นักโทษคนสุดท้าย

กระทู้สนทนา
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร

         ฉันเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของมนุษย์  หุ่นยนต์อธิบายไว้ว่าสงครามครั้งนี้มีผลทำให้เกิดวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้มนุษย์มีหน้าที่เพียงแค่ดำรงเผ่าพันธุ์ไม่ให้สูญสลายไปแค่นั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งปลูกสร้าง วิทยาการโรงเพาะชำพืช โรงเพาะเลี้ยงสัตว์เพื่อมาทำเป็นอาหาร ศิลปะบันเทิง ไม่ต้องพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บซึ่งสูญพันธุ์ไปนานแล้วเพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ และอีกมากมายที่มนุษย์จะคิดออก

         พิพิธภัณฑ์สงครามยังมีเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ให้เราได้ศึกษา หุ่นยนต์บรรยายว่าผู้คนสมัยนั้นคิดอะไร ทำสงครามกันเพื่ออะไร ไม่พูดถึงว่าฝ่ายไหนทำอะไรกับใคร เพราะว่าการแบ่งแยกดินแดนเป็นฝักเป็นฝ่ายนั้นไม่มีมานานแล้วจนเราจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใครบ้าง

         คำบรรยายบอกว่าสงครามคือการเอาตัวรอดของเผ่าพันธุ์ของผู้ที่ก่อ โดยการทำลายเผ่าพันธุ์อื่น ซึ่งฉันก็เข้าใจเหตุผลของคนสมัยนั้นตามที่หุ่นยนต์ว่า แต่ลึก ๆ แล้วผู้ฟังคงไม่มีใครเข้าใจโดยสามัญสำนึกของคนยุคนี้หรอกว่าคิดอะไรอย่างไร เพราะยุคสมัยนี้ไม่มีแล้วคำว่า ‘เอาตัวรอด’ ซึ่งน่าจะหมายถึงการรักษาชีวิตไว้ไม่ให้ตาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 3 มนุษย์สามารถคิดค้นเทคโนโลยีควบคุมเซลในร่างกายของเราไม่ให้เสื่อมสลายได้ จนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่มีวันตาย แต่หลังจากมนุษย์ที่ไม่มีวันตายอยู่ไปได้แค่สองถึงสามร้อยปี พวกเขากลับเลือกที่จะปล่อยให้เซลของร่างกายเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ และตายลงอย่างช้า ๆ ซึ่งความคิดเหล่านี้ฉันเข้าใจได้โดยสามัญสำนึก

         ระหว่างที่ฉันเดินในพิพิธภัณฑ์ตามฝูงชน หุ่นยนต์ก็บรรยายในสิ่งที่มันอยากพูด แวบหนึ่งฉันก็นึกถึงว่ามนุษย์เราทุกวันนี้อยู่ไปเพื่ออะไร วิทยาการ ศาสตร์ทุกอย่างถูกค้นคว้าจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เองที่ทุกตารางเมตรในมหาสมุทรรวมถึงก้นสมุทรถูกเราสำรวจไว้หมดแล้ว สัตว์น้ำใต้ทะเลเรามีข้อมูลทุกสายพันธุ์ พืชทุกชนิดเรารู้จักและสามารถผสมสายพันธุ์ได้อย่างง่ายดายเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา

         ฉันกลับมามองเจ้าหุ่นยนต์ตัวน้อยที่คอยอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้มนุษย์อย่างเราฟัง ในยุคปัจจุบันนี้มีแต่เพียงงานให้ข้อมูลในพิพิธภัณฑ์หรือสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกมอบหมายให้หุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมด้วยระบบเอไอทำ ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ถูกคนจับจองแย่งกันทำงาน ไม่ปล่อยให้เอไอทำงานแทน เพราะมนุษย์คงเบื่อที่จะอยู่เฉย ๆ แม้แต่ถนนที่ไม่ค่อยมีใครผ่านยังมีคนอาสาไปกวาดถนนตลอดเวลา ฉันเองก็อาสาทำงานเป็นคนปรุงอาหารในโรงอาหารให้คนมาเลือกกิน ว่าง ๆ บางวันฉันมีอารมณ์ศิลปินแต่งเนื้อเพลงส่งให้นักดนตรีนำไปร้องบนเวที

