คือผมเป็นลมบ้าหมูตั้งแต่เด็กๆเลยทำให้ข้างขวาอ่อนแรงแต่ก็ยังใช้ชีวิตทำกิจกรรมได้เหมือนคนปกติ แค่อ่อนแรง ช่วงแรกก็รักษากับหมอลมชักเด็กก็ดีขึ้นจนไม่ต้องกินยาเป็นเวลาอยุ่ 12ถึง 18ปี แต่พอ18ปีผมอยากไปเรียนต่อเมืองนอกมาก ทำทุกอย่างด้วยตนเอง ปรึกษากับโรงเรียน ขอเอกสาร ทำ US Visa เลยทำให้กังวลและนอนไม่เพียงพอ วันต่อมาเลยชักเลย คราวนี้ก็เปลี่ยนหมอเป็นหมอผู้ใหญ่ก็ให้ยาตัวใหม่ก็ไม่มีอาการชักจนถึง 2015 ก็มีตับอ่อนอักเสบที่ US หมอที่นั้นก็ถอดยากันชักเพราะบอกว่าอาการตับอ่อนอักเสบคือผลข้างเคียงของยา1ตัว แล้วพอหายแล้วdrop 1ปี ก็ชัก2016เพราะไม่มียามารักษา เลยไปหาหมอคนเดิม เขาก็ให้ตัวใหม่ พอทานไปได้1-2วัน ขาขวาก็เกร็งและล้มจนหมอเพิ่มยาก็เกรงอยู่แต่ไม่ถึงกับล้ม พอไปเรียนต่อ2016-2020 ก็มีเกร็งไม่เยอะกับเกร็งเยอะจนล้ม(นานๆที) พอกลับมาไทยช่วงโควิดระบาด อยู่ดีๆก็ล้มแบบเร็วมาก ทุกวันก็ล้มตลอดเพราะกระแสไฟฟ้าในสมองส่งผิดปกติไปที่ด้านขวา หมอก็ลองเปลี่ยนยาไปเรื่อยๆแต่ก็ดีชั้วคราว คราวนี้หมอแนะนำ DBS(deep brain stimulation)- การกระตุ้นสมองส่วนลึกด้วยการผ่าตัดแล้วเอา electrodes ไปฝังไว้ที่สมองแล้วมี pacemaker เหนือหัวใจเพื่อควบคุมให้กระแสไฟฟ้าbalanceด้วย IPAD แต่คุณแม่ก็อยากได้ second to fourth opinion ก็ไปหา second opinion หมอก็บอกว่าเอายาถึงที่สุดก่อนและทำEEG แต่พอผมกินยาเยอะขึ้นรู้สึกว่าอาการเท่าเดิมถึงแย่ลง ตอนที่เลยใช้ธรรมมะมาช่วยรักษา แต่ก็เป็นหนักๆถึงปัจจุบัน ถ้าเป็นพวกพี่จะทำ DBS เลยมั้ยครับหรือทดลองยาตัวใหม่ไปเรื่อยๆครับและหา หมอคนอื่นเพื่อเป็น second to fourth opinion ครับ
ขอบคุณครับ
คิดยังไงกับการรักษาด้วยยากับอาการหดเกร็งแข็งครับ
ขอบคุณครับ