สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์การเตรียมสอบ IELTS ครั้งแรกในชีวิตของเราที่ใช้เวลาเตรียมตัว 2 เดือนจนได้ overall 7.5🤩
เราสอบ Academic แบบ Computer-based ไปในวันที่ 2 ส.ค. 2566 ของ IDP ที่ CP Tower Silom นะครับ
คะแนนที่เราได้ก็ตามนี้เลยยย👍🏼👍🏼
Overall: 7.5
Listening: 8.0
Reading: 7.0
Writing: 6.5
Speaking: 7.5
เราขอบอกโปรไฟล์คร่าวๆของเราก่อนจะได้รู้จักเรามากขึ้น
-อนุบาลเรียนโรงเรียนอินเตอร์ 3 ปี
-ประถม+ม.ต้นเรียนโรงเรียนเอกชน หลักสูตร EP
-ตอนนี้เรียนอยู่ ม.6 /เรียนม.ปลายในโรงเรียนรัฐบาลในกรุงเทพ
ขอท้าวความตรงนี้ก่อนว่าภาษาอังกฤษเราก็ค่อนข้างเหมือนเด็กไทยทั่วไปถึงแม้ว่าจะเรียนอินเตอร์กับ EP มาก็ตาม ฟังได้อ่านได้ไม่มีปัญหา แต่จะติดเรื่องการพูดกับเขียนที่ไม่ถนัด เราเริ่มสนใจพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองตั้งแต่ม.ต้นทำให้เรามีทักษะการพูดที่ค่อนข้างดีจากการที่เราปั้นเรื่องการพูดมาตลอดจนถึงตอนนี้
เราเริ่มเตรียมตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภา แล้วสอบต้นเดือนสิงหา ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน
เราใช้เวลา 1 เดือนกว่าเรียนคอร์ส Speak Write กับทางสถาบัน New Cambridge Institute ที่ CentralWorld จนถึงสิ้นเดือนมิถุนา
แล้วอีก 1 เดือนเราฝึกพาร์ท Reading กับ Listening เต็มๆเป็นส่วนใหญ่เลย (จริงๆไม่แนะนำให้ทำแบบนี้นะ เราว่าติวทั้ง 4 พาร์ทไปพร้อมๆกันจะดีกว่านะ จะได้เซ้ฟเวลา แถมทุก skill จะได้ไปพร้อมกันด้วย👍🏼) อีกอย่างที่อยากแนะนำเลยก็คือให้ลงวันสอบไปก่อนเรียน/ก่อนติวเลย เราจะได้มีไฟและจะได้จัดตารางชีวิตได้ถูก
Listening
เราติวแต่ในหนังสือข้อสอบ Cambridge อย่างเดียวเลย พยายามทำโจทย์ผ่านในนั้นให้ได้มากที่สุด แล้วใช้เวลาส่วนมากมานั่งดูว่าเราพลาดตรงไหน แล้วพอก่อนที่เราจะกลับไปทำอีกชุดนึงใหม่ เราก็จะทวนตัวเองอีกทีว่าจะต้องระวังอะไรที่เราพลาด เราขอบอกเลยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดใน module นี้คือสติจริงๆ เพราะปกติเราจะทำ part 4 ได้เต็มตลอด แต่จะเป็น part 1 ที่เรามักจะมีปัญหาเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังโฟกัสกับข้อสอบไม่ได้ แล้วถ้าหลุดฟังอะไรมันก็จะหลุดไปเลย
แนวที่เราทำได้ไม่ค่อยดีคือแนวโจทย์ที่เป็น maps กับ multiple choice เราฝึก maps โดยการฝึกในเว็บไซต์นี้
