สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
แน่ใจนะ ว่าเข้าใจคำว่า “bully” ทั้งความหมายและขอบเขตของมัน?
งั้นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า “Hypocrite” เพิ่มด้วยนะ เหมือนที่ คห ข้างบนว่าไว้นั่นแหละ
คนที่รวมหัวกันบุลลี่คนอื่น เพียงเพราะคิดว่าเค้าไม่สู้ หรือคิดว่ามีพวกเยอะกว่า หรือมั่นหน้าคิดเอาเองว่าเพราะคนอื่นเค้ามีบุคลิกลักษณะอะไรที่ไม่ตรงจริตเราเลยคิดเอาเองว่ามีอภิสิทธิ์จะไปรังแกเค้าหรือ mocking เค้าโดยที่เค้าไม่เคยทำอะไรให้เนี่ย มันเป็นการแสดงออกของสิ่งมีชีวิตที่ขี้ขลาดและฉลาดน้อย และอย่างที่ความเห็นอื่นว่า คนลักษณะนี้ คนที่มี mindset แบบนี้ ถ้าให้อยู่เดี๋ยว เดี่ยวตัวเดียวนี่ ไม่กล้ากับใครหรอก อาจจะเก่งกับหมาด่าเด็กท้าต่อยคนแก่แค่หรือหารังแกคนที่คิดว่าเค้าไม่สู้หรือไม่มีทางสู้เท่านั้น
คนปรกติน่ะ ไม่ถูกจริตใครเค้าก้อต่างคนต่างอยู่ ถ้าเค้าไม่ได้มาทำอะไรให้ไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนหรือแสดงให้เห็นว่าอยากจะมีปัญหา โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงกันหมดแล้ว คนปรกติไม่มีใครเค้าไปบุลลี่ใครกันหรอก คนจริงเค้า Call out แล้วเอาให้จบกันไปต่อหน้า ถ้าอีกฝั่งจะกล้ามาเคลียร์ไม่ใช่เก่งแต่ลับหลังนะ) แล้วก็แยกย้ายกันไป ไม่ใช่วนเวียนหาทำอะไรให้มันล้ำเส้นกัน แต่มันจะมีกี่คนที่กล้า Confront?
เคยเจอแบบไอ้ที่พยายามจะบุลลี่เค้าโดยใช้วิธีอนุบาลสามแต่ตามก๊อปปี้เค้าทุกกระเบียดแค่เพราะไม่ชอบขี้หน้าเค้ามั้ย? มันคือความบันเทิงรายวันของฉันเลยจ้า!! ชอบมากอ่ะพวกมั่นหน้าที่ไม่มีอะไรดีกว่าคนที่ไปตามบุลลี่เค้าซะอย่างนอกจากความมโนมั่นหน้า ทำว่าไม่ชอบขี้หน้าเค้าแบบหาเหตุผลไม่ได้ด้วยนะ อันนั้นเค้าเรียกว่าขี้อิจฉาริษยาจ้า ต้องไปหาทางรักษาตัวเองไม่ใช่โทษคนอื่นที่ไปอิจฉาริษยาเค้า ไม่รู้คิดว่าไปเอาสิทธิ์นั้นมาจากไหนกัน
ยิ่งพวกที่ทำว่าไม่ชอบหน้าเค้าแต่พยายามอยากจะวันนาบีอยากจะเป็นให้ได้อย่างเค้านี่คืออาการหนักจ้า หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมก็ตอบได้แค่นี้แหละว่าเพราะขี้อิจฉาริษยา คนมีความสุขเค้าไม่ไปทำให้คนอื่นรู้สึกเป็นทุกข์เพื่อที่จะรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาบ้างหรอก
คนที่นับถือตัวเองและให้เกียรติคนอื่น เค้าไม่มานั่งตามก๊อปปี้อยากมีชีวิตเหมือนคนอื่นที่ไปตามบุลลี่เค้าหรอกนะ