         ในยุคก่อนส่งครามโลกครั้งที่ 3 หุ่นยนต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ 150 ปี โรคระบาดหมดไปนานแล้ว และด้วยเพราะมนุษย์อยู่นานขึ้น ไม่ต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ จึงทำให้มนุษย์อยากจะครอบครอง จับจองสิ่งต่าง ๆ หรือไปยึดอะไรบางสิ่งจากคนอื่น สงครามโลกครั้งที่ 3 จึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังสงครามก็เป็นช่วงฟื้นฟู ทุกอย่างเป็นดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างดำเนินไปถึงขีดสุด ทุกคนบนโลกสามารถเข้าสู่บริการทางการแพทย์เพื่อจะทำให้ชีวิตเป็นอมตะ

         พอหุ่นยนต์พูดถึงตรงนี้ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้จากคนฉลาดคนหนึ่งของโลก เขาบอกว่าการทำให้ชีวิตมนุษย์เป็นอมตะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดที่มนุษย์เคยทำ ชีวิตที่มีแต่การเกิดนั้นไม่ใช่ชีวิต ต้องมีอะไรอีกสามอย่างนะ ฉันก็จำไม่ค่อยได้ เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่คนฉลาดคนอื่น ๆ ก็พูดเหมือนกันว่าสิ่งที่คนฉลาดที่ฉันหมายถึงคนแรกนั้นพูดถูก ในเวลาต่อมามนุษย์ทุกคนถูกแก้ไขอะไรบางอย่างให้ตายตามอายุขัยที่แท้จริง ทุกคนอยากให้เซลในร่างกายเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาตามแต่ที่ธรรมชาติจะมอบให้  ฉันเคยได้ยินมาว่ามีบางคนสุดโต่งยอมถอดภูมิคุ้มกันชีวภาพเทียมออกไป เพื่อที่จะให้ตัวเองเจ็บป่วยแล้วไปรักษา หรือบางคนป่วยตายเลยก็มี

         อาจจะจริงอย่างที่คนฉลาดพูด มนุษย์ที่เป็นอมตะจะออกลูกมาเพื่ออะไร ในยุคนั้นอัตราการเกิดน้อยมากจนเกือบเป็นศูนย์  แต่พอคนรู้วันตายของตัวเอง อัตราการเกิดของมนุษย์ก็กลับมาเป็นปกติ ใช่แล้ว คนฉลาดที่พูดเรื่องนี้คือคนฉลาดคนแรกที่ฉันพูดถึง เขายังมีความคิดที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกน่าสงสัยอีกมากมาย เช่นเรื่องการให้อภัย การปล่อยวาง การสำนึกผิด  และอีกเยอะที่ฉันไม่เข้าใจ แม้แต่คนฉลาดคนนี้เองยังบอกเลยว่านี่มันเป็นแนวคิดเก่าที่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว อ้อ! ฉันจำได้แล้วว่าคนฉลาดคนนี้ชื่อมายูตินั่นเอง

 

         วันนี้เป็นวันพิเศษ พิพิธภัณฑ์ประกาศว่าจะมีการปลดปล่อยนักโทษคนสุดท้าย ฉันไม่เข้าใจว่าโลกของเราในทุกวันนี้ไม่มีเรือนจำแล้ว หมายถึงเรือนจำที่ใช้งานจริงที่มีการกักขังนักโทษตัวเป็น ๆ อยู่ในนั้น เอาแค่ว่าคนทั่วไปยังไม่รู้จักคำว่า “นักโทษ” เลยว่าคืออะไร ฉันยังต้องเข้าไปค้นหาความหมายคำคำนี้ในคลังข้อมูล ไม่ต้องพูดถึงว่าใครจะรู้ว่ายังมีนักโทษอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ แล้วนักโทษคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับพิพิธภัณฑ์สงคราม

         ในห้องโถงขนาดใหญ่ผู้คนมากมายห้อมล้อมจุดศูนย์กลางของห้อง ณ จุดนั้นแสงโฮโลแกรมแสดงภาพเวทีว่างเปล่า ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ยืนล้อมรอบ สักพักเงาคนปรากฏ และคนคนนั้นคือมายูตินั่นเอง วันนี้เขาคงเข้ามาเปิดงานและคงพูดคุยเรื่องอะไรสักอย่าง

