- ดูง่ายกว่าที่คิดไว้จากตอนแรกที่นึกว่าเป็นหนังดราม่าย้อนยุคไปปี 50 – 60’s เพราะเห็นโปสเตอร์เป็นภาพขาว -ดำ หลังจากดูจบนอกจากไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วยังนึกถึงเรื่อง ความจำสั้นแต่รักฉันยาว (2552) ปนกับ Anatomy of Time เวลา (2564) นิด ๆ ที่ไม่ได้ Feelgood และ ไม่ได้อินดี้เกินจะเข้าถึงแต่ให้ความเจ็บซึมลึกสมชื่อ สิ่งที่คล้ายกันอยู่คือการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของคนวัยใกล้ฝั่งแต่ที่แตกต่างคือทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาแต่งงานกันมานาน ไม่ได้เอาใจคนดูที่ชอบเอาแต่จับคู่จิ้นว่ากูจะประเคนฉาก Love Scene ยังไงเพื่อให้ตัวละครมันได้ In Love กันเร็ว ๆ ซึ่งไม่มีให้สำหรับเรื่องนี้แต่ใส่ความเนิบในหนังยุโรปด้วยสัญญะลงไปเพื่อบำรุงปัญญาแทนที่ยังประนอมด้วยการให้พื้นที่บางอย่างแก่คนดูทั่วไปสามารถจับต้องได้ซึ่งไม่ยากเกินความพยายามนัก เพราะ Main หลักเน้นความสัมพันธ์ของตัวสามีภรรยาวัยใกล้ฝั่ง ไม่ต้องการความหวือหวาแปลกใหม่เหมือนสมัยก่อน ชีวิตที่เหลืออยู่จึงมีแต่การประคับประคองเพื่อให้ชีวิตคู่มัน Run ต่อไปจนกว่าจะตุยจากกัน มีเรื่องของอารมณ์รัก ใคร่ โกรธ หลงบ้างเพื่อให้ชีวิตมีรสชาติซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนอยู่แล้ว ขนาดพระที่บวชพรรษามานานยังหัวร้อนจนเกิดการวางมวยเลย
- หนังจะดำเนินเรื่องตรงดิ่งโดยแบ่งว่าแต่ละวันทำอะไร ? ซึ่งหนังเริ่ม Start ขึ้นวันจันทร์ก่อนจะไปสิ้นสุดกันในวันเสาร์ ก็คือวันครบรอบวันแต่งงานครั้งที่ 45 ปีตามชื่อเรื่อง เมื่อปักหมุดมาจึงรู้ปลายทางแล้วว่าหนังจะไปจบตรงไหนแต่ก็ไม่ได้เสียอรรถรสในการดูแต่อย่างใด ซึ่งหนังจะเริ่มต้นเล่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปอย่างเรียบง่ายและสมถะ ตั้งแต่ทำกิจวัตรประจำวันในบ้าน , แวะไปดู Location จัดงาน และ ออกไปพบเจอเม้ามอยเพื่อนในเมืองเพื่อเชิญไปร่วมงาน ขณะเดียวกันหนังก็พาเราสำรวจเรื่องราวที่ผ่านมาของทั้งคู่เช่นกันว่ารู้จักกันได้ยังไง เคยทำ Activity อะไรร่วมกัน บลา ๆ ผ่านบทสนทนาเพียว ๆ ตามประสาคนผ่านโลกมานานที่จะถวิลแต่ในอดีตบ่อย ๆ บางเรื่องก็จำได้ บางอย่างก็ลืมไปแล้ว บางเรื่องก็เลวร้าย และ บางเรื่องก็สวยงาม แต่หนังไม่ได้พูดหมดทุกอย่าง ปล่อยให้คนดูไปคิดเอง บรรยากาศในหนังจะ Slow ๆ ตาม Life ที่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับสรรพสิ่งแต่ไม่ได้ปลงถึงขั้นบวชละทางโลก