เพราะถ้าชีวิตตัวมันเองดีจริงคงไม่ตามพยายาอยากจะทำให้ชีวิตคนอื่นเค้าแย่ลงมั้ย คงไม่พยายามอยากจะเป็นเหมือนคนอื่นที่ตัวเองพยายามจะดูถูกเค้ามะ? (แถมคิดไปเองด้วยว่า จะกดคนอื่นให้ต่ำกว่าได้ แล้วชีวิตมันจะสูงส่งขึ้นมาได้) ถ้ามันคิดถึงความเป็นจริงกันได้ก็น่าจะหาคำตอบได้นะ
เพราะมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย แต่การจะคิดคิดถึงความเป็นจริงได้ก็ต้องเลิกคิดเข้าข้างตัวเองเลิกหลอกตัวเองกันซะก่อนน่ะ ซึ่งพวกที่หยิ่งทนงหลงตัวเองไม่น่าจะทำได้ง่าย เพราะใช้ชีวิตใน la la land คนละภพภูมิกับคนปรกติอ่ะ ก็เลยยังอยู่ใต้ตมแล้วยังคิดว่ามีอภิสิทธิ์นั้น ยังมโนจิตคิดว่าสิ่งที่ทำนี่มันเป็นเพราะคนอื่นน่ารังแกไม่ใช่เพราะสันดานที่ไม่ดีของตัวเอง ซะงั้น
แล้วพวกที่คิดว่าบุลลี่คนอื่นได้ พอสถาณการณ์เปลี่ยน แผนพัง ภัยความมั่นเข้าหาตัวเนี่ย พอโดนตอบโต้บ้าง พวกนี้แหละจะร้องเอ๋งดังเชียว รับบทเหยื่อต่อเลยว่าถูกกระทำ (แต่ไม่เล่าให้คนอื่นเค้าฟังหรอกนะว่าไปทำอะไรมาถึงโดนแบบเดียวกันคืนบ้างอ่ะ ได้เกียรติบัตรจากรัชดาลัยเธียเตอร์กันมาทั้งนั้น)
วันหลังลองหาเหตุผลของคนที่ทำไมถึงคิดว่ามีอภิสิทธิ์ไปบุลลี่คนอื่นบ้างสิ fair enough?
แน่ใจนะ ว่าเข้าใจคำว่า “bully” ทั้งความหมายและขอบเขตของมัน?
งั้นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า “Hypocrite” เพิ่มด้วยนะ เหมือนที่ คห ข้างบนว่าไว้นั่นแหละ
คนที่รวมหัวกันบุลลี่คนอื่น เพียงเพราะคิดว่าเค้าไม่สู้ หรือคิดว่ามีพวกเยอะกว่า หรือมั่นหน้าคิดเอาเองว่าเพราะคนอื่นเค้ามีบุคลิกลักษณะอะไรที่ไม่ตรงจริตเราเลยคิดเอาเองว่ามีอภิสิทธิ์จะไปรังแกเค้าหรือ mocking เค้าโดยที่เค้าไม่เคยทำอะไรให้เนี่ย มันเป็นการแสดงออกของสิ่งมีชีวิตที่ขี้ขลาดและฉลาดน้อย และอย่างที่ความเห็นอื่นว่า คนลักษณะนี้ คนที่มี mindset แบบนี้ ถ้าให้อยู่เดี๋ยว เดี่ยวตัวเดียวนี่ ไม่กล้ากับใครหรอก อาจจะเก่งกับหมาด่าเด็กท้าต่อยคนแก่แค่หรือหารังแกคนที่คิดว่าเค้าไม่สู้หรือไม่มีทางสู้เท่านั้น
คนปรกติน่ะ ไม่ถูกจริตใครเค้าก้อต่างคนต่างอยู่ ถ้าเค้าไม่ได้มาทำอะไรให้ไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนหรือแสดงให้เห็นว่าอยากจะมีปัญหา โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงกันหมดแล้ว คนปรกติไม่มีใครเค้าไปบุลลี่ใครกันหรอก คนจริงเค้า Call out แล้วเอาให้จบกันไปต่อหน้า ถ้าอีกฝั่งจะกล้ามาเคลียร์ไม่ใช่เก่งแต่ลับหลังนะ) แล้วก็แยกย้ายกันไป ไม่ใช่วนเวียนหาทำอะไรให้มันล้ำเส้นกัน แต่มันจะมีกี่คนที่กล้า Confront?
