ซาเอบะ เรียว นักสืบจอมทะเล้น เขาต้องสูญเสียคู่หูที่ร่วมงานกันมานานอย่างมาคิมูระ ฮิเดโยกิ ที่จากไป
เพราะเข้าไปพัวพันกับองค์กรลับที่กำลังวางแผนเอายาประหลาดไปทดลองกับคนบริสุทธิ์
เขาต้องตามหาว่าต้นตอขององค์กรที่ว่าคือใคร และคำสั่งเสียสุดท้ายของมาคิมูระ
นั่นก็คือให้เขาดูแลน้องสาวนั่นก็คือมาคิมูระ คาโอริ ....
City Hunter เป็นมังงะดังในช่วงทศวรรษที่ 80 ผลงานการเขียนของ Tsukasa Hojo
เรื่องราวของ ซาเอบะ เรียว ชายหนุ่มที่มีความหื่นอยู่แทบตลอดเวลา 555
เขามีอาชีพเป็นผู้คุ้มกันนอกกฎหมายใครจะไปจ้างเขาก็ต้องไปเขียนสัญลักษณ์ XYZ ที่กระดานข่าวหน้าสถานีรถไฟชินจูกุ
แล้วจะได้รับการติดต่อกลับไป...
ถือว่ารอมานานครับกับ Live action เรื่องนี้ในเวอร์ชั่นของญี่ปุ่นเอง
ซึ่งที่ผ่านมา City Hunter เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว 2 ครั้งด้วยกันครับ
ในเวอร์ชั่นของฮ่องกงในปี 1993 นำแสดงโดยซุเปอร์สตาร์ดังอย่างเฉินหลง และหวังจู่เสียน
ที่ดังกระหึ่มในเวลานั้นจากโปเยโปเยเล ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึงเลยทีเดียว
และต่อจากนั้นมาระยะเวลานานพอสมควรในปี 2018 ก็ถูกนำมาสร้างเป็นหนังอีกครั้ง
คราวนี้กระโดดข้ามฟากไปฝั่งยุโรปกันเลยทีเดียว ประเทศฝรั่งเศสรับไปตั้งชื่อใหม่ว่า Nicky Larson et le parfum de Cupidon
คือชื่อตัวเอกเปลี่ยนจากเรียวเป็น Nicky Larson นั่นเอง แต่ผมดูแล้วก็ชอบนะครับ
เขาพยายามรักษาต้นฉบับแบบญี่ปุ่นไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผลตอบรับก็ดีไม่แพ้ครั้งเฉินหลงเล่นไว้เช่นกัน
ด้วยความที่เป็นแฟนมังงะเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเด็กจริงๆนะ อ่านมาตอนอยู่ Talent น่ะ
รู้จักกันป่าว นี่ล่ะหลักฐานว่าผมแก่แล้วนั่นเอง 55
พอมาได้ชมเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ ส่วนตัวผมชอบนะ ซาเอบะ เรียว นำแสดงโดยเรียวเฮ ซูซูกิ
ซึ่งเคยรับบทที่ตื่นตาตื่นใจมาแล้วมากกว่านี้อีกในหนังเรื่อง Hentai Kamen (ไอ้หน้ากากกางเกงใน)
ดังนั้นการมารับบทนี้ของซูซูกิ ผมถือว่าเหมาะมาก คือเค้าเป็นคนที่สามารถทำหน้าทะเล้นและกลับเป็นหน้านิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดูแล้วไม่ขัดตาแต่อย่างใด
ขณะที่คาโอริ นางเอกของเรื่องรับบทโดยมิซาโตะ โมริตะ อายุ 27
