- ดูรอบแรกเผลอหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งเรื่องตั้งแต่เพิ่งเริ่ม เนื่องจากไม่สามารถจูนติดกับเรื่องได้ อีกอย่างคือห่างจากการดูหนังสารคดีประเภทนี้ไปหลายเดือนพอกลับมาดูอีกครั้งเหมือนเพิ่งนับหนึ่งใหม่อีกรอบ ถึงจะวูบ ๆ หลับ ๆ แต่ก็ยังมีสติลืมตาดูเป็นระยะ ซึ่งแน่นอนว่าหนังสารคดีประเภทนี้จะเน้นข้อมูลเชิงวิชาการเป็นหลัก มี Topic ขึ้นหัว มีตัวละครที่ปรากฎให้สัมภาษณ์เป็นบุคคลจริง ไม่ใช่สแตนอิน ไม่ใช่ตัวแสดงแทน มาเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาโดยอ้างอิงตามข้อมูลที่อ่านจากเรื่องย่อ ให้คนดูรับทราบกันไป ที่แปลกคือเรื่องนี้ดันแอบผ่านไปเร็ว
โดยไม่ทันได้รู้จักมักจี่ให้เสร็จเรียบร้อย คือ นั่งสัมภาษณ์คนนี้พูดไม่ทันจบประโยคก็ตัดข้ามไปสัมภาษณ์คนใหม่ดื้อ ๆ แล้วก็เลื่อนไปหาคนใหม่อีกแล้วที่ตกใจอีกคือดันมีการวกกลับสัมภาษณ์คนก่อนหน้านี้ด้วยที่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่คน เป็นคนที่เท่าไหร่แล้วทิ้งช่วงห่างกันกี่นาทีเมื่อเทียบกับคนปัจจุบันบวกกับมีการแทรกภาพภายในร้านหนังสือตามแต่ละแห่งประกอบกับคำคมของ Life Coach ตบท้ายขายของแล้วเป็นแบบนี้ไปยันจนจบจนนอกจากสตั๊นท์กับสิ่งที่เห็นพึ่บพับแล้วยังทำเอาผมไปไม่ถูกอีกด้วย ในเมื่อรู้ตัวว่าไล่ตามไม่ทันแล้วเลยขอตัวชิ่งหลับไปอย่างไวดีกว่า ง่าย ๆ จบ ซึ่งช่วงเวลาที่เกิดความรู้สึกนี้ตัวหนังเพิ่งจะผ่านขึ้นได้ประมาณ 15 นาทีเอง
- มาดูอีกรอบก็พอจับแก่นสารที่แฝงใน Details ที่โผล่ตามทางก็พบว่ามีเรื่องที่อยากพรรณนาอยู่ไม่น้อย ที่ชอบคือ ตัวสารคดีบรรยากาศภาพภายในร้านหนังสือแต่ละร้านออกมาได้สวยงามอลังการราวกับอยู่ในสวรรค์ของโลกเวทย์มนตร์จนอยากไปเยือนดูสักครั้ง ไปสูดกลิ่นความเจริญในประเทศเสรีว่าเขาให้ความสำคัญกับการอ่าน ปลูกฝังให้คนมีปัญญา รู้คุณค่า ตระหนักในสิทธิ มากน้อยแค่ไหน ถึงแม้บางอย่างจะถูกควบคุมด้วยกฎหมายที่เคร่งครัดก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่เหมือนดินแดนคนดีย์ที่พยายามปิดโลกด้วยความเชื่อ ระบบอุปถัมภ์ หรือ ชนชั้นที่ถูกส่งต่อกันเป็นทอด ๆ ตามระบบอำนาจนิยมครำครึแล้วครอบไว้ในกรอบไปซะทุกอย่างโดยบางอย่างไม่สอดคล้องกับยุคสมัยและไม่เกิดประโยชน์เลยซักนิด
- ไม่เฉพาะแค่ตื่นตาบรรยากาศภายในร้าน ยังตื่นใจไปกับการที่เราได้เห็นโลกของหนอนหนังสือที่ไม่ได้อ่านจบแล้วแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน ยังมีการสุ่มหัวรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเขียน อาจารย์ นักธรกิจ พ่อค้า กระทั่งคนจรก็เป็นนักอ่าน นักรีวิว นักสืบค้น นักสะสม หรือ ผู้เชี่ยวชาญได้ มีการแนะนำจากปากต่อปาก . มีการตั้งกลุ่มแชร์ข่าวหรือแจ้งกิจกรรม รวมถึงมีการประมูลผลงานเพื่อสร้าง Connection ติดต่อซื้อขายกันแล้วต่อยอดเป็นอาชีพได้อีกด้วย รวมถึงมีการตั้งคำถามกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจากการมาของอินเตอร์เน็ตก็ดีหรือการเติบโตของโลกเทคโนโลยีก็ตามว่าจะมีวิธีการปรับตัวอย่างไรให้วัฒนธรรมการอ่านหนังสืออยู่ร่วมในสังคมต่อไป โดยเฉพาะหนังสือเก่า ๆ ที่หายากในปัจจุบัน เป็น rare item ชั้นดีของนักสะสมของเก่าราวกับไฮยน่ากระหายเหยื่อจนเรามองภาพเหล่านี้กลายเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเราเมื่อเทียบกับดินแดนคนดีย์ที่ให้ความสำคัญกับอะไรไม่รู้เพื่อข่มให้เชื่อจนเกิดความกลัวด้วยเรื่องคร่ำครึกที่ไม่ตีค่าเป็นเม็ดเงิน แล้วยังไม่มีการตั้งคำถามตามเลยว่าทำทำไม ? ทำเพื่ออะไร ? แล้วยังส่งต่อตามอัธยาศัยเฉยแถมผลักให้อาชีพชายขอบ อย่าง อาชีพนักเขียน , ศิลปิน รวมถึงอาชีพผู้ใช้แรงงานทางความคิด ว่าเป็นอาชีพสัมภเวสี ไม่มีอะไรมารองรับว่าคุณภาพชีวิตจะเป็นยังไง โยนให้กลายเป็นเรื่องของการแข่งขันไปจัดกันเอง อวยกันเองตาม Club เล็ก ๆ ชิงจ้าวความเป็น 1 กันเองไม่ต่างอะไรกับซื้อหวยเพื่อต้องการถูกรางวัลที่ 1 ใครทำผลงานเข้าตาก็เป็นผู้ชนะ ใครไม่ผ่านก็เรื่องของแล้วแตะไหล่ปลอบใจเบา ๆ คือ มีได้แต่ไม่อยากให้เป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเดียวแต่ต้องการทำให้เป็นอาชีพที่จับต้องได้อย่างจริงจัง คนที่สนใจก็ให้เปิดให้ลงทะเบียนใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบอาชีพนี้และสร้างสวัสดิการแก่ผู้ประกอบอาชีพชายขอบได้รับกันอย่างทั่วถึงและเป็นกิจลักษณะไปเลย เขาจะได้ยืนยัน Status ได้ซะทีว่ากูประกอบอาชีพนี้และได้รับค่าจ้างทุกเดือนถึงแม้เดือนนี้กูไม่มีผลงานเสนอให้พวกเห็นก็ตาม ไม่ใช่ใครแพ้ก็ปลอบใจแล้วปล่อยให้เขาดิ้นรนไปตามลม จะบอกว่าทำเพื่อหวังเงิน ใช่ ไม่ทำแล้วจะเอาอะไรแดก คิดถึงความเป็นจริงอย่าโลกสวยจนปัญญาอ่อน
- สรุป ดูรอบแรกเฉย ๆ ดูรอบสองเริ่มชอบขึ้นมาในระดับกลาง เป็นหนังสารคดีที่เสิร์ฟเนื้อหาแน่นและรวดเร็วแต่ในแง่ของการดูรู้สึกว่านานไปหน่อยนึงกับเวลา 1 ชั่วโมง 39 นาที เพราะความเนิบที่เข้าใจได้ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าดูเพื่อความบันเทิงไม่ตอบโจทย์ แต่เหมาะสำหรับดูเพื่อเป็นวิทยาทาน ค้นข้อมูลทางวิชาการมากกว่า ซึ่ง Details ดูง่ายถ้าตั้งใจดูอย่างมีสมาธิ สบาย ๆ ไปกับเสียงดนตรีที่บรรเลงมีความทะเล้น ๆ เหมือนนั่งอ่านหนังสือพร้อมกับจิบชาเบา ๆ อยู่ในคาเฟ่ยามบ่าย ระหว่างทางก็เพลินไปกับการตกแต่งของร้านหนังสือไป ที่สังเกตุช่วงที่หนังกำลังจะวาร์ปไปอีกฉากมีการแทรกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ผ่านตัวละครที่มีอยู่จริงผ่าน Footage หรือ ตามหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนเอา Projector มาจ่อแล้วขยายความอีกที เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือให้แก่ข้อมูลแล้วยังเป็นการสร้างจิตสำนึกรักการอ่านหนังสือไม่ว่าทั้งแบบเล่มกระดาษหรือใน Platform ออนไลน์ ไม่ได้จำกัดว่าเป็นใคร ทำอะไร คนรวย คนจน เด็กเนิร์ด เป็นคน Introvert ในเมื่อทุกคนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทุกคนก็พร้อมละะวางภาระก่ายกองทุกอย่างแล้วสวมวิญญาณเป็นหนอนหนังสือสนุกกับการผจญภัยในโลกของตัวอักษรแล้วจินตนาการตามอัธยาศัย หลังจากอ่านเสร็จมีการซื้อกลับหรือเข้าร่วมพูดคุยเม้ามอยหอยสังข์กับคนคอเดียวกันต่อแต่ในแง่ของตังละครที่ปรากฎแต่ละคนไม่ได้รู้สึกผูกพันแต่อย่างใดเพราะการวาร์ปฉากเร็วเป็นเหตุแถมตัวละครก็มีเยอะไม่ซ้ำหน้าซะเหลือเกิน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.96 The Booksellers : หอสมุดสุดรอบรู้คู่คลังปัญญา
- ดูรอบแรกเผลอหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งเรื่องตั้งแต่เพิ่งเริ่ม เนื่องจากไม่สามารถจูนติดกับเรื่องได้ อีกอย่างคือห่างจากการดูหนังสารคดีประเภทนี้ไปหลายเดือนพอกลับมาดูอีกครั้งเหมือนเพิ่งนับหนึ่งใหม่อีกรอบ ถึงจะวูบ ๆ หลับ ๆ แต่ก็ยังมีสติลืมตาดูเป็นระยะ ซึ่งแน่นอนว่าหนังสารคดีประเภทนี้จะเน้นข้อมูลเชิงวิชาการเป็นหลัก มี Topic ขึ้นหัว มีตัวละครที่ปรากฎให้สัมภาษณ์เป็นบุคคลจริง ไม่ใช่สแตนอิน ไม่ใช่ตัวแสดงแทน มาเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาโดยอ้างอิงตามข้อมูลที่อ่านจากเรื่องย่อ ให้คนดูรับทราบกันไป ที่แปลกคือเรื่องนี้ดันแอบผ่านไปเร็วโดยไม่ทันได้รู้จักมักจี่ให้เสร็จเรียบร้อย คือ นั่งสัมภาษณ์คนนี้พูดไม่ทันจบประโยคก็ตัดข้ามไปสัมภาษณ์คนใหม่ดื้อ ๆ แล้วก็เลื่อนไปหาคนใหม่อีกแล้วที่ตกใจอีกคือดันมีการวกกลับสัมภาษณ์คนก่อนหน้านี้ด้วยที่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่คน เป็นคนที่เท่าไหร่แล้วทิ้งช่วงห่างกันกี่นาทีเมื่อเทียบกับคนปัจจุบันบวกกับมีการแทรกภาพภายในร้านหนังสือตามแต่ละแห่งประกอบกับคำคมของ Life Coach ตบท้ายขายของแล้วเป็นแบบนี้ไปยันจนจบจนนอกจากสตั๊นท์กับสิ่งที่เห็นพึ่บพับแล้วยังทำเอาผมไปไม่ถูกอีกด้วย ในเมื่อรู้ตัวว่าไล่ตามไม่ทันแล้วเลยขอตัวชิ่งหลับไปอย่างไวดีกว่า ง่าย ๆ จบ ซึ่งช่วงเวลาที่เกิดความรู้สึกนี้ตัวหนังเพิ่งจะผ่านขึ้นได้ประมาณ 15 นาทีเอง