เคยเจอแบบไอ้ที่พยายามจะบุลลี่เค้าโดยใช้วิธีอนุบาลสามแต่ตามก๊อปปี้เค้าทุกกระเบียดแค่เพราะไม่ชอบขี้หน้าเค้ามั้ย? มันคือความบันเทิงรายวันของฉันเลยจ้า!! ชอบมากอ่ะพวกมั่นหน้าที่ไม่มีอะไรดีกว่าคนที่ไปตามบุลลี่เค้าซะอย่างนอกจากความมโนมั่นหน้า ทำว่าไม่ชอบขี้หน้าเค้าแบบหาเหตุผลไม่ได้ด้วยนะ อันนั้นเค้าเรียกว่าขี้อิจฉาริษยาจ้า ต้องไปหาทางรักษาตัวเองไม่ใช่โทษคนอื่นที่ไปอิจฉาริษยาเค้า ไม่รู้คิดว่าไปเอาสิทธิ์นั้นมาจากไหนกัน
ยิ่งพวกที่ทำว่าไม่ชอบหน้าเค้าแต่พยายามอยากจะวันนาบีอยากจะเป็นให้ได้อย่างเค้านี่คืออาการหนักจ้า หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมก็ตอบได้แค่นี้แหละว่าเพราะขี้อิจฉาริษยา คนมีความสุขเค้าไม่ไปทำให้คนอื่นรู้สึกเป็นทุกข์เพื่อที่จะรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาบ้างหรอก
คนที่นับถือตัวเองและให้เกียรติคนอื่น เค้าไม่มานั่งตามก๊อปปี้อยากมีชีวิตเหมือนคนอื่นที่ไปตามบุลลี่เค้าหรอกนะ
เพราะถ้าชีวิตตัวมันเองดีจริงคงไม่ตามพยายาอยากจะทำให้ชีวิตคนอื่นเค้าแย่ลงมั้ย คงไม่พยายามอยากจะเป็นเหมือนคนอื่นที่ตัวเองพยายามจะดูถูกเค้ามะ? (แถมคิดไปเองด้วยว่า จะกดคนอื่นให้ต่ำกว่าได้ แล้วชีวิตมันจะสูงส่งขึ้นมาได้) ถ้ามันคิดถึงความเป็นจริงกันได้ก็น่าจะหาคำตอบได้นะ
เพราะมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย แต่การจะคิดคิดถึงความเป็นจริงได้ก็ต้องเลิกคิดเข้าข้างตัวเองเลิกหลอกตัวเองกันซะก่อนน่ะ ซึ่งพวกที่หยิ่งทนงหลงตัวเองไม่น่าจะทำได้ง่าย เพราะใช้ชีวิตใน la la land คนละภพภูมิกับคนปรกติอ่ะ ก็เลยยังอยู่ใต้ตมแล้วยังคิดว่ามีอภิสิทธิ์นั้น ยังมโนจิตคิดว่าสิ่งที่ทำนี่มันเป็นเพราะคนอื่นน่ารังแกไม่ใช่เพราะสันดานที่ไม่ดีของตัวเอง ซะงั้น
แล้วพวกที่คิดว่าบุลลี่คนอื่นได้ พอสถาณการณ์เปลี่ยน แผนพัง ภัยความมั่นเข้าหาตัวเนี่ย พอโดนตอบโต้บ้าง พวกนี้แหละจะร้องเอ๋งดังเชียว รับบทเหยื่อต่อเลยว่าถูกกระทำ (แต่ไม่เล่าให้คนอื่นเค้าฟังหรอกนะว่าไปทำอะไรมาถึงโดนแบบเดียวกันคืนบ้างอ่ะ ได้เกียรติบัตรจากรัชดาลัยเธียเตอร์กันมาทั้งนั้น)
วันหลังลองหาเหตุผลของคนที่ทำไมถึงคิดว่ามีอภิสิทธิ์ไปบุลลี่คนอื่นบ้างสิ fair enough?
ความคิดเห็นที่ 8
ส่วนตัว จากประสบการณ์ที่เจอคนที่โดนบุลลี่มา จากชั้นประถม มัธยม จนถึงมหาลัย และเคยให้คำปรึกษา ผมคิดว่า ที่มีลักษณะคล้ายๆกัน คือ
1) เหยื่อมักจะมี self-esteem ที่ต่ำมาแต่แรก ทำให้เมื่อถูกบุลลี่ ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจได้ง่าย เพราะมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองอยู่เป็นทุนเดิม และทำให้ออก reaction กับการโดนบุลลี่มากกว่าคนปกติ
ก็ตอบยากเหมือนกัน ว่าที่ self-esteem ต่ำนี้ มาจากโรคซึมเศร้าเดิม มาจากปัญหาในครอบครัว หรือเคยมีเหตุการณ์อะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า
2) การแก้ไขปัญหา มักจะเป็นแบบ ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เน้นการแก้ปัญหาที่ทำให้คนอื่นพอใจ แต่ตัวเองเสียเปรียบ หรือเสียประโยชน์ (กลัวเพื่อนเกลียด แต่ตัวเองเสียหายเต็มๆ) ทำให้เป็นคนที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และถูก manipulate โดยคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา
3) เขาปรับตัวเข้ากับสังคมนั้นๆไม่ได้ ทำให้มีความรู้สึกเหมือน ถูก isolate ออกมาจากสังคมนั้นๆ ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว และมองว่า ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครสามารถหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือได้ เมื่อไปประกอบกับข้อ 2) ที่มักจะมีแนวคิดหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเป็นทุนเดิม ยิ่งทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือ และมองว่าไม่มีใครช่วยเขาได้
ทั้งนี้ ผมไม่ใช่จิตแพทย์ และผมก็ไม่ใช่คนดีศรีสังคมอะไร ผมตอบจากประสบการณ์ที่ผมเห็นเท่านั้น ฟังหูไว้หูครับ
________________________________
ใดๆก็ตาม ส่วนตัวผมมองว่า ปัญหาการถูกบุลลี่ จะถูกแก้ได้ก็ต่อเมื่อ
1) มีคนหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ (เพราะเอาเข้าจริง มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการบุลลี่เยอะนะ แต่คนจำนวนหนึ่งมักจะปากเก่งแค่ในโลกออนไลน์ แต่พอไปเจอเหตุการณ์การบุลลี่ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง กลับทำตัวเป็นแค่ bystander เพราะกลัวโดนลูกหลง กลัวผลกระทบที่จะตามมาจากการสวนกระแส คนพวกนี้ผมมองว่า ไม่มีกระดูกสันหลังทางความคิด)
2) เหยื่อมีความพร้อมที่จะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง เพราะถ้าเหยื่อไม่พร้อม ช่วยแทบตายยังไงก็ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าตัวเขายังไม่เริ่มก้าวเดินก้าวสำคัญ ก้าวนี้ เราเดินแทนเขาไม่ได้จริงๆ
ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ผมมองว่าปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้เลย