https://mini-ielts.com/listening ซึ่งแบ่งเป็นหัวข้อๆให้ทำซึ่งเราว่ามันดีมากๆ ส่วน multiple choice เรามองว่าเป็นปัญหาของการอ่านไม่ทันเวลาที่ให้ เราก็จะพยายามแบ่งเวลาช่วงต้นที่ตัวข้อสอบพูดเยอะๆไปอ่านพาร์ท 2 ก่อน แล้วค่อยมาอ่านข้อ 1 ตอน 30 วิที่เขาให้อ่านอีกที แล้วเราก็จะมีเวลาอ่านล่วงหน้าแบบนี้ไปเรื่อยๆก่อนทุกพาร์ท พยายามจำและทำความเข้าใจโจทย์และตัวเลือกดีๆ ถ้าอ่านพลาดไปคำ 2 คำเราว่าการอ่านจับใจความทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปได้เลย นี่คือปัญหาที่เราเจอก่อนสอบ
Reading
จริงๆเราหวัง module นี้สูงมากกก เราตั้งไว้ 8.0 แต่จริงๆได้ 7.0 TT reading เป็นอะไรที่เราทำได้ไม่ค่อยดีและไม่ได้ตามที่หวังจริงๆ แต่การฝึกของเราก็คล้ายๆกับ listening เลย ก็คือการทำโจทย์ซึ่งเราว่ามันก็เป็นการทำให้เราคุ้นชินกับตัวข้อสอบที่มีแนวเยอะมากกก สิ่งที่ทำได้คือการทำให้ชินกับแต่ละแนวๆโจทย์ไป และหาเทคนิคที่เหมาะกับตัวเองแล้วนำไปปรับใช้ในข้อสอบ
เราขอแนะนำให้ฝึกและทำความเข้าใจกับแนว yes no not given ให้แม่นๆเลยเพราะเราว่าส่วนนี้มีโอกาสออกได้ในทุก part พยายามทำความเข้าใจกับโจทย์กับตัวเนื้อหาดีๆเพราะตัวโจทย์จะถามชวนปวดหัว ทำให้งงมาก
อีกแนวที่อยากให้เน้นเลยก็คือแนว gap-filling ส่วนนี้ถือว่าแจกคะแนนอยู่พอสมควร ตอนทำก็ให้ระวังกับคำดีๆ อ่านทั้งโจทย์กับตัวประโยคให้เข้าใจ เพราะถ้าหลุดมาเราว่ามันไม่คุ้มกันจริงๆ
พยายาม scan หาข้อความที่ตรงกับตัวโจทย์ที่เราทำไปก่อนพอเจอแล้วก็หยุดแล้วตั้งใจอ่านประโยคตรงนั้นให้ละเอียดใหม่เพราะโอกาสจะสะเพร่ามันเยอะมากๆถ้าเรารีบอ่านทุกอย่างไปหมด
Writing
module นี้เป็นอะไรที่เราไม่ถนัดมากๆเหมือนใครหลายๆคน สิ่งที่เราว่าต้องทำเลยก็คือเขียนเยอะๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือคนตรวจ เราลองตรวจมาหลายที่มากแล้วเรารู้สึกว่าใช้คนตรวจน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เราลองใช้ AI/ChatGPT หรือระบบตรวจตามเว็บต่างๆซึ่งรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะแม่นยำสักเท่าไหร่
พยายาม troubleshoot จากข้อผิดพลาดของเราจากงานตรวจ แล้วที่สำคัญคือต้อง run full writing test รวมทั้ง 2 tasks ถ้าอยากท้าทายตัวเองก็ลองเปิดเสียงคนพิมพ์คีย์บอร์ดไว้ด้วยเลยก็ได้นะ4555555 รู้สึกว่าเสียงพวกนี้มันทำให้เรานึกไม่ค่อยออกในวันจริงจริงๆ
Task 2 เราอยากให้เน้นเรื่องการจัดการไอเดียว่าเราจะเขียนยังไงบ้าง list มาเป็นข้อๆเลยว่า paragraph นี้จะเขียนอะไรบ้าง ถ้าโจทย์บอกให้เขียน example ก็ดูว่าจะเขียนมันเข้าไว้ที่ตรงไหน สำหรับเราที่ไม่มีปัญหาเรื่องการพิมพ์ไม่ทัน/คิดไม่ออกตอนพิมพ์ เราอยากให้ใช้เวลาคิด ideas พวกนี้สัก 4-5 นาทีเลยเพราะมันสำคัญมากๆ เพราะวันจริงเรารีบพิมพ์จนเหลือเวลาอยู่ 10 กว่านาที แต่ตอนกลับไปอ่าน essay รู้สึกเลยว่าไอเดียอะไรพวกนี้มันยังไม่เข้าที่เลย
ส่วน task 1 เราได้เรื่อง table ในวันจริงซึ่งก็ถือว่าไม่ยากมาก เป็นตารางแบบ 3x4 ข้อมูลไม่เยอะเลยย แต่ที่ต้องมีตอนเข้าไปทำ task 1 เลยคือพวกคำต่างๆที่ describe trends พวกนี้ ส่วน linking words ก็พยายามฝึกใช้ให้ชินใช้ให้หลากหลาย เพราะยังไงก็ได้ใช้ทั้ง 2 tasks เลย
Speaking
น่าจะเป็นอะไรที่คนไทยทำได้ไม่ค่อยดีเท่าพาร์ทอื่นๆอย่าง listening กับ reading สำหรับเรานี้เป็น module ที่ดึงคะแนนขึ้นมาเยอะมาก ซึ่งจริงๆ speaking เป็นอะไรที่ใช้การฝึกระยะยาว ตั้งแต่ที่เราเริ่มฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจังตอนม.ต้น เราไม่มีใครคุยอังกฤษด้วยแต่เราก็คุยกับตัวเองและคิดเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นไปได้ช่วงนั้นเราก็ไปคุยเล่นกับ teacher นอกจากนั้นก็พยายามซึมซับและเปลี่ยนอะไรรอบข้างให้เป็นภาษาอังกฤษ เรากล้าบอกเลยว่าทั้งหมดที่เราทำมามันเปลี่ยน skill การพูดเราไปเยอะมากเลย เราพูดได้คล่องมากขึ้นและค่อยๆดีขึ้น แต่การพูดอะไรแบบนี้ยังไงก็ต้องมีพูดผิดอยู่แล้ว แต่เรื่องพวกนี้มันฝึกได้ เรียนรู้จากทุกความผิดพลาดของเรานั่นแหละ เราก็พยายามอุดรอยรั่วของตัวเองอยู่ตลอดทำให้อิ้งเรายิ่งแข็งขึ้นไปอีก
สำหรับเตรียมสอบ พยายามพูดให้เยอะๆ พรรณนาให้มากๆ เพราะ IELTS ชอบให้เราพูดเยอะๆ ซึ่งก็ค่อนข้างฝืนกับหลักการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน เราแนะนำให้พยายามใส่คำยากไปตลอดๆตอนพูด ถ้านึก synonyms อะไรออกให้แทนแทนคำง่ายๆได้ให้แทนไปเลย เช่น I think… เป็น I reckon… หรือ think เป็น consider เป็นต้น
ตอนเดินเข้าห้องสอบ speaking อย่ากดดันตัวเองนะ อย่าทำให้ตัวเองเครียด พยายามยิ้มสู้ พูดทักทายตอนต้นสอบแบบมั่นใจไปเลย เพราะตอนนั้นมันก็ทำให้ใจเราสงบลงจริงๆนะ ตลอดตอนสอบไม่ตื่นเต้นเลย
Part 1 - คำถามทั่วไปตอบได้ไม่ยาก ถ้าเจอหัวข้อที่ชินหรือมีโอกาสถามบ่อยๆก็ให้เตรียมแนวๆที่เราจะสอบไปเลย เพราะเราจะแทรกคำยาก/idioms ได้ง่าย
Part 2 - ถ้าเจอหัวข้อที่นึกไม่ออกก็เมคมันมาเลย แต่ระวังว่ามันจะต่อเรื่องไม่ได้ก็พอ เพราะตอนสอบที่เรานึกเรื่องไม่ออกก็แต่งมันขึ้นมาเลย565655 ส่วนปัญหาที่เราเจอในวันจริงคือพูดไม่พอ แต่ก็พยายามถูๆไถๆได้จนจบ555545545 ตอนโน้ตเราจะฟิ้กให้ตัวเองเขียนและพูด idiom สัก 1-2 อยาก ลิสต์เป็น bullet point อย่างละคำๆ ถ้าหมดที่พูดแล้วเราอาจจะยกเรื่องอื่นมาพูดด้วยเลยก็ได้ อย่าให้ปล่อย blank เด็ดขาด!!
