมง ถึง 4 โมงเย็นเลย(ขึ้นอยู่กับ slot เวลา 15 นาทีที่สัมภาษณ์ที่เราได้อะนะ) แล้วอีกวันนึงก็ต้องหมดช่วงเช้าไม่ก็บ่ายในการสอบ character assessment แต่เหมือนว่าจะมีคนที่ขอทางคณะเลื่อน test นี้ได้นะ แล้วบอกตรงๆเลยว่าชนสัมกับที่อื่น(รู้สึกได้เลยว่าคณะใจดีมากก)
เข้าเรื่อง จากวันแรกที่เราได้ทำ register ไว้ เขาจะให้ทำ DISC personality assessment(เหมือนทำ MBTI) พอวันที่ 2 เขาก็จะเอา type ที่เราได้ไปปรนกับ type อื่นๆให้คละๆกันเป็นทีมละ 6 คน รวมเป็น 10 ทีม ปีเราเป็นปีแรก เขาใช้พื้นที่ของ Sasin School of Management ที่อยู่ตรงข้ามบาสไซ จัดใน hall ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วจะมีเหมือนโต๊ะจีนกระจายทั่วห้องแล้วมีเวทีอยู่หน้าสุดของห้องเลย ตรงนั้นจะเป็นที่ๆ host พูดดำเนินงานต่างๆ
ก่อนเข้าห้องเขาจะเน้นย้ำมากๆเลยนะตรงเรื่องการเข้าห้องน้ำ คือถ้าเข้าไปแล้วจะออกจากห้องมาไม่ได้เลยจนว่าจะจบกิจกรรม เราแนะนำว่าตอนเช้าดื่มน้ำไปน้อยๆเลยนะ เข้าไปค่อยไปจิบๆเอา555 ในแต่ละโต๊ะก็จะมีเก้าอี้อีก 2 ตัวตั้งอยู่ห่างๆไว้สำหรับอาจารย์(เป็นได้ทั้งไทย ทั้งต่างชาติ)ที่คอยจด คอยสังเกตสิ่งที่เราทำตลอด(บังคับให้พูดอิ้งตอนทำงานนะเพราะเขาก็ต้อง assess เราจากตรงนั้นอะ) เก้าอี้อีกตัวให้รุ่นพี่บาสไซช่วยดูแลเรื่อง หยิบ เก็บของในการทำกิจกรรม พอเริ่มงานก็จะมี 2 กิจกรรมหลักๆเลย 1. Ice Breaking 2. Group Project ตามที่ให้โจทย์มา(โจทย์เหมือนกันหมดทุกกลุ่ม)
Ice breaking ที่เราได้ทำก็คือการทำหอคอยจากเส้นสปาเกตตี้ดิบแล้วให้ marshmallow อยู่บนยอด ทำยังไงก็ได้ให้สูงที่สุด โดยมี material ให้ประมาณนี้:
1. เส้นสปาเก็ตตี้ดิบ(10-20 อัน, หักเพื่อเอาไปใช้ได้)
2. marshmallow 1 ชิ้น
3. เทปสีแดง 1 อัน(คล้าย ducะ tape, ใช้มือฉีกได้ ไม่ต้องใช้กรรไกร)
4. เชือกสีแดง เส้น
พอ host จัดแจงรายละเอียดทุกอย่างอะไรหมดแล้วเขาก็จะให้เริ่มทำได้เลย ตอนนั้นน่าจะมีเวลา 15 นาทีนะ ก็ต้องวางแผนกับเพื่อนดีๆ ทำๆไปได้แป้ปนึง host ก็บอกว่า ให้ทุกคนยกมือข้างที่ถนัดขึ้นแล้วไว้ที่หลังของตัวเองแล้วก็ทำงานต่อ คือตลกมาก5565 ลำบากด้วย คือทุกคนต้องหันมาช่วยกันจริงๆอะ แม้จะใน task ง่ายๆก็เถอะ อย่างฉีกเทปไรงี้อะ พอ 5 นาทีสุดท้ายเขาก็ค่อยให้ใช้ได้ 2 มือตามปกติ พอจบปุ้ป ทุกอย่างต้องหยุดจริงๆ มือห้ามแตะอะไรเด็ดขาด สักพักเขาก็จะมาวัดส่วนสูงของหอคอยจนถึง height สูงสุดของ marshmallow เขาก็จะประกาศว่าทีมอะไรทำได้สูงที่สุด ส่วนทีมเราได้ความสูงประมาณ 26 cm +- นะถ้าจำไม่ผิด เอาจริงการทำอันนี้เราแนะนำเรื่อง plan ที่ดีกับการถ่วงน้ำหนักนะ เพราะพอติดมาร์ชเมลโล่ไปแล้วมันจะเอียงมากๆ55 พอเสร็จอันนี้แล้วเขาก็จะให้เราเขียนตอบคำถาม 3 ข้อ เหมือนว่า 1.reflection ในสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกิจกรรมนี้ 2. อะไรที่ต้องแก้ไขอีก ส่วน 3. เราจำไม่ได้แล้วอะ แงงง ซึ่งอันนี้อาจารย์เขาก็จะเอาที่เราเขียนไป gradedนะเพราะทุกคนจะได้เขียน application num. ไว้ ทั้งหมดนี้อันนีแค่น้ำจิ้มๆนะ5656