_____________
ทั้งนี้ นิยามการ “บุลลี่” ที่ผมพูดถึงนั้น ผมหมายถึงมีองค์ประกอบครบสามข้อนี้เท่านั้น คือ
1) มีเจตนาอาฆาตมาดร้าย คือ ที่ทำไป ทำเพื่อทำให้อับอาย เพื่อกดขี่ เพื่อให้เสียขวัญ
2) ผู้บุลลี่ มีสถานภาพทางกาย (กำลังกาย) ทางตำแหน่งหน้าที่ (เช่น หัวหน้า ผู้จัดการ) ทางสังคม (พวกมากลากไป) สูงกว่าเหยื่อของการบุลลี่ จนเหยื่อไม่สามารถโต้กลับได้ เช่น ถ้าโต้ตอบแล้ว ทางกาย = โดนต่อย/ถูกทำร้าย, ทางตำแหน่งหน้าที่ = ถูกกลั่นแกล้งในที่ทำงาน, ทางสังคม = คนเยอะกว่ามาก ไม่สามารถตอบโต้ได้ไหว
3) มีการกระทำการแบบนี้ซ้ำๆอย่างเป็นระบบ แม้ว่าเหยื่อจะบอกไปแล้วว่าไม่ชอบ ไม่พอใจ
เดี๋ยวนี้คนไทยใช้คำว่า “บุลลี่” นี้กันพร่ำเพรื่อ พูดจาอะไรไม่ถูกใจ ไม่เข้าหู กูก็ว่าบุลลี่ไว้ก่อน แต่ขาดความเข้าใจจริงๆในความหมายของมัน จนคำนี้มันไม่ค่อยจะศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไหร่แล้ว
บางคนปวารณาว่าต่อต้านการบุลลี่ แต่ยังไปทัวร์ลงคนโน้นคนนี้อยู่เลย
สังคม hypocrite โดยแท้
1) เหยื่อมักจะมี self-esteem ที่ต่ำมาแต่แรก ทำให้เมื่อถูกบุลลี่ ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจได้ง่าย เพราะมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองอยู่เป็นทุนเดิม และทำให้ออก reaction กับการโดนบุลลี่มากกว่าคนปกติ
ก็ตอบยากเหมือนกัน ว่าที่ self-esteem ต่ำนี้ มาจากโรคซึมเศร้าเดิม มาจากปัญหาในครอบครัว หรือเคยมีเหตุการณ์อะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า
2) การแก้ไขปัญหา มักจะเป็นแบบ ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เน้นการแก้ปัญหาที่ทำให้คนอื่นพอใจ แต่ตัวเองเสียเปรียบ หรือเสียประโยชน์ (กลัวเพื่อนเกลียด แต่ตัวเองเสียหายเต็มๆ) ทำให้เป็นคนที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และถูก manipulate โดยคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา
3) เขาปรับตัวเข้ากับสังคมนั้นๆไม่ได้ ทำให้มีความรู้สึกเหมือน ถูก isolate ออกมาจากสังคมนั้นๆ ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว และมองว่า ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครสามารถหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือได้ เมื่อไปประกอบกับข้อ 2) ที่มักจะมีแนวคิดหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเป็นทุนเดิม ยิ่งทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือ และมองว่าไม่มีใครช่วยเขาได้
ทั้งนี้ ผมไม่ใช่จิตแพทย์ และผมก็ไม่ใช่คนดีศรีสังคมอะไร ผมตอบจากประสบการณ์ที่ผมเห็นเท่านั้น ฟังหูไว้หูครับ