Part 3 - เป็นพาร์ทที่ใช้การคิดวิเคราะห์มากจริงๆ เรารู้สึกว่าโดนถามค่อนข้างเยอะในวันจริง ลองเตรียมคำหรือ phrase ที่ใช้ยื้อเวลาให้เราได้คิดก่อนพูดได้เลย พยายามจัดเรียงความคิดก่อนตอบไปดีๆ
Extra tips: พยายามใช้ If clause บ่อยๆในเรื่องที่เกี่ยวกับอะไรที่ไม่เป็นจริง แบบ ถ้า…มันเป็นแบบนี้…เราจะ…รู้สึกดีใจมาก… และการใช้ linking words พยายามใส่ไปเยอะๆ ตรงนี้จะได้เพิ่มตรง grammar accuracy ได้ทั้งคู่เลย
การฝึกสกิล (ตัวอย่างที่ดีของ “Kill FOUR birds with one stone” เพราะน่าจะได้ทั้ง 4 modules เลย5555455)
หาคำศัพท์ยากๆและ idiom มาเติมอยู่เสมอ อย่างเราก็จะลิสต์คำไว้ในแอพ dictionary ในโทรศัพท์ พยายามฟอล/ติดตามเพจที่ชอบโพสต์คำศัพท์และสำนวนไว้สำหรับเตรียมสอบอยู่ตลอดๆ แล้วก็นำมาปรับใช้ในการพูด/เขียน(ยกเว้น idiom นะ5656554) สักพักเราจะสามารถเอาคำพวกนี้มาใช้ได้เองในวันจริง ไม่ก็อ่าน passage ได้รู้เรื่องมากขึ้น มีศัพท์ในหัวมากขึ้น
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังจะสอบ IELTS นะครับ ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรก็พิมพ์สอบถามมาได้เลย ยินดีตอบครับผม🫡
สุดท้ายนี้ก็ขอให้คนที่กำลังเตรียมสอบ IELTS ก็สู้ๆนะครับ IELTS ไม่ใช่การสอบวัดความรู้ แต่เป็นการวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษของเรา หวังว่าทุกคนจะได้คะแนนตามที่ตัวเองหวังนะ สู้ๆ เราทำได้✌🏼
แชร์ประสบการณ์เตรียมสอบ IELTS 7.5 ใน 2 เดือน
เราสอบ Academic แบบ Computer-based ไปในวันที่ 2 ส.ค. 2566 ของ IDP ที่ CP Tower Silom นะครับ
คะแนนที่เราได้ก็ตามนี้เลยยย👍🏼👍🏼
Overall: 7.5
Listening: 8.0
Reading: 7.0
Writing: 6.5
Speaking: 7.5
เราขอบอกโปรไฟล์คร่าวๆของเราก่อนจะได้รู้จักเรามากขึ้น
-อนุบาลเรียนโรงเรียนอินเตอร์ 3 ปี
-ประถม+ม.ต้นเรียนโรงเรียนเอกชน หลักสูตร EP
-ตอนนี้เรียนอยู่ ม.6 /เรียนม.ปลายในโรงเรียนรัฐบาลในกรุงเทพ
ขอท้าวความตรงนี้ก่อนว่าภาษาอังกฤษเราก็ค่อนข้างเหมือนเด็กไทยทั่วไปถึงแม้ว่าจะเรียนอินเตอร์กับ EP มาก็ตาม ฟังได้อ่านได้ไม่มีปัญหา แต่จะติดเรื่องการพูดกับเขียนที่ไม่ถนัด เราเริ่มสนใจพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองตั้งแต่ม.ต้นทำให้เรามีทักษะการพูดที่ค่อนข้างดีจากการที่เราปั้นเรื่องการพูดมาตลอดจนถึงตอนนี้
เราเริ่มเตรียมตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภา แล้วสอบต้นเดือนสิงหา ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน
เราใช้เวลา 1 เดือนกว่าเรียนคอร์ส Speak Write กับทางสถาบัน New Cambridge Institute ที่ CentralWorld จนถึงสิ้นเดือนมิถุนา