เพราะ บ้านเขามีระบบการจัดการที่ดี มีรัฐสวัสดิการดูแลคุ้มครองคนตั้งแต่เกิดยันตุย ถึงเกษียณแล้วรัฐก็ต้องรองรับชีวิตของเขาในฐานะพลเมืองผู้เสียภาษีทำให้วิถีชีวิตของเขามีคุณค่าที่จะดำรงต่อไปและไม่สิ้นหวังเหมือนกับดินแดนคนดีย์ที่จะทำอะไรเพื่อส่วนรวมแต่ละทีเอาแต่เน้นพิธีการบ้าน้ำลายก่อนแล้วเลือกปฏิบัติเป็นที่ 1
- นักแสดงนำหลักจะมีกันแค่ 2 คน คือ เจ้าป้า Charlotte Rampling กับ ตาลุง Tom Courtenay ที่รับบท 2 สามีภรรยาวัยใกล้ฝั่งที่เราเห็นจาก Poster เป็นตัวเดินร่วมกัน ทั้งคู่แสดงดีมากจนเชื่อว่าเป็นคู่ชีวิตที่ผ่านเรื่องทุกข์สุขกันมานานมีตัวละครสมทบไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสาวของป้า กระทั่งตัวละครสมทบประปรายเข้ามาแวะเวียนก็ช่วยทำให้เรื่องมีชีวิตชีวาเป็นระยะ ที่แบกของจริง คือ เจ้าป้า Charlotte ทุกครั้งที่ปรากฎป้าจะแสดงสีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่นหัวแต่ก็ระบายออกมาไท่ได้ทั้งหมดดูไปรู้สึกรับรู้และเข้าใจมวลอารมณ์ที่ถูกสะสมเหล่านั้นได้อย่างเร็วว่าป้ารู้สึกยังไงกับการใช้ชีวิตอยู่กับตาลุง Tom ที่ชอบทำตัวเป็นเด็กงอแงเอาแต่ใจไปเรื่อยจนเหนื่อยใจตาม ถึงมีปากเสียงกระทบกระทั่งบ้างแต่ไม่รุนแรงเท่ากับที่ตาลุงเผลอปล่อยไก่ออกมาเรื่องมือที่ 3 นี่แหล่ะคือชนวนเหตุชุดใหญ่ สมแล้วที่เจ้าป้าติด 1 ในรายชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมเมื่อปี 2016
- ทั้งเรื่องไม่มีจุดพีคกระชากอารมณ์เรียกความบันเทิงแต่ไม่ได้ไร้ชีวาไปซะหมด เพราะ ระหว่างทางก็ตัวละครดำรงชีวิตไปเรื่อยเปื่อยเกือบวูบ ๆ แต่ได้จังหวะตอนที่ทั้งคู่กำลังกินข้าวที่ร้านอาหารแล้วดันทำแก้วแตกขึ้นทำเอาผมตกใจตื่นแล้วดูต่อจากนี้ไปจนจบแถมดันมีเรื่องให้ฉุกคิดขึ้นมา คือ ปมของสาวปริศนาที่ตาลุงเคยมี Something แถมไม่เคยพูดถึงเลยจนกระทั่งเผลอหลุดปากออกมาต่อหน้าเจ้าป้าจนได้แล้วที่พีคคือยังเก็บของคุณเธอไว้ตลอดที่อยู่ด้วยกันมา จะบอกว่ามันผ่านมาแล้ว เคลียร์แล้ว จะพูดหาพระแสงอะไรอีก ถ้ามุมของคนไม่คิดอะไรก็มองว่าเจ้าป้าไร้สาระชิหายฟุ้งซ่านเกินกว่าเหตุ แต่มองอีกมุม นี้มันเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์และความไว้ใจ แล้วยิ่งมีเรื่องคนที่ 3 มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีที่ผู้หญิงยอมไม่ได้ การที่ไม่เคยบอกก่อนหน้านี้แถมแอบวางขรี้ก้อนเบอเริ้มไว้โดยที่กูไม่เคยรู้จนมาเจอคาตากับมือนั่นแหล่ะคือการทรยศสัจจะที่เคยให้ไว้ตอนจีบกันใหม่ ๆ ถ้าเป็นสมัยสาว ๆ ป่านนี้เจอจระเข้ฟาดหางคาบ้านไปแล้ว อายุปูนนี้คิดจะลองดีกับอำนาจเมีย ไอ้ปู่ ซึ่งหนังก็นำเสนอเหตุผลของแต่ละคนให้เราเข้าใจและชั่งใจเองโดยไม่ตัดสินว่าคนนี้ถูกหรือคนนั้นผิด บางทีก็เป็นเรื่องของการรับมือความรู้สึกที่เจอ ณ ขณะนั้นด้วยเช่นกัน
- สรุป ชอบ ประทับใจแก่การรอคอยมานาน ภาพรวมดูง่ายแต่ไม่ได้เอาใจคนดูทุกคนโดยเฉพาะคนดูหนังกระแสหลัก เพราะหนังจะเล่าไปข้างหน้าแทรกด้วยสัญญะอย่างสบายใจ ไม่รีบร้อนตามสไตล์วัฒนธรรมของประเทศผู้ดีโดยผู้กำกับ Andrew Haighด้วยการถ่ายภาพบรรยากาศข้างทางที่อยู่ชานเมืองส่วนใหญ่ได้สวยงาม จัดมุมกล้องวางทิศทางของแสงที่ใช้จากธรรมชาติได้ละมุนตาจนสัมผัสวิถี Slow Life ไม่วุ่นวายและถูกกลืนตามกระแสการเติบโตของโลกมากนักจนอยากไปเยือนดูให้เห็นกับตาเหมือนกันว่าประเทศที่เจริญแล้วเขาอยู่กันอย่างไร ? รวมถึงบทสรุปที่รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? แต่ไม่จบโดยสูญเปล่าจากการตัดฉากกระทันหัน เพราะได้ทิ้ง Message ตามทางไว้ก่อนหน้านี้แล้วให้เราเลือกเก็บไปคิดกันเอง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.97 45 Years : จดแล้วจำ จำแล้วลืม ลืมแล้วก็ไม่ต้องเอามาเก็บไว้ในเรื่องระหว่างเรา
- ดูง่ายกว่าที่คิดไว้จากตอนแรกที่นึกว่าเป็นหนังดราม่าย้อนยุคไปปี 50 – 60’s เพราะเห็นโปสเตอร์เป็นภาพขาว -ดำ หลังจากดูจบนอกจากไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วยังนึกถึงเรื่อง ความจำสั้นแต่รักฉันยาว (2552) ปนกับ Anatomy of Time เวลา (2564) นิด ๆ ที่ไม่ได้ Feelgood และ ไม่ได้อินดี้เกินจะเข้าถึงแต่ให้ความเจ็บซึมลึกสมชื่อ สิ่งที่คล้ายกันอยู่คือการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของคนวัยใกล้ฝั่งแต่ที่แตกต่างคือทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาแต่งงานกันมานาน ไม่ได้เอาใจคนดูที่ชอบเอาแต่จับคู่จิ้นว่ากูจะประเคนฉาก Love Scene ยังไงเพื่อให้ตัวละครมันได้ In Love กันเร็ว ๆ ซึ่งไม่มีให้สำหรับเรื่องนี้แต่ใส่ความเนิบในหนังยุโรปด้วยสัญญะลงไปเพื่อบำรุงปัญญาแทนที่ยังประนอมด้วยการให้พื้นที่บางอย่างแก่คนดูทั่วไปสามารถจับต้องได้ซึ่งไม่ยากเกินความพยายามนัก เพราะ Main หลักเน้นความสัมพันธ์ของตัวสามีภรรยาวัยใกล้ฝั่ง ไม่ต้องการความหวือหวาแปลกใหม่เหมือนสมัยก่อน ชีวิตที่เหลืออยู่จึงมีแต่การประคับประคองเพื่อให้ชีวิตคู่มัน Run ต่อไปจนกว่าจะตุยจากกัน มีเรื่องของอารมณ์รัก ใคร่ โกรธ หลงบ้างเพื่อให้ชีวิตมีรสชาติซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนอยู่แล้ว ขนาดพระที่บวชพรรษามานานยังหัวร้อนจนเกิดการวางมวยเลย