________________________________
ใดๆก็ตาม ส่วนตัวผมมองว่า ปัญหาการถูกบุลลี่ จะถูกแก้ได้ก็ต่อเมื่อ
1) มีคนหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ (เพราะเอาเข้าจริง มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการบุลลี่เยอะนะ แต่คนจำนวนหนึ่งมักจะปากเก่งแค่ในโลกออนไลน์ แต่พอไปเจอเหตุการณ์การบุลลี่ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง กลับทำตัวเป็นแค่ bystander เพราะกลัวโดนลูกหลง กลัวผลกระทบที่จะตามมาจากการสวนกระแส คนพวกนี้ผมมองว่า ไม่มีกระดูกสันหลังทางความคิด)
2) เหยื่อมีความพร้อมที่จะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง เพราะถ้าเหยื่อไม่พร้อม ช่วยแทบตายยังไงก็ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าตัวเขายังไม่เริ่มก้าวเดินก้าวสำคัญ ก้าวนี้ เราเดินแทนเขาไม่ได้จริงๆ
ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ผมมองว่าปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้เลย
_____________
ทั้งนี้ นิยามการ “บุลลี่” ที่ผมพูดถึงนั้น ผมหมายถึงมีองค์ประกอบครบสามข้อนี้เท่านั้น คือ
1) มีเจตนาอาฆาตมาดร้าย คือ ที่ทำไป ทำเพื่อทำให้อับอาย เพื่อกดขี่ เพื่อให้เสียขวัญ
2) ผู้บุลลี่ มีสถานภาพทางกาย (กำลังกาย) ทางตำแหน่งหน้าที่ (เช่น หัวหน้า ผู้จัดการ) ทางสังคม (พวกมากลากไป) สูงกว่าเหยื่อของการบุลลี่ จนเหยื่อไม่สามารถโต้กลับได้ เช่น ถ้าโต้ตอบแล้ว ทางกาย = โดนต่อย/ถูกทำร้าย, ทางตำแหน่งหน้าที่ = ถูกกลั่นแกล้งในที่ทำงาน, ทางสังคม = คนเยอะกว่ามาก ไม่สามารถตอบโต้ได้ไหว
3) มีการกระทำการแบบนี้ซ้ำๆอย่างเป็นระบบ แม้ว่าเหยื่อจะบอกไปแล้วว่าไม่ชอบ ไม่พอใจ
เดี๋ยวนี้คนไทยใช้คำว่า “บุลลี่” นี้กันพร่ำเพรื่อ พูดจาอะไรไม่ถูกใจ ไม่เข้าหู กูก็ว่าบุลลี่ไว้ก่อน แต่ขาดความเข้าใจจริงๆในความหมายของมัน จนคำนี้มันไม่ค่อยจะศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไหร่แล้ว
บางคนปวารณาว่าต่อต้านการบุลลี่ แต่ยังไปทัวร์ลงคนโน้นคนนี้อยู่เลย
สังคม hypocrite โดยแท้
ความคิดเห็นที่ 7
"โดนบูลลี่ คือคนที่ทำตัวให้น่าโดนบูลลี่เอง"
แนะนำว่า ตั้งคำถามกับเรื่องนี้ได้
แต่อย่าไปเชื่อจนติดเป็นสันดาu
เพราะมันคือรากฐานของการโทษเหยื่อ (Victim Blaming)
ให้ระวัง เพราะถ้าคุณเพาะเมล็ดพันธ์ความเชื่อนี้ คุณจะติดนิสัยและด้อยค่าเหยื่อด้วยความเคยชิน
เพราะคุณจะใช้มันกับเหยื่อทุกคน ทุกเรื่อง ทุกกรณี
แนะนำว่า ตั้งคำถามกับเรื่องนี้ได้
แต่อย่าไปเชื่อจนติดเป็นสันดาu
เพราะมันคือรากฐานของการโทษเหยื่อ (Victim Blaming)
ให้ระวัง เพราะถ้าคุณเพาะเมล็ดพันธ์ความเชื่อนี้ คุณจะติดนิสัยและด้อยค่าเหยื่อด้วยความเคยชิน
เพราะคุณจะใช้มันกับเหยื่อทุกคน ทุกเรื่อง ทุกกรณี
ความคิดเห็นที่ 9
ขออนุญาตเข้าโหมดแบ่งปันสาระครับ (มันอาจเป็นคำตอบของคำถามเจ้าของกระทู้)
มันต้องเริ่มจากว่า สังคมเข้าใจคำว่าบูลลี่ตรงกัน"แค่ไหน"
บูลลี่ ไม่ได้เกิดเพราะเหยื่อทำกระทำผิด => เพราะแบบนั้นเราเรียกว่าจะไปคล้ายการลงโทษทางสังคม social sanction/ social punishment
บูลลี่ ไม่ได้เกิดเพราะเหยื่อทำผิดมารยาท => เพราะมันจะไปละม้ายคล้ายการรวมพลมาต่อต้าน (ล่าแม่มด)
บูลลี่ เนื้อแท้มันเกิดจากเหยื่อนั้น "แตกต่าง" => คำนี้ที่เรียกว่าชัดที่สุดที่ใช้อธิบาย
"ก็เพราะแกมันทำตัวแบบนี้ => ทำไม่เหมือนกลุ่มฉัน แกถึงโดน = เพราะแตกต่าง"
"ก็เพราะแกเชื่อ ศรัทธาอะไรไม่เหมือนฉัน แกถึงโดน = เพราะแตกต่าง"
"ก็เพราะแกรสนิยมไม่เหมือนพวกฉัน แกถึงถูกด้อยค่า = เพราะแตกต่าง"
"เพราะแกหน้าตา รูปร่างไม่เหมือนพวกฉัน แกถึงโดน = เพราะแตกต่าง"
แตกต่าง คำเดียวนี้แหละครับที่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้คนกลุ่มหนึ่ง บูลลี่คน/กลุ่มคนกลุ่มอื่น
ขออนุญาตเข้าโหมดแบ่งปันสาระครับ (มันอาจเป็นคำตอบของคำถามเจ้าของกระทู้)
มันต้องเริ่มจากว่า สังคมเข้าใจคำว่าบูลลี่ตรงกัน"แค่ไหน"
บูลลี่ ไม่ได้เกิดเพราะเหยื่อทำกระทำผิด => เพราะแบบนั้นเราเรียกว่าจะไปคล้ายการลงโทษทางสังคม social sanction/ social punishment
บูลลี่ ไม่ได้เกิดเพราะเหยื่อทำผิดมารยาท => เพราะมันจะไปละม้ายคล้ายการรวมพลมาต่อต้าน (ล่าแม่มด)
บูลลี่ เนื้อแท้มันเกิดจากเหยื่อนั้น "แตกต่าง" => คำนี้ที่เรียกว่าชัดที่สุดที่ใช้อธิบาย
"ก็เพราะแกมันทำตัวแบบนี้ => ทำไม่เหมือนกลุ่มฉัน แกถึงโดน = เพราะแตกต่าง"
"ก็เพราะแกเชื่อ ศรัทธาอะไรไม่เหมือนฉัน แกถึงโดน = เพราะแตกต่าง"
"ก็เพราะแกรสนิยมไม่เหมือนพวกฉัน แกถึงถูกด้อยค่า = เพราะแตกต่าง"
"เพราะแกหน้าตา รูปร่างไม่เหมือนพวกฉัน แกถึงโดน = เพราะแตกต่าง"
แตกต่าง คำเดียวนี้แหละครับที่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้คนกลุ่มหนึ่ง บูลลี่คน/กลุ่มคนกลุ่มอื่น
แสดงความคิดเห็น
จริงไหมคะ ที่คนในโรงเรียนหรือมหาลัยที่โดนบูลลี่ คือคนที่ทำตัวให้น่าโดนบูลลี่เอง
ถ้าดูกันเรื่องความอ้วน ความดำ ความเตี้ย ความเอ๋อ หรือความฉลาด ก็มีคนที่เขาแย่กว่านี้ตั้งหลายคน แต่ก็ไม่เห็นเขาจะโดนบูลลี่เหมือนกับที่คนนี้โดนเลย ก็เลยคิดไปคิดมา หาเหตุผลอื่นไม่ได้ จึงได้ข้อสรุปแบบนี้ค่ะว่า คนที่โดนบูลลี่ คือคนที่ทำตัวน่าโดนบูลลี่ ค่ะ
ป.ล. คนที่ไปบูลลี่คนอื่นคือไม่เหมาะสมนะคะ ดิฉันทราบดีอยู่แล้ว แต่แค่อยากหาปัจจัยในส่วนของเหยื่อของการโดนบูลลี่ค่ะ ว่าทำไมต้องเป็นคนนี้ ทำไมถึงเสี่ยงที่จะโดนมากกว่าคนอื่นน่ะค่ะ ใครมีประสบการณ์ หรือความรู้ด้านนี้ ก็แสดงความคิดเห็นได้เลยนะคะ ขออภัย หากการใช้ภาษาหรือการเว้นวรรคทำให้อ่านยากค่ะ ขอบคุณค่ะ