แล้วอีก 1 เดือนเราฝึกพาร์ท Reading กับ Listening เต็มๆเป็นส่วนใหญ่เลย (จริงๆไม่แนะนำให้ทำแบบนี้นะ เราว่าติวทั้ง 4 พาร์ทไปพร้อมๆกันจะดีกว่านะ จะได้เซ้ฟเวลา แถมทุก skill จะได้ไปพร้อมกันด้วย👍🏼) อีกอย่างที่อยากแนะนำเลยก็คือให้ลงวันสอบไปก่อนเรียน/ก่อนติวเลย เราจะได้มีไฟและจะได้จัดตารางชีวิตได้ถูก
Listening
เราติวแต่ในหนังสือข้อสอบ Cambridge อย่างเดียวเลย พยายามทำโจทย์ผ่านในนั้นให้ได้มากที่สุด แล้วใช้เวลาส่วนมากมานั่งดูว่าเราพลาดตรงไหน แล้วพอก่อนที่เราจะกลับไปทำอีกชุดนึงใหม่ เราก็จะทวนตัวเองอีกทีว่าจะต้องระวังอะไรที่เราพลาด เราขอบอกเลยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดใน module นี้คือสติจริงๆ เพราะปกติเราจะทำ part 4 ได้เต็มตลอด แต่จะเป็น part 1 ที่เรามักจะมีปัญหาเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังโฟกัสกับข้อสอบไม่ได้ แล้วถ้าหลุดฟังอะไรมันก็จะหลุดไปเลย
แนวที่เราทำได้ไม่ค่อยดีคือแนวโจทย์ที่เป็น maps กับ multiple choice เราฝึก maps โดยการฝึกในเว็บไซต์นี้ https://mini-ielts.com/listening ซึ่งแบ่งเป็นหัวข้อๆให้ทำซึ่งเราว่ามันดีมากๆ ส่วน multiple choice เรามองว่าเป็นปัญหาของการอ่านไม่ทันเวลาที่ให้ เราก็จะพยายามแบ่งเวลาช่วงต้นที่ตัวข้อสอบพูดเยอะๆไปอ่านพาร์ท 2 ก่อน แล้วค่อยมาอ่านข้อ 1 ตอน 30 วิที่เขาให้อ่านอีกที แล้วเราก็จะมีเวลาอ่านล่วงหน้าแบบนี้ไปเรื่อยๆก่อนทุกพาร์ท พยายามจำและทำความเข้าใจโจทย์และตัวเลือกดีๆ ถ้าอ่านพลาดไปคำ 2 คำเราว่าการอ่านจับใจความทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปได้เลย นี่คือปัญหาที่เราเจอก่อนสอบ
Reading
จริงๆเราหวัง module นี้สูงมากกก เราตั้งไว้ 8.0 แต่จริงๆได้ 7.0 TT reading เป็นอะไรที่เราทำได้ไม่ค่อยดีและไม่ได้ตามที่หวังจริงๆ แต่การฝึกของเราก็คล้ายๆกับ listening เลย ก็คือการทำโจทย์ซึ่งเราว่ามันก็เป็นการทำให้เราคุ้นชินกับตัวข้อสอบที่มีแนวเยอะมากกก สิ่งที่ทำได้คือการทำให้ชินกับแต่ละแนวๆโจทย์ไป และหาเทคนิคที่เหมาะกับตัวเองแล้วนำไปปรับใช้ในข้อสอบ
เราขอแนะนำให้ฝึกและทำความเข้าใจกับแนว yes no not given ให้แม่นๆเลยเพราะเราว่าส่วนนี้มีโอกาสออกได้ในทุก part พยายามทำความเข้าใจกับโจทย์กับตัวเนื้อหาดีๆเพราะตัวโจทย์จะถามชวนปวดหัว ทำให้งงมาก
อีกแนวที่อยากให้เน้นเลยก็คือแนว gap-filling ส่วนนี้ถือว่าแจกคะแนนอยู่พอสมควร ตอนทำก็ให้ระวังกับคำดีๆ อ่านทั้งโจทย์กับตัวประโยคให้เข้าใจ เพราะถ้าหลุดมาเราว่ามันไม่คุ้มกันจริงๆ
พยายาม scan หาข้อความที่ตรงกับตัวโจทย์ที่เราทำไปก่อนพอเจอแล้วก็หยุดแล้วตั้งใจอ่านประโยคตรงนั้นให้ละเอียดใหม่เพราะโอกาสจะสะเพร่ามันเยอะมากๆถ้าเรารีบอ่านทุกอย่างไปหมด
Writing
module นี้เป็นอะไรที่เราไม่ถนัดมากๆเหมือนใครหลายๆคน สิ่งที่เราว่าต้องทำเลยก็คือเขียนเยอะๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือคนตรวจ เราลองตรวจมาหลายที่มากแล้วเรารู้สึกว่าใช้คนตรวจน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เราลองใช้ AI/ChatGPT หรือระบบตรวจตามเว็บต่างๆซึ่งรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะแม่นยำสักเท่าไหร่
พยายาม troubleshoot จากข้อผิดพลาดของเราจากงานตรวจ แล้วที่สำคัญคือต้อง run full writing test รวมทั้ง 2 tasks ถ้าอยากท้าทายตัวเองก็ลองเปิดเสียงคนพิมพ์คีย์บอร์ดไว้ด้วยเลยก็ได้นะ4555555 รู้สึกว่าเสียงพวกนี้มันทำให้เรานึกไม่ค่อยออกในวันจริงจริงๆ
Task 2 เราอยากให้เน้นเรื่องการจัดการไอเดียว่าเราจะเขียนยังไงบ้าง list มาเป็นข้อๆเลยว่า paragraph นี้จะเขียนอะไรบ้าง ถ้าโจทย์บอกให้เขียน example ก็ดูว่าจะเขียนมันเข้าไว้ที่ตรงไหน สำหรับเราที่ไม่มีปัญหาเรื่องการพิมพ์ไม่ทัน/คิดไม่ออกตอนพิมพ์ เราอยากให้ใช้เวลาคิด ideas พวกนี้สัก 4-5 นาทีเลยเพราะมันสำคัญมากๆ เพราะวันจริงเรารีบพิมพ์จนเหลือเวลาอยู่ 10 กว่านาที แต่ตอนกลับไปอ่าน essay รู้สึกเลยว่าไอเดียอะไรพวกนี้มันยังไม่เข้าที่เลย
ส่วน task 1 เราได้เรื่อง table ในวันจริงซึ่งก็ถือว่าไม่ยากมาก เป็นตารางแบบ 3x4 ข้อมูลไม่เยอะเลยย แต่ที่ต้องมีตอนเข้าไปทำ task 1 เลยคือพวกคำต่างๆที่ describe trends พวกนี้ ส่วน linking words ก็พยายามฝึกใช้ให้ชินใช้ให้หลากหลาย เพราะยังไงก็ได้ใช้ทั้ง 2 tasks เลย
Speaking
น่าจะเป็นอะไรที่คนไทยทำได้ไม่ค่อยดีเท่าพาร์ทอื่นๆอย่าง listening กับ reading สำหรับเรานี้เป็น module ที่ดึงคะแนนขึ้นมาเยอะมาก ซึ่งจริงๆ speaking เป็นอะไรที่ใช้การฝึกระยะยาว ตั้งแต่ที่เราเริ่มฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจังตอนม.ต้น เราไม่มีใครคุยอังกฤษด้วยแต่เราก็คุยกับตัวเองและคิดเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นไปได้ช่วงนั้นเราก็ไปคุยเล่นกับ teacher นอกจากนั้นก็พยายามซึมซับและเปลี่ยนอะไรรอบข้างให้เป็นภาษาอังกฤษ เรากล้าบอกเลยว่าทั้งหมดที่เราทำมามันเปลี่ยน skill การพูดเราไปเยอะมากเลย เราพูดได้คล่องมากขึ้นและค่อยๆดีขึ้น แต่การพูดอะไรแบบนี้ยังไงก็ต้องมีพูดผิดอยู่แล้ว แต่เรื่องพวกนี้มันฝึกได้ เรียนรู้จากทุกความผิดพลาดของเรานั่นแหละ เราก็พยายามอุดรอยรั่วของตัวเองอยู่ตลอดทำให้อิ้งเรายิ่งแข็งขึ้นไปอีก
สำหรับเตรียมสอบ พยายามพูดให้เยอะๆ พรรณนาให้มากๆ เพราะ IELTS ชอบให้เราพูดเยอะๆ ซึ่งก็ค่อนข้างฝืนกับหลักการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน เราแนะนำให้พยายามใส่คำยากไปตลอดๆตอนพูด ถ้านึก synonyms อะไรออกให้แทนแทนคำง่ายๆได้ให้แทนไปเลย เช่น I think… เป็น I reckon… หรือ think เป็น consider เป็นต้น
ตอนเดินเข้าห้องสอบ speaking อย่ากดดันตัวเองนะ อย่าทำให้ตัวเองเครียด พยายามยิ้มสู้ พูดทักทายตอนต้นสอบแบบมั่นใจไปเลย เพราะตอนนั้นมันก็ทำให้ใจเราสงบลงจริงๆนะ ตลอดตอนสอบไม่ตื่นเต้นเลย
Part 1 - คำถามทั่วไปตอบได้ไม่ยาก ถ้าเจอหัวข้อที่ชินหรือมีโอกาสถามบ่อยๆก็ให้เตรียมแนวๆที่เราจะสอบไปเลย เพราะเราจะแทรกคำยาก/idioms ได้ง่าย
Part 2 - ถ้าเจอหัวข้อที่นึกไม่ออกก็เมคมันมาเลย แต่ระวังว่ามันจะต่อเรื่องไม่ได้ก็พอ เพราะตอนสอบที่เรานึกเรื่องไม่ออกก็แต่งมันขึ้นมาเลย565655 ส่วนปัญหาที่เราเจอในวันจริงคือพูดไม่พอ แต่ก็พยายามถูๆไถๆได้จนจบ555545545 ตอนโน้ตเราจะฟิ้กให้ตัวเองเขียนและพูด idiom สัก 1-2 อยาก ลิสต์เป็น bullet point อย่างละคำๆ ถ้าหมดที่พูดแล้วเราอาจจะยกเรื่องอื่นมาพูดด้วยเลยก็ได้ อย่าให้ปล่อย blank เด็ดขาด!!
Part 3 - เป็นพาร์ทที่ใช้การคิดวิเคราะห์มากจริงๆ เรารู้สึกว่าโดนถามค่อนข้างเยอะในวันจริง ลองเตรียมคำหรือ phrase ที่ใช้ยื้อเวลาให้เราได้คิดก่อนพูดได้เลย พยายามจัดเรียงความคิดก่อนตอบไปดีๆ
Extra tips: พยายามใช้ If clause บ่อยๆในเรื่องที่เกี่ยวกับอะไรที่ไม่เป็นจริง แบบ ถ้า…มันเป็นแบบนี้…เราจะ…รู้สึกดีใจมาก… และการใช้ linking words พยายามใส่ไปเยอะๆ ตรงนี้จะได้เพิ่มตรง grammar accuracy ได้ทั้งคู่เลย
การฝึกสกิล (ตัวอย่างที่ดีของ “Kill FOUR birds with one stone” เพราะน่าจะได้ทั้ง 4 modules เลย5555455)
หาคำศัพท์ยากๆและ idiom มาเติมอยู่เสมอ อย่างเราก็จะลิสต์คำไว้ในแอพ dictionary ในโทรศัพท์ พยายามฟอล/ติดตามเพจที่ชอบโพสต์คำศัพท์และสำนวนไว้สำหรับเตรียมสอบอยู่ตลอดๆ แล้วก็นำมาปรับใช้ในการพูด/เขียน(ยกเว้น idiom นะ5656554) สักพักเราจะสามารถเอาคำพวกนี้มาใช้ได้เองในวันจริง ไม่ก็อ่าน passage ได้รู้เรื่องมากขึ้น มีศัพท์ในหัวมากขึ้น
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังจะสอบ IELTS นะครับ ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรก็พิมพ์สอบถามมาได้เลย ยินดีตอบครับผม🫡
สุดท้ายนี้ก็ขอให้คนที่กำลังเตรียมสอบ IELTS ก็สู้ๆนะครับ IELTS ไม่ใช่การสอบวัดความรู้ แต่เป็นการวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษของเรา หวังว่าทุกคนจะได้คะแนนตามที่ตัวเองหวังนะ สู้ๆ เราทำได้✌🏼