The Fall Guy: สตันท์แมนคนจริง
กำกับโดย David Leitch
สวัสดีครับ ! วันนี้เราจะมานำเสนอเรื่อง
The Fall Guy (2024) หนังแอ็คชั่นสุดมันส์ที่เพิ่งเข้าโรงไปหมาด ๆ ตัวหนังได้คะแนนวิจารณ์ค่อนข้างดี
Rotten Tomatoes 89% และ
Metascore 78 ถือว่าเยอะทีเดียว
หลังจากที่เราได้รับชม ถึงเวลาที่เราต้องมารีวิวกันแล้ว
The Fall Guy สตันท์แมนคนจริง - Offcial Trailer
ความรู้สึกหลังชม
- ขอเกริ่นนำก่อนถึง
David Leitch ผู้กำกับ
The Fall Guy เดวิดเริ่มต้นที่อาชีพสตันท์แมน และก้าวเข้าสู่การเป็น Producer ซึ่งเขาก็มีผลงานดังแห่งยุค นั่นคือ การช่วยกันปั้น
"หนังชุด John Wick" ให้ดังทะลุฟ้า
หลังจากนั้น เขาก็กระโดดมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็คชั่น โดยผลงานที่เราน่าจะเคยผ่านตากันมา ก็คือ
Deadpool 2 (2018), Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw (2019) และ
Bullet Train (2022) ที่โดดเด่นในงานแอ็คชั่นอย่างมาก
จากที่ไล่เรียงมา The Fall Guy จึงเป็นผลงานที่น่าสนใจ เมื่อหนังเรื่องนี้มีธีมเรื่องเกี่ยวกับ "สตันท์แมน" และอยู่ภายใต้การกำกับของผู้กำกับที่เคยเป็น "สตันท์แมน" แถมยังเชี่ยวชาญในการทำหนังแอ็คชั่น !
- หากใครเคยชม
Bullet Train (2022) เรื่อง
The Fall Guy มีกลิ่นอายและวิธีการดำเนินเรื่องที่คล้ายกันมาก อันเป็นลายเซ็นต์ประจำตัวของ
David Leitch
กล่าวคือ เป็น
"หนังโทนแอ็คชั่นคอมเมดี้" ที่มีฉากแอ็คชั่นผาดโผนตื่นตาตื่นใจ ผสมกับการแทรกมุกตลกจิกกัดด้วยความสนุกสนาน ทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ สนุกบันเทิงมาก
- ส่วนที่ชอบที่สุด รู้สึกชอบ
"เทคนิคการตัดต่อ และฉากแอ็คชั่น"
การตัดต่อช่วยเร้าอารมณ์หนังได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ ขณะที่ฉากแอ็คชั่นแต่ละฉากก็ทำได้เยี่ยม มีความระเบิดภูเขาเผากระท่อมเป็นอย่างยิ่ง (ชอบฉากสู้กันในผับมาก)
ยิ่งถ้าใครชอบดูฉากแอ็คชั่นแบบเต็มตาจุใจ ภาพใหญ่กว่าปกติ เสียงกระหึ่งกว่าปกติ ดู
The Fall Guy ในระบบ
IMAX ก็เป็นอะไรที่ช่วยตอบโจทย์ชีวิตได้เยี่ยม
- ธีมหลักของเรื่องพูดถึงอาชีพ
"สตันท์แมน" ซึ่งเป็นอาชีพเสี่ยงตายที่ต้องคอยปิดทองหลังพระให้กับนักแสดงหลัก แต่ไม่ได้รับการพูดถึงเท่าที่ควร หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่พูดถึงประเด็นนี้ได้ตรงเป้า และอาจเป็นความในใจของผู้กำกับที่อยากส่งออกมาให้ทุกคนได้รับรู้
- ส่วนอีกธีมที่ดำเนินมาคู่กัน คือ
"ธีมความรัก"
แม้ว่าหนังจะขายฉากแอ็คชั่นเยอะ แต่แก่นแท้ของเรื่อง กลับเป็นเรื่อง
"ความรักและความสัมพันธ์" ของ
โคลท์ (Ryan Gosling) และโจดี้ (Emily Blunt)
โคลท์เป็นสตันท์แมนมืออาชีพที่ดวงตกจากอุบัติเหตุ ขณะที่โจดี้ก้าวหน้าทางอาชีพมากขึ้นเรื่อย ๆ
โคลท์เลือกที่จะทิ้งและลืมทุกอย่าง รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีให้กับโจดี้ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาพบกับโจดี้และร่วมงานกับเธออีกครั้ง
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ "ปฏิบัติการคืนดี" กับโจดี้ พาให้เราอยากรู้ต่อว่าท้ายที่สุด ความรักของทั้งคู่จะสมหวังหรือไม่
- ในหนังมีการจิกกัดหนังดังหลายเรื่องที่ผ่านมา รวมถึงหนังมหากาพย์ที่เพิ่งเข้าฉายในช่วงต้นปีด้วย (ซาวน์ดนตรีมาฮามาก)
นอกจากนี้ ยังมีการยำมุกจากหนังหลาย ๆ เรื่อง ถ้าเป็นคอหนังที่ดูหนังมาหลากหลาย จะเข้าใจมุกตลกที่ตัวละครสื่อมากขึ้น
- ส่วนข้อเสียในหนัง ส่วนตัวรู้สึกว่า หนังค่อนข้างจะเดาง่ายและแบนไปนิด รวมถึงหลาย ๆ อย่างในเรื่อง ก็โอเวอร์ฉูดฉาดเกินเบอร์ เช่น ตัวร้ายในเรื่องเป็นต้น
สรุป - เป็นหนังแอ็คชั่นบันเทิงที่สนุกเกินคาด หนังเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นชั้นยอด และความตลกขบขันที่ทำให้ทุกคนอมยิ้มไปตลอดทั้งเรื่อง
เชื่อว่าทุกคนที่ดูจะหลงรักและชอบในเรื่องนี้ได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าได้ดูใน IMAX จะเป็นอะไรที่จุใจคนรักหนังแอ็คชั่นสุด ๆ
____________________________________
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ
Lemon8: BENJI Review
IG: benjireview
The Fall Guy (2024) - ยอดสตันท์แมนคนจริงเสียงจริง
หลังจากที่เราได้รับชม ถึงเวลาที่เราต้องมารีวิวกันแล้ว
- ขอเกริ่นนำก่อนถึง David Leitch ผู้กำกับ The Fall Guy เดวิดเริ่มต้นที่อาชีพสตันท์แมน และก้าวเข้าสู่การเป็น Producer ซึ่งเขาก็มีผลงานดังแห่งยุค นั่นคือ การช่วยกันปั้น "หนังชุด John Wick" ให้ดังทะลุฟ้า
หลังจากนั้น เขาก็กระโดดมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็คชั่น โดยผลงานที่เราน่าจะเคยผ่านตากันมา ก็คือ Deadpool 2 (2018), Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw (2019) และ Bullet Train (2022) ที่โดดเด่นในงานแอ็คชั่นอย่างมาก
จากที่ไล่เรียงมา The Fall Guy จึงเป็นผลงานที่น่าสนใจ เมื่อหนังเรื่องนี้มีธีมเรื่องเกี่ยวกับ "สตันท์แมน" และอยู่ภายใต้การกำกับของผู้กำกับที่เคยเป็น "สตันท์แมน" แถมยังเชี่ยวชาญในการทำหนังแอ็คชั่น !
กล่าวคือ เป็น "หนังโทนแอ็คชั่นคอมเมดี้" ที่มีฉากแอ็คชั่นผาดโผนตื่นตาตื่นใจ ผสมกับการแทรกมุกตลกจิกกัดด้วยความสนุกสนาน ทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ สนุกบันเทิงมาก
- ส่วนที่ชอบที่สุด รู้สึกชอบ "เทคนิคการตัดต่อ และฉากแอ็คชั่น"
การตัดต่อช่วยเร้าอารมณ์หนังได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ ขณะที่ฉากแอ็คชั่นแต่ละฉากก็ทำได้เยี่ยม มีความระเบิดภูเขาเผากระท่อมเป็นอย่างยิ่ง (ชอบฉากสู้กันในผับมาก)
ยิ่งถ้าใครชอบดูฉากแอ็คชั่นแบบเต็มตาจุใจ ภาพใหญ่กว่าปกติ เสียงกระหึ่งกว่าปกติ ดู The Fall Guy ในระบบ IMAX ก็เป็นอะไรที่ช่วยตอบโจทย์ชีวิตได้เยี่ยม
- ส่วนอีกธีมที่ดำเนินมาคู่กัน คือ "ธีมความรัก"
แม้ว่าหนังจะขายฉากแอ็คชั่นเยอะ แต่แก่นแท้ของเรื่อง กลับเป็นเรื่อง "ความรักและความสัมพันธ์" ของ โคลท์ (Ryan Gosling) และโจดี้ (Emily Blunt)
โคลท์เป็นสตันท์แมนมืออาชีพที่ดวงตกจากอุบัติเหตุ ขณะที่โจดี้ก้าวหน้าทางอาชีพมากขึ้นเรื่อย ๆ
โคลท์เลือกที่จะทิ้งและลืมทุกอย่าง รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีให้กับโจดี้ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาพบกับโจดี้และร่วมงานกับเธออีกครั้ง
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ "ปฏิบัติการคืนดี" กับโจดี้ พาให้เราอยากรู้ต่อว่าท้ายที่สุด ความรักของทั้งคู่จะสมหวังหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีการยำมุกจากหนังหลาย ๆ เรื่อง ถ้าเป็นคอหนังที่ดูหนังมาหลากหลาย จะเข้าใจมุกตลกที่ตัวละครสื่อมากขึ้น
- ส่วนข้อเสียในหนัง ส่วนตัวรู้สึกว่า หนังค่อนข้างจะเดาง่ายและแบนไปนิด รวมถึงหลาย ๆ อย่างในเรื่อง ก็โอเวอร์ฉูดฉาดเกินเบอร์ เช่น ตัวร้ายในเรื่องเป็นต้น
สรุป - เป็นหนังแอ็คชั่นบันเทิงที่สนุกเกินคาด หนังเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นชั้นยอด และความตลกขบขันที่ทำให้ทุกคนอมยิ้มไปตลอดทั้งเรื่อง
เชื่อว่าทุกคนที่ดูจะหลงรักและชอบในเรื่องนี้ได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าได้ดูใน IMAX จะเป็นอะไรที่จุใจคนรักหนังแอ็คชั่นสุด ๆ