แต่ด้วยความที่ตัวเล็กน่ารัก เลยดูยังไงก็เหมือนอายุไม่เกิน 20 ปี แรกๆ ดูแล้วขัดตาเล็กน้อย
แต่ด้วยบทพาไป ก็รู้สึกอินตามไปได้ไม่ยาก คือเป็นคนที่มองครั้งแรกอ่านไม่น่าสนใจ
แต่ยิ่งมองไปยิ่งมีเสน่ห์ เหมาะแล้วเช่นกันกับบทนี้ ผ่านนนนนน
งานโปรดัคชั่นทำได้ดีครับ ธีมของซิตี้ฮันเตอร์ เน้นที่แสงสีของกรุงโตเกียวช่วงเวลากลางคืนเป็นหลัก
ทำให้เราเห็นแสงสีของเมืองยามค่ำคืนเป็นพื้นหลังเกือบทั้งเรื่อง
ส่วนฉากต่อสู้มี 5 ฉากหลัก ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน ..ซาเอบะ เรียวโชว์สกิลเทพเหนือชั้นตั้งแต่เปิดเรื่อง
และทุกซีนดีไซน์การต่อสู้ได้สวย ดูเพลินอย่างยิ่ง
ใครที่ไม่เคยอ่านแบบมังงะมาก่อนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพระเอกมันถึงเก่งเว่อร์ขนาดนี้ แต่ทุกอย่างมีเหตุและผลครับ
คนที่เคยอ่านจะทราบว่าเพราะเหตุใดเรียวถึงมีความสามารถเช่นนี้... เรื่องมันเศร้า (มี Flashback ให้เห็นนิดนึงด้วยนะ อิอิ)
จุดด้อยคงเป็นเรื่องเนื้อหาล่ะครับที่ดูแล้วอาจจะขัดๆอยู่บ้าง เหมือนเร่งไปนิด
ส่วนตอนจบแบบนี้ ชัดเจนว่าสามารถที่จะทำภาค 2 ต่อก็ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่กระแสของหนังล่ะครับว่าจะมีผลตอบรับที่ดีมากน้อยแค่ไหน (แต่ถ้าไม่ทำอีกก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด)
หนังเรื่องนี้ทำออกมาน่าจะถูกใจแฟนๆมังงะยุค 80 อย่างแน่นอน แม้ว่าฉาก BeepBeep (18+) จะทำออกมาน้อยไปนิด
แต่ก็เข้าใจนะว่าเด็กๆคงดูกันเยอะ จะลามกมากไปเหมือนการ์ตูนก็ไม่เหมาะ 555555 สรุปแล้วคือดีครับ ชอบบบ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== City Hunter (2024) นักสืบจอมทะเล้น พลัง Beep Beep!!! ==
ซาเอบะ เรียว นักสืบจอมทะเล้น เขาต้องสูญเสียคู่หูที่ร่วมงานกันมานานอย่างมาคิมูระ ฮิเดโยกิ ที่จากไป
เพราะเข้าไปพัวพันกับองค์กรลับที่กำลังวางแผนเอายาประหลาดไปทดลองกับคนบริสุทธิ์
เขาต้องตามหาว่าต้นตอขององค์กรที่ว่าคือใคร และคำสั่งเสียสุดท้ายของมาคิมูระ
นั่นก็คือให้เขาดูแลน้องสาวนั่นก็คือมาคิมูระ คาโอริ ....
City Hunter เป็นมังงะดังในช่วงทศวรรษที่ 80 ผลงานการเขียนของ Tsukasa Hojo
เรื่องราวของ ซาเอบะ เรียว ชายหนุ่มที่มีความหื่นอยู่แทบตลอดเวลา 555
เขามีอาชีพเป็นผู้คุ้มกันนอกกฎหมายใครจะไปจ้างเขาก็ต้องไปเขียนสัญลักษณ์ XYZ ที่กระดานข่าวหน้าสถานีรถไฟชินจูกุ
แล้วจะได้รับการติดต่อกลับไป...
ถือว่ารอมานานครับกับ Live action เรื่องนี้ในเวอร์ชั่นของญี่ปุ่นเอง
ซึ่งที่ผ่านมา City Hunter เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว 2 ครั้งด้วยกันครับ
ในเวอร์ชั่นของฮ่องกงในปี 1993 นำแสดงโดยซุเปอร์สตาร์ดังอย่างเฉินหลง และหวังจู่เสียน
ที่ดังกระหึ่มในเวลานั้นจากโปเยโปเยเล ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนึงเลยทีเดียว
และต่อจากนั้นมาระยะเวลานานพอสมควรในปี 2018 ก็ถูกนำมาสร้างเป็นหนังอีกครั้ง
คราวนี้กระโดดข้ามฟากไปฝั่งยุโรปกันเลยทีเดียว ประเทศฝรั่งเศสรับไปตั้งชื่อใหม่ว่า Nicky Larson et le parfum de Cupidon
คือชื่อตัวเอกเปลี่ยนจากเรียวเป็น Nicky Larson นั่นเอง แต่ผมดูแล้วก็ชอบนะครับ
เขาพยายามรักษาต้นฉบับแบบญี่ปุ่นไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผลตอบรับก็ดีไม่แพ้ครั้งเฉินหลงเล่นไว้เช่นกัน
ด้วยความที่เป็นแฟนมังงะเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเด็กจริงๆนะ อ่านมาตอนอยู่ Talent น่ะ
รู้จักกันป่าว นี่ล่ะหลักฐานว่าผมแก่แล้วนั่นเอง 55
พอมาได้ชมเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ ส่วนตัวผมชอบนะ ซาเอบะ เรียว นำแสดงโดยเรียวเฮ ซูซูกิ
ซึ่งเคยรับบทที่ตื่นตาตื่นใจมาแล้วมากกว่านี้อีกในหนังเรื่อง Hentai Kamen (ไอ้หน้ากากกางเกงใน)
ดังนั้นการมารับบทนี้ของซูซูกิ ผมถือว่าเหมาะมาก คือเค้าเป็นคนที่สามารถทำหน้าทะเล้นและกลับเป็นหน้านิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดูแล้วไม่ขัดตาแต่อย่างใด
ขณะที่คาโอริ นางเอกของเรื่องรับบทโดยมิซาโตะ โมริตะ อายุ 27
แต่ด้วยความที่ตัวเล็กน่ารัก เลยดูยังไงก็เหมือนอายุไม่เกิน 20 ปี แรกๆ ดูแล้วขัดตาเล็กน้อย
แต่ด้วยบทพาไป ก็รู้สึกอินตามไปได้ไม่ยาก คือเป็นคนที่มองครั้งแรกอ่านไม่น่าสนใจ
แต่ยิ่งมองไปยิ่งมีเสน่ห์ เหมาะแล้วเช่นกันกับบทนี้ ผ่านนนนนน
งานโปรดัคชั่นทำได้ดีครับ ธีมของซิตี้ฮันเตอร์ เน้นที่แสงสีของกรุงโตเกียวช่วงเวลากลางคืนเป็นหลัก
ทำให้เราเห็นแสงสีของเมืองยามค่ำคืนเป็นพื้นหลังเกือบทั้งเรื่อง
ส่วนฉากต่อสู้มี 5 ฉากหลัก ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน ..ซาเอบะ เรียวโชว์สกิลเทพเหนือชั้นตั้งแต่เปิดเรื่อง
และทุกซีนดีไซน์การต่อสู้ได้สวย ดูเพลินอย่างยิ่ง
ใครที่ไม่เคยอ่านแบบมังงะมาก่อนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพระเอกมันถึงเก่งเว่อร์ขนาดนี้ แต่ทุกอย่างมีเหตุและผลครับ
คนที่เคยอ่านจะทราบว่าเพราะเหตุใดเรียวถึงมีความสามารถเช่นนี้... เรื่องมันเศร้า (มี Flashback ให้เห็นนิดนึงด้วยนะ อิอิ)
จุดด้อยคงเป็นเรื่องเนื้อหาล่ะครับที่ดูแล้วอาจจะขัดๆอยู่บ้าง เหมือนเร่งไปนิด
ส่วนตอนจบแบบนี้ ชัดเจนว่าสามารถที่จะทำภาค 2 ต่อก็ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่กระแสของหนังล่ะครับว่าจะมีผลตอบรับที่ดีมากน้อยแค่ไหน (แต่ถ้าไม่ทำอีกก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด)
หนังเรื่องนี้ทำออกมาน่าจะถูกใจแฟนๆมังงะยุค 80 อย่างแน่นอน แม้ว่าฉาก BeepBeep (18+) จะทำออกมาน้อยไปนิด
แต่ก็เข้าใจนะว่าเด็กๆคงดูกันเยอะ จะลามกมากไปเหมือนการ์ตูนก็ไม่เหมาะ 555555 สรุปแล้วคือดีครับ ชอบบบ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===