- หนังจะดำเนินเรื่องตรงดิ่งโดยแบ่งว่าแต่ละวันทำอะไร ? ซึ่งหนังเริ่ม Start ขึ้นวันจันทร์ก่อนจะไปสิ้นสุดกันในวันเสาร์ ก็คือวันครบรอบวันแต่งงานครั้งที่ 45 ปีตามชื่อเรื่อง เมื่อปักหมุดมาจึงรู้ปลายทางแล้วว่าหนังจะไปจบตรงไหนแต่ก็ไม่ได้เสียอรรถรสในการดูแต่อย่างใด ซึ่งหนังจะเริ่มต้นเล่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปอย่างเรียบง่ายและสมถะ ตั้งแต่ทำกิจวัตรประจำวันในบ้าน , แวะไปดู Location จัดงาน และ ออกไปพบเจอเม้ามอยเพื่อนในเมืองเพื่อเชิญไปร่วมงาน ขณะเดียวกันหนังก็พาเราสำรวจเรื่องราวที่ผ่านมาของทั้งคู่เช่นกันว่ารู้จักกันได้ยังไง เคยทำ Activity อะไรร่วมกัน บลา ๆ ผ่านบทสนทนาเพียว ๆ ตามประสาคนผ่านโลกมานานที่จะถวิลแต่ในอดีตบ่อย ๆ บางเรื่องก็จำได้ บางอย่างก็ลืมไปแล้ว บางเรื่องก็เลวร้าย และ บางเรื่องก็สวยงาม แต่หนังไม่ได้พูดหมดทุกอย่าง ปล่อยให้คนดูไปคิดเอง บรรยากาศในหนังจะ Slow ๆ ตาม Life ที่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับสรรพสิ่งแต่ไม่ได้ปลงถึงขั้นบวชละทางโลก เพราะ บ้านเขามีระบบการจัดการที่ดี มีรัฐสวัสดิการดูแลคุ้มครองคนตั้งแต่เกิดยันตุย ถึงเกษียณแล้วรัฐก็ต้องรองรับชีวิตของเขาในฐานะพลเมืองผู้เสียภาษีทำให้วิถีชีวิตของเขามีคุณค่าที่จะดำรงต่อไปและไม่สิ้นหวังเหมือนกับดินแดนคนดีย์ที่จะทำอะไรเพื่อส่วนรวมแต่ละทีเอาแต่เน้นพิธีการบ้าน้ำลายก่อนแล้วเลือกปฏิบัติเป็นที่ 1
- นักแสดงนำหลักจะมีกันแค่ 2 คน คือ เจ้าป้า Charlotte Rampling กับ ตาลุง Tom Courtenay ที่รับบท 2 สามีภรรยาวัยใกล้ฝั่งที่เราเห็นจาก Poster เป็นตัวเดินร่วมกัน ทั้งคู่แสดงดีมากจนเชื่อว่าเป็นคู่ชีวิตที่ผ่านเรื่องทุกข์สุขกันมานานมีตัวละครสมทบไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสาวของป้า กระทั่งตัวละครสมทบประปรายเข้ามาแวะเวียนก็ช่วยทำให้เรื่องมีชีวิตชีวาเป็นระยะ ที่แบกของจริง คือ เจ้าป้า Charlotte ทุกครั้งที่ปรากฎป้าจะแสดงสีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่นหัวแต่ก็ระบายออกมาไท่ได้ทั้งหมดดูไปรู้สึกรับรู้และเข้าใจมวลอารมณ์ที่ถูกสะสมเหล่านั้นได้อย่างเร็วว่าป้ารู้สึกยังไงกับการใช้ชีวิตอยู่กับตาลุง Tom ที่ชอบทำตัวเป็นเด็กงอแงเอาแต่ใจไปเรื่อยจนเหนื่อยใจตาม ถึงมีปากเสียงกระทบกระทั่งบ้างแต่ไม่รุนแรงเท่ากับที่ตาลุงเผลอปล่อยไก่ออกมาเรื่องมือที่ 3 นี่แหล่ะคือชนวนเหตุชุดใหญ่ สมแล้วที่เจ้าป้าติด 1 ในรายชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมเมื่อปี 2016
- ทั้งเรื่องไม่มีจุดพีคกระชากอารมณ์เรียกความบันเทิงแต่ไม่ได้ไร้ชีวาไปซะหมด เพราะ ระหว่างทางก็ตัวละครดำรงชีวิตไปเรื่อยเปื่อยเกือบวูบ ๆ แต่ได้จังหวะตอนที่ทั้งคู่กำลังกินข้าวที่ร้านอาหารแล้วดันทำแก้วแตกขึ้นทำเอาผมตกใจตื่นแล้วดูต่อจากนี้ไปจนจบแถมดันมีเรื่องให้ฉุกคิดขึ้นมา คือ ปมของสาวปริศนาที่ตาลุงเคยมี Something แถมไม่เคยพูดถึงเลยจนกระทั่งเผลอหลุดปากออกมาต่อหน้าเจ้าป้าจนได้แล้วที่พีคคือยังเก็บของคุณเธอไว้ตลอดที่อยู่ด้วยกันมา จะบอกว่ามันผ่านมาแล้ว เคลียร์แล้ว จะพูดหาพระแสงอะไรอีก ถ้ามุมของคนไม่คิดอะไรก็มองว่าเจ้าป้าไร้สาระชิหายฟุ้งซ่านเกินกว่าเหตุ แต่มองอีกมุม นี้มันเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์และความไว้ใจ แล้วยิ่งมีเรื่องคนที่ 3 มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีที่ผู้หญิงยอมไม่ได้ การที่ไม่เคยบอกก่อนหน้านี้แถมแอบวางขรี้ก้อนเบอเริ้มไว้โดยที่กูไม่เคยรู้จนมาเจอคาตากับมือนั่นแหล่ะคือการทรยศสัจจะที่เคยให้ไว้ตอนจีบกันใหม่ ๆ ถ้าเป็นสมัยสาว ๆ ป่านนี้เจอจระเข้ฟาดหางคาบ้านไปแล้ว อายุปูนนี้คิดจะลองดีกับอำนาจเมีย ไอ้ปู่ ซึ่งหนังก็นำเสนอเหตุผลของแต่ละคนให้เราเข้าใจและชั่งใจเองโดยไม่ตัดสินว่าคนนี้ถูกหรือคนนั้นผิด บางทีก็เป็นเรื่องของการรับมือความรู้สึกที่เจอ ณ ขณะนั้นด้วยเช่นกัน
- สรุป ชอบ ประทับใจแก่การรอคอยมานาน ภาพรวมดูง่ายแต่ไม่ได้เอาใจคนดูทุกคนโดยเฉพาะคนดูหนังกระแสหลัก เพราะหนังจะเล่าไปข้างหน้าแทรกด้วยสัญญะอย่างสบายใจ ไม่รีบร้อนตามสไตล์วัฒนธรรมของประเทศผู้ดีโดยผู้กำกับ Andrew Haighด้วยการถ่ายภาพบรรยากาศข้างทางที่อยู่ชานเมืองส่วนใหญ่ได้สวยงาม จัดมุมกล้องวางทิศทางของแสงที่ใช้จากธรรมชาติได้ละมุนตาจนสัมผัสวิถี Slow Life ไม่วุ่นวายและถูกกลืนตามกระแสการเติบโตของโลกมากนักจนอยากไปเยือนดูให้เห็นกับตาเหมือนกันว่าประเทศที่เจริญแล้วเขาอยู่กันอย่างไร ? รวมถึงบทสรุปที่รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? แต่ไม่จบโดยสูญเปล่าจากการตัดฉากกระทันหัน เพราะได้ทิ้ง Message ตามทางไว้ก่อนหน้านี้แล้วให้เราเลือกเก็บไปคิดกันเอง
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้