- มาดูอีกรอบก็พอจับแก่นสารที่แฝงใน Details ที่โผล่ตามทางก็พบว่ามีเรื่องที่อยากพรรณนาอยู่ไม่น้อย ที่ชอบคือ ตัวสารคดีบรรยากาศภาพภายในร้านหนังสือแต่ละร้านออกมาได้สวยงามอลังการราวกับอยู่ในสวรรค์ของโลกเวทย์มนตร์จนอยากไปเยือนดูสักครั้ง ไปสูดกลิ่นความเจริญในประเทศเสรีว่าเขาให้ความสำคัญกับการอ่าน ปลูกฝังให้คนมีปัญญา รู้คุณค่า ตระหนักในสิทธิ มากน้อยแค่ไหน ถึงแม้บางอย่างจะถูกควบคุมด้วยกฎหมายที่เคร่งครัดก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่เหมือนดินแดนคนดีย์ที่พยายามปิดโลกด้วยความเชื่อ ระบบอุปถัมภ์ หรือ ชนชั้นที่ถูกส่งต่อกันเป็นทอด ๆ ตามระบบอำนาจนิยมครำครึแล้วครอบไว้ในกรอบไปซะทุกอย่างโดยบางอย่างไม่สอดคล้องกับยุคสมัยและไม่เกิดประโยชน์เลยซักนิด
- ไม่เฉพาะแค่ตื่นตาบรรยากาศภายในร้าน ยังตื่นใจไปกับการที่เราได้เห็นโลกของหนอนหนังสือที่ไม่ได้อ่านจบแล้วแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน ยังมีการสุ่มหัวรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเขียน อาจารย์ นักธรกิจ พ่อค้า กระทั่งคนจรก็เป็นนักอ่าน นักรีวิว นักสืบค้น นักสะสม หรือ ผู้เชี่ยวชาญได้ มีการแนะนำจากปากต่อปาก . มีการตั้งกลุ่มแชร์ข่าวหรือแจ้งกิจกรรม รวมถึงมีการประมูลผลงานเพื่อสร้าง Connection ติดต่อซื้อขายกันแล้วต่อยอดเป็นอาชีพได้อีกด้วย รวมถึงมีการตั้งคำถามกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจากการมาของอินเตอร์เน็ตก็ดีหรือการเติบโตของโลกเทคโนโลยีก็ตามว่าจะมีวิธีการปรับตัวอย่างไรให้วัฒนธรรมการอ่านหนังสืออยู่ร่วมในสังคมต่อไป โดยเฉพาะหนังสือเก่า ๆ ที่หายากในปัจจุบัน เป็น rare item ชั้นดีของนักสะสมของเก่าราวกับไฮยน่ากระหายเหยื่อจนเรามองภาพเหล่านี้กลายเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเราเมื่อเทียบกับดินแดนคนดีย์ที่ให้ความสำคัญกับอะไรไม่รู้เพื่อข่มให้เชื่อจนเกิดความกลัวด้วยเรื่องคร่ำครึกที่ไม่ตีค่าเป็นเม็ดเงิน แล้วยังไม่มีการตั้งคำถามตามเลยว่าทำทำไม ? ทำเพื่ออะไร ? แล้วยังส่งต่อตามอัธยาศัยเฉยแถมผลักให้อาชีพชายขอบ อย่าง อาชีพนักเขียน , ศิลปิน รวมถึงอาชีพผู้ใช้แรงงานทางความคิด ว่าเป็นอาชีพสัมภเวสี ไม่มีอะไรมารองรับว่าคุณภาพชีวิตจะเป็นยังไง โยนให้กลายเป็นเรื่องของการแข่งขันไปจัดกันเอง อวยกันเองตาม Club เล็ก ๆ ชิงจ้าวความเป็น 1 กันเองไม่ต่างอะไรกับซื้อหวยเพื่อต้องการถูกรางวัลที่ 1 ใครทำผลงานเข้าตาก็เป็นผู้ชนะ ใครไม่ผ่านก็เรื่องของแล้วแตะไหล่ปลอบใจเบา ๆ คือ มีได้แต่ไม่อยากให้เป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเดียวแต่ต้องการทำให้เป็นอาชีพที่จับต้องได้อย่างจริงจัง คนที่สนใจก็ให้เปิดให้ลงทะเบียนใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบอาชีพนี้และสร้างสวัสดิการแก่ผู้ประกอบอาชีพชายขอบได้รับกันอย่างทั่วถึงและเป็นกิจลักษณะไปเลย เขาจะได้ยืนยัน Status ได้ซะทีว่ากูประกอบอาชีพนี้และได้รับค่าจ้างทุกเดือนถึงแม้เดือนนี้กูไม่มีผลงานเสนอให้พวกเห็นก็ตาม ไม่ใช่ใครแพ้ก็ปลอบใจแล้วปล่อยให้เขาดิ้นรนไปตามลม จะบอกว่าทำเพื่อหวังเงิน ใช่ ไม่ทำแล้วจะเอาอะไรแดก คิดถึงความเป็นจริงอย่าโลกสวยจนปัญญาอ่อน
- สรุป ดูรอบแรกเฉย ๆ ดูรอบสองเริ่มชอบขึ้นมาในระดับกลาง เป็นหนังสารคดีที่เสิร์ฟเนื้อหาแน่นและรวดเร็วแต่ในแง่ของการดูรู้สึกว่านานไปหน่อยนึงกับเวลา 1 ชั่วโมง 39 นาที เพราะความเนิบที่เข้าใจได้ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าดูเพื่อความบันเทิงไม่ตอบโจทย์ แต่เหมาะสำหรับดูเพื่อเป็นวิทยาทาน ค้นข้อมูลทางวิชาการมากกว่า ซึ่ง Details ดูง่ายถ้าตั้งใจดูอย่างมีสมาธิ สบาย ๆ ไปกับเสียงดนตรีที่บรรเลงมีความทะเล้น ๆ เหมือนนั่งอ่านหนังสือพร้อมกับจิบชาเบา ๆ อยู่ในคาเฟ่ยามบ่าย ระหว่างทางก็เพลินไปกับการตกแต่งของร้านหนังสือไป ที่สังเกตุช่วงที่หนังกำลังจะวาร์ปไปอีกฉากมีการแทรกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ผ่านตัวละครที่มีอยู่จริงผ่าน Footage หรือ ตามหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนเอา Projector มาจ่อแล้วขยายความอีกที เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือให้แก่ข้อมูลแล้วยังเป็นการสร้างจิตสำนึกรักการอ่านหนังสือไม่ว่าทั้งแบบเล่มกระดาษหรือใน Platform ออนไลน์ ไม่ได้จำกัดว่าเป็นใคร ทำอะไร คนรวย คนจน เด็กเนิร์ด เป็นคน Introvert ในเมื่อทุกคนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทุกคนก็พร้อมละะวางภาระก่ายกองทุกอย่างแล้วสวมวิญญาณเป็นหนอนหนังสือสนุกกับการผจญภัยในโลกของตัวอักษรแล้วจินตนาการตามอัธยาศัย หลังจากอ่านเสร็จมีการซื้อกลับหรือเข้าร่วมพูดคุยเม้ามอยหอยสังข์กับคนคอเดียวกันต่อแต่ในแง่ของตังละครที่ปรากฎแต่ละคนไม่ได้รู้สึกผูกพันแต่อย่างใดเพราะการวาร์ปฉากเร็วเป็นเหตุแถมตัวละครก็มีเยอะไม่ซ้ำหน้าซะเหลือเกิน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้