ต่อมาใน highlight ของงานก็คือทุกทีมในช่วงเช้าจะได้โจทย์เดียวกันหมดเลย(ช่วงบ่ายคนละโจทย์ แต่เรื่องหอคอยสปาเก็ตตี้เหมือนกัน) เราได้ประมาณโจทย์ว่า ลุงบุญมีเป็นช่าง textile ที่มีฝีมือที่จ.ลำปาง แต่สิ่งที่ลุงทำกำลังจะหายไปจากปัญหาที่ลูกลุงและวัยรุ่นแถวนั้นต่างเข้าไปใช้ชีวิตเพื่อความก้าวหน้าที่ดีกว่าทางด้านการแพทย์ที่เชียงใหม่ บวกกับการที่ลุงโดนสินค้าจากจีนบุกเข้าไทย(ขายถูก ตัดราคาไรงี้) แล้วจะทำยังไงเพื่อแก้ปัญหานี้ แล้วเขาก็จะให้ใบ SDGs มาด้วย แล้วให้ relate สิ่งที่เราทำเข้ากับข้อนั้นๆ คือ approach มันกว้างมากๆมันแล้วแต่ละทีมเลยว่าอยากจะทำยังไง(ไม่มีจำกัดเรื่อง budget ด้วย) ทีมเรา brainstorm กันนานมากๆ มีหลายไอเดียสุดๆ ใช้เวลาอยู่พอสมควรเลย จนสุดท้ายไปจบที่การทำร้านคาเฟ่ที่ขาย souvenir ของลุงแก+design ร้านที่อิงมาจากลายผ้าไหมของลุง+เปิด workshop ให้คนที่สนใจเข้ามาทำอะไรที่เกี่ยวกับผ้าไหมไทยกับลุงได้ ทีมอื่นก็มีทั้ง subsribption box set, หุ่นยนต์ที่ mix and match ชุดที่มาจากผ้าไหมแก, แต่ส่วนมากก็ทำคาเฟ่เนี่ยแหละ5666 พอทำเสร็จแล้วก็จะให้ 2 คนในทีมมั้งนะ ออกไปพรีเซน ซึ่งเราก็ออกไป554 แต่ทีมเราไม่ได้แย่งออกกันไปพรีเลยนะ เราก็เห็นมีเพื่อนคนึงที่อาสาออกไปพรี เราก็เห็นว่าในทีมคงไม่มีใครออก เราก็ออกไปด้วยกก็ได้55
Materials:
1. กล่องไปรษณีย์ขนาดยักษ์ ตัวเท่าคน5656 ด้านนึงเป็นสีขาว อีกด้านเป็นสี cardboard ปกติๆเลย
2. ลัง/กล่องไปรษณีย์ขนาดเท่ามือ
3. กรรไกร
4. Markers
ส่วนใหญ่ก็จะมีของประมาณนี้นะๆ อาจจะมีอย่างอื่นแต่ลืมไปละ ถถถ
จากที่มันค่อนข้าง repetitive กับกลุ่มอื่น พอได้มีโอกาสพรีแล้วเอาก็เลยพยายามใส่อะไรที่มัน unique ที่กลุ่มอื่นจะไม่มี(ได้พรีเป็นกลุ่มสุดท้าย) เช่นบนหลังคามี solar cells แล้วได้ในด้าน SDG ข้อ clean energy ด้วย, เนื่องจากร้านนี้จะอยู่ที่ลำปาง เราก็ให้ข้อมูลว่ามันสามารถเป็น bypass ให้คนที่จะผ่านไปหัวเมืองใหญ่ในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ได้ เราเลยจัดทำมุมถ่ายรูปสวยๆที่ใครเห็นแล้วก็ต้องรู้ว่าเป็นร้านลุงเพื่อ attract วัยรุ่นคนอย่างเราๆที่ติดโซเชียล, แก้วtakeawayที่เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้, เมล็ดกาแฟที่ sourced จากชุมชนรอบข้าง, website ที่ให้คนที่สนใจเข้ามาอ่านความเป็นมาและทำ online booking ที่เป็น workshop กับลุงได้ ประมาณนี้ พอแต่ละกลุ่มทำ presentation เสร็จ เขาก็จะให้ แต่ละกลุ่ม2นาทีเขียน reflection หรือ comment ให้แต่ละกลุ่มไว้ด้วย(เขียนทีมละ 1 แผ่น เป็นแผ่น post-it) เราก็จะได้อ่าน comments จากแต่ละทีมด้วยนะ หลังจบกิจกรรมนี้ก็ไม่ได้มีประกาศทีมที่ชนะหรืออะไรเลยนะ ต่อจากนี้ก็จะให้ทุกคนกรอก Google Forms ให้เลือก teammates2คนที่ทำงานดีที่สุดและ1คนที่ทำงานดีน้อยที่สุดพร้อมเขียนเหตุผล พอถึงตอนเที่ยงปุ้ปเขาก็ปล่อยเราเลยย