         “สวัสดีครับ วันนี้อย่างที่ทุกคนทราบ ทางพิพิธภัณฑ์จะถ่ายทอดสดการปลดปล่อยนักโทษสงคราม เพราะนักโทษครบกำหนดรับโทษแล้ว เพราะเป็นนักโทษสงคราม ผมจึงได้เชิญทุกท่านมาเป็นสักขีพยานในวันนี้ที่พิพิธภัณฑ์สงคราม”

         ฉันจ้องมองภาพโฮโลแกรมนั้น คนในภาพหยุดพูดเว้นจังหวะหายใจ

         “และนักโทษคนนั้นก็คือผมเอง”

         เสียงฮือฮาเต็มห้องประชุม ฉันมั่นใจว่าทุกคนรู้จักว่ามายูติเป็นใคร เขาเป็นคนฉลาดที่เป็นอมตะ เขาอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว บางทีอาจมากกว่าสิบ เป็นเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่รักษาความเป็นอมตะ หรือไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่เป็นอมตะ เอ๊ะ! หรือว่า การเป็นอมตะคือเรือนจำที่คุมขังเขาไว้

         “ผมอยากจะสารภาพต่อทุกท่านว่าผมคืออาชญากรสงคราม เป็นผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 เคยได้รับโทษจำคุกจากหลายข้อหารวมทั้งสิ้น 1,200 ปี ในตอนนั้นที่คนยังไม่สามารถยืดอายุขัยออกไปได้ไม่สิ้นสุด มันก็คือจำคุกตลอดชีวิตนั้นเอง แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เวลาผ่านไปเพียงแค่ 20 ปี มนุษย์สามารถสร้างความอมตะให้กับใครก็ได้ ด้วยความโกรธแค้นจากผู้คนในสมัยนั้น พวกเขาจึงมอบความอมตะให้ผมเพื่อเพียงแค่จะจองจำผมในคุก อาจจะเพื่อลดความโกรธแค้นจากสังคม”

         เพราะอย่างนี้นี่เอง เขาเป็นคนฉลาดเพราะเขาอยู่มานาน คงเห็นโลกมามากมาย มายูติเป็นผู้สร้างพิพิธภัณฑ์สงครามเพราะเขาเป็นผู้ก่อสงครามโลกครั้งล่าสุด ข้อมูลต่าง ๆ ที่หุ่นยนต์พูดก็มานั้นเป็นสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากคนที่เกี่ยวข้องกับสงครามโดยตรง เหตุผลที่แท้จริงของสงครามคงจะไม่มีใครปฏิเสธได้

         “เมื่อผมถูกจองจำในเรือนจำครบ 100 ปี จนไม่มีนักโทษในเรือนจำแล้ว สภาเมืองคนเก่า ๆ ที่สั่งคุมขังผมก็ล้มตายกันไปหมด สภาชุดใหม่เห็นว่าคุกไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป จึงปล่อยให้ผมออกมาใช้ชีวิตอิสระเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่ว่าผมแต่ไม่รู้วันตายของตัวเองเหมือนคนทั่วไป”

         ฉันเริ่มรู้สึกถึงความโศกเศร้า หดหู่เมื่อคิดถึงใครคนหนึ่งที่จะต้องใช้ชีวิตยาวนานหลายร้อยปี ความเหงาความสันโดษที่ต้องเห็นผู้คนล้มตายจากไป พอไปเจอคนใหม่ ๆ ก็ต้องทนดูคนเหล่านั้นจากไปคนแล้วคนเล่า

         “ผมใช้เวลาเหล่านั้นชดใช้ความผิดพลาดในอดีต โดยการช่วยเหลือสังคม ใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อสำนึกผิดที่เคยทำไว้ และจนถึงวันนี้เป็นวันแรกที่ผมพ้นกำหนดโทษแล้ว ทางสภาเมืองอนุญาตให้ผมเลือกที่จะตายได้อย่างมนุษย์เสียที”

         ฉันเห็นมายูติยิ้มอย่างมนุษย์ ใบหน้าที่แก่ชราลงเพราะถูกถอดความเป็นอมตะออกไป ร่างกายที่เผยถึงความเบาสบายผ่อนคลาย คงคล้ายกับการพ้นจากโซ่ตรวนที่พันธนาการไว้ ฉันจำได้แล้วที่มายูติเคยพูดไว้ว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นคือการเกิด แก่ เจ็บ และตาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่