หมายเหตุ: เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล จากมุมมองทั้งในฐานะแฟนคลับ และในฐานะนอกที่พยายามพูดถึงและให้ความเห็นอย่างเป็นธรรมที่สุด ความคิดเห็นบางอย่างอาจตรงหรือไม่ตรงกับที่ท่านอื่นคิดเห็น โปรดใช้วิจารณญาณ
A Long Journey of Bright Vachiravit
นับตั้งแต่แจ้งเกิดเป็นนักแสดงดาวรุ่งแถวหน้าของเมืองไทยจากผลงานสร้างชื่อเมื่อปี 2020 อย่างซีรีส์เพราะเราคู่กัน จนถึงปัจจุบันดูเหมือนกราฟชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารีย์ จะยังคงไปต่อได้อีกโดยไม่มีทีท่าว่าจะดรอป ในโอกาสที่เดือนเมษายนนี้เจ้าตัวกำลังจะมีผลงานภาพยนตร์และเพลงใหม่ออกมาให้ติดตามกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการ Tribute ให้กับผลงานทั้งหมดที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน กระทู้นี้จึงขอ recap ความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่องานของเจ้าตัวรวมถึงตัวตนของผู้ชายที่ชื่อ “ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารีย์”
A Life After
หลังจบซีรีส์เพราะเราคู่กัน ชื่อเสียงของไบร์ท วชิรวิชญ์ก็ได้ลอยลำทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในบรรดานักแสดงดาวรุ่งฝ่ายชายแห่งยุคอย่างไม่มีข้อกังขา (เคียงคู่มาด้วยกันกับเวิร์คพาร์ทเนอร์อย่าง วิน เมธวิน) หลายคนเริ่มจับตาว่าทิศทางในวงการบันเทิงของไบร์ทว่าจะมุ่งไปในทิศทางใด จะมีซีรีส์วายเรื่องใหม่ต่อเลยเพื่อรักษากระแสคู่จิ้น หรือจะมุ่งสู่สายการแสดงชายหญิงตามขนบเดิมที่นักแสดงวายส่วนใหญ่ทำ ---
แน่นอนว่าเป็นอย่างหลัง --- แต่ไม่ว่าจะมาจากการตัดสินใจของค่ายหรือจะมาจากเจ้าตัวเองก็ตาม การต่อยอดจากนักแสดงที่มีชื่อเสียงจากการเล่นวายไปสู่การแสดงซีรีส์หรือละครชายหญิงก็ดูจะยังเป็น career path ที่ได้รับความนิยมจากเหล่านักแสดงซีรีส์วายจากยุคสู่ยุคมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายเท่าไรนักกับการเลือกทางนี้ แม้จะมีเสียงบ่นจากแฟนคลับบางส่วนที่ยังอยากดูเคมีการแสดงระหว่างไบร์ทและวินในซีรีส์วายเรื่องใหม่ก็ตาม
Unpopular Opinion: แม้ค่ายจะตัดสินใจแยกขายทั้งไบร์ทและวินไปในสายเมนสตรีมทั้งๆ ที่กระแสคู่จิ้นยังคงมาแรงอยู่ แต่ดูเหมือนลึกๆ ค่ายเองก็ยังสองจิตสองใจอยากที่จะเลี้ยงกระแสแฟนคลับคู่จิ้นของทั้งสองไว้เช่นกัน เห็นได้จากผลงานเรื่องถัดๆ ไปของทั้งสองคนที่จะยังไม่หนีไปจากกันเท่าไรนัก ถึงแม้จะไม่ได้เล่นเป็นคู่กันแต่ก็จะมี Element บางอย่างที่ให้ทั้งคู่ยังคงทำงานวนเวียนอยู่ด้วยกันเสมอ อาทิ การอยู่ในซีรีส์ F4 ในฐานะนักแสดงนำของทั้งสอง, การอยู่ใน Project Good Old Days แม้จะแยกกันคนละตอน หรือกระทั่งในซีรีส์ Enigma ของวินก็ยังมีไบร์ทมาเป็นตัวละครลับเรียกเสียงฮือฮาให้กับแฟนคลับในตอนท้ายเรื่อง ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจแต่อย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเหมือนความเอาใจใส่เล็กๆ ที่มีต่อแฟนคลับของทั้งสองให้ยังรู้สึกว่าทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกัน ไม่ได้แยกไปไหน
F4 Thailand: Better or Worse?
โปรเจกต์สุดทะเยอทะยานชิ้นโบว์แดงของค่ายอโศกที่คับคั่งไปด้วยสุดยอดนักแสดงดาวรุ่งแห่งยุค ลำพังแค่ชื่อซีรีส์กับรายชื่อนักแสดงก็การันตีได้แน่ๆ ว่ายังไงก็ต้องดัง อยู่ที่ว่าจะดังขนาดไหน ทว่าในความเป็นจริงกระแสของซีรีส์เรื่องนี้กลับแตกออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ฝั่งที่ชอบให้เหตุผลว่าเป็นผลงานท้าทายที่น่าติตดาม เป็นซีรีส์ขึ้นหิ้งระดับตำนานที่เหมาะสมกับนักแสดงนำอย่างไบร์ท วชิรวิชญ์ ขณะที่ชาวต่างชาติบางส่วนที่เป็นแฟนซีรีส์ F4 ในหลายเวอร์ชั่นก่อนหน้าต่างก็รอชมว่า F4 ฉบับเมืองไทยจะออกมาเป็นอย่างไร ในฝั่งของคนที่ไม่ชอบจะวิจารณ์ถึงบทซีรีส์ที่แต่เดิมก็เก่าหลายสิบปี และบางบริบทก็ล้าหลังเกินเมื่ออยู่ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการ Romanticize ความรุนแรงหรืออุปนิสัยของตัวเอกที่ไม่น่ารัก ด้วยกระแสทั้งสองฝั่งที่มากพอๆ กันนับตั้งแต่วันแรกที่ประกาศแคสต์จนถึงวันที่ซีรีส์ฉายยาวไปจนถึงตอนจบ ปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงและถูกพูดถึงอยู่เป็นเนืองๆ ว่า ซีรีส์เรื่งนี้สมควรแล้วหรือไม่ที่สร้างออกมา และผลตอบรับในท้ายที่สุดของมันอยู่ในจุดที่คุ้มไหม
เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทีมผู้สร้าง นักแสดง และตัวซีรีส์ หากจะพูดถึงคุณูปการที่ซีรีส์เรือธงของตึกอโศกเรื่องนี้มีต่อวงการ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็น F4 อีกหนึ่งเวอร์ชั่นที่ทำออกมาได้สมศักดิ์ศรี ไม่น้อยหน้าหลายๆ เวอร์ชั่นของประเทศอื่นเลย ทั้งยังแจ้งเกิดนักแสดงนำในเรื่องได้อย่างยกชุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่อย่าง ตู ตะวัน, ดิว จิรวรรตน์ และ นานิ หิรัญกฤษฎิ์ หรือกระทั่งไบร์ทและวินเองที่ถูกต่อยอดความนิยมยิ่งขึ้นไปอีกจนกลายเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตาไม่เฉพาะแค่ในไทย แต่เป็นระดับเอเชีย แม้ภาพรวมหลายอย่างของซีรีส์จะดูประดักประเดิดไปหน่อยเมื่อมาอยู่ในบริบทแบบไทยๆ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่งในแง่การเป็นที่พูดถึงในปีนั้น ไม่ได้ย่ำแย่ระดับเก็บเสื่อกลับบ้านอย่างที่หลายคนสบประมาท แต่ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่ามันคือที่สุดอย่างที่ควรจะเป็น หรือในอีกนัยก็ต้องบอกว่ามันอาจมีกระแสไปไกลกว่านี้ก็ได้ถ้าไม่โดนอคติหรือโดนตั้งธงต่อต้านในบางประเด็นมาตั้งแต่เริ่ม
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในท้ายที่สุดผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ GMMTV อย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะผลตอบรับที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือการจัด Fan Meeting ทั่วทั้ง South East Asia รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงและได้หวัน ทั้งหมดเกือบ 10 ประเทศ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ากระแสด้านลบไม่ได้มีผลใดๆ ต่อความนิยมที่แฟนๆ มีให้กับซีรีส์เลย
Status Rising Star
หลังจากโปรเจกต์ F4 Thailand จบลง คำว่า ‘ซุปเปอร์สตาร์ดาวรุ่ง’ ก็ดูจะเป็นคำเรียกที่ไม่เกินจริงเท่าไรนักในการบรรยายถึงสถานะของไบร์ท วชิรวิชญ์ เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่แบรนด์และคนในวงการอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ล้วนแต่มีมูลค่ามหาศาล ด้วยผู้ติดตามบนอินสตาแกรมหลักสิบล้านบัญชี (ปัจจุบันอยู่ที่ 18.7 ล้าน) และอีกกว่า 5 ล้านผู้ติดตามบนทวิตเตอร์ (X) ขึ้นแท่นนักแสดงชายไทยที่มีผู้ติดตามมากที่สุด ณ ขณะนี้
หนึ่งในจุดพีคที่สุดที่ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเจ้าตัวให้ฉายชัดมากที่สุด คือการได้รับการแต่งตั้งเป็น Brand Ambassador ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของแบรนด์หรูจากประเทศอังกฤษอย่าง Burberry ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นนักแสดงชายไทยคนแรกสำหรับแบรนด์นี้แล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในนักแสดงวายสองคนแรกที่มีตำแหน่ง BA/GBA ห้อยท้าย (อีกหนึ่งคือวิน เมธวินกับแบรนด์ Prada) ที่ภายหลังแพทเทิ่นการเป็น BA/GBA ให้กับแบรนด์หรูนี้จะเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายให้กับนักแสดงวายคนอื่นๆ ในเวลาต่อมา
อีกหนึ่งผลงานไฮไลท์ที่เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน คือการได้ร่วมงานกับอีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกอย่าง Calvin Klein ที่เจ้าตัวได้มีโอกาสถอดเสื้ออวดหุ่นหล่อบนป้ายโชว์ตามร้านสาขาต่างๆ ของ Calvin Klein ทั่วเอเชีย ยังไม่นับรวมถึงการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่าถ้าเดินไปตามท้องถนนหรือเปิดทีวีซักช่อง อย่างน้อยต้องได้เห็นหน้าของไบร์ท วชิรวิชญ์ปรากฏตามสินค้าหรือโฆษณาซักชิ้น
ด้านการแสดง เจ้าตัวมีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือต่างๆ โดยเฉพาะนักแสดงหญิงแถวหน้าของวงการ ไม่ว่าจะเป็น ใหม่ ดาวิกา (คืนนับดาว), ต้าเหนิง กัญญาวีร์ (Good Old Days ร้านซื้อขายความทรงจำ), เบลล่า ราณี (ลุ้นรักป่วน ก๊วนแฟนเก่า ของ Prime Video) และ ญาญ่า อุรัสยา (เธอฟอร์แคช สินเชื่อรักแลกเงินที่กำลังจะเข้าโรงฯ ให้ชมกันสิ้นเดือนนี้) ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงหญิงระดับแนวหน้าที่แทบไม่มีใครไม่รู้จัก การได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับ A List เหล่านี้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าไบร์ทนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ One Hit Wonder ที่มีดีแค่งานถ่ายแบบหรืออาศัยเพียงแค่ลูกฟลุ๊คจากซีรีส์เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น แต่ความสามารถของเขาหลากหลายเป็นที่ยอมรับและยังไปต่อได้อีกในวงการบันเทิง
Japan Conqueror
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพูดถึงดาราและนักแสดงไทยในปัจจุบันที่จะได้รับความนิยม มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แค่เฉพาะที่ไทยแต่รวมไปถึงต่างประเทศ โดยเฉพาะดาราที่แจ้งเกิดจากซีรีส์วายด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องบอกว่าแทบจะเป็นเรื่องสามัญไปแล้วด้วยซ้ำ โดยหนึ่งในตลาดหลักที่ใครหลายคนใฝ่ฝันมากที่สุดว่าจะต้องโกอินเตอร์เข้าไปให้ได้นั่นคือ จีน ประเทศที่เต็มไปด้วยประชากรผู้บริโภคที่พร้อมทุ่มเทเปย์ให้อย่างหนักหากมีผลงานเป็นที่เข้าตาหรือได้ลองเป็นที่รักของคนในบ้านเขาเข้าซักครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นที่ต้อนรับที่จีน ยิ่งถ้าคุณเป็นบุคคลที่มีประเด็นกับ “ชาติจีน” แล้วล่ะก็ ความหวังที่จะเดินไปโกยเงินหยวนกลับมาง่ายๆ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อพูดถึงจุดนี้ หลายคนที่ติดตามข่าวในรอบ 4-5 ปี คงจะพอทราบดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน 2020 และคงพอทราบว่าชื่อของ ไบร์ท วชิรวิชญ์เกี่ยวข้องด้วยอย่างไรกับเหตุการณ์ดังกล่าว ที่แน่ๆ โอกาสเข้าไปทำเงินในจีนสำหรับไบร์ทนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยจนถึงตอนนี้ ดูเผินๆ นี่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางโอกาสการทำงานในต่างประเทศของเจ้าตัว ทว่า การไม่ถูกเวลคัมที่จีนแผ่นดินใหญ่ กลับทำให้เขาได้หนึ่งในตลาดสำคัญที่แทบจะไม่มีใครเจาะเข้าไปได้มาแทน นั่นคือ
“ญี่ปุ่น”
เป็นที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมบันเทิงภายในเข้มแข็งและใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แทบไม่ต้องพึ่งพาหรือนำเข้าวัฒนธรรม pop culture จากประเทศอื่นเลย ตรงกันข้ามเป็นประเทศอื่นต่างหากที่ล้วนอยากเข้าไปเป็น “หนึ่งใน” pop culture ให้คนในญี่ปุ่นได้เลือก ทว่าในทางปฏิบัติก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเองเปิดรับความเป็นชาติอื่นน้อยมาก
หากถามว่าแล้วทำไมอยู่ๆ ชื่อของไบร์ท วชิรวิชญ์ (และวินเมธวิน) ถึงได้ทะลุไปนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเกาะญี่ปุ่น กลายเป็นคู่นักแสดงไทยแห่งยุคที่ทะลายกำแพงปราบเซียนนี้ได้ คงต้องย้อนไปถึงสมัยที่ผลงานดังอย่างเพราะเราคู่กันออกอากาศ ที่ทำให้คนญี่ปุ่นติดซีรีส์เรื่องนี้กันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ส่งผลให้กระแส “ซีรีส์และนักแสดงไทย” เป็นที่จุดติดในแดนอาทิตย์อุทัยไม่ต่างจากเมื่อครั้งกระแส K-POP เข้ามาบุกตลาดบ้านเรา ไม่เพียงแต่ตัวซีรีส์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนญี่ปุ่น แต่ยังทำให้ชื่อของไบร์ท วชิรวิชญ์และวิน เมธวินกลายเป็นชื่อของดาราไทยที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักมากที่สุดในขณะนั้น
สำหรับไบร์ท ความนิยมของคนญี่ปุ่นที่มีต่อเจ้าตัวไม่ได้หยุดอยู่แค่เมื่อซีรีส์เพราะเราคู่กันจบลง แต่ยังส่งผลให้ทุกผลงานที่เกี่ยวกับไบร์ทที่ตามออกมาหลังจากนั้นได้รับกระแสตอบรับที่ดีไม่ต่าง ส่งให้เขาเป็นหนึ่งในบุคคลมาแรงที่น่าจับตาในญี่ปุ่น ทั้งยังสร้างโอกาสให้เจ้าตัวได้ร่วมงานกับสื่อดังหรือแบรนด์จากญี่ปุ่นมากมาย โดยแบรนด์ดังอย่าง Calvin Klein สาขาญี่ปุ่นก็ดูจะชื่นชอบเจ้าตัวมากเป็นพิเศษเช่นกัน ดังนั้นหากจะบอกว่าญี่ปุ่นเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของไบร์ทก็คงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด
และจากความสำเร็จในครั้งนี้เองทำให้ต้นสังกัดของเจ้าตัว ณ ขณะนั้นอย่าง GMMTV มองเห็นถึงโอกาสที่จะทำเงินต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่นต่อ ส่งผลให้เกิดการส่งออกซีรีส์และนักแสดงเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นตามมาหลังจากนั้น ยังไม่รวมถึงบรรดาแฟนมี๊ตติ้งของนักแสดง GMMTV ที่แทบจะจัดที่ญี่ปุ่นกันแบบเดือนเว้นเดือนกันเลยทีเดียว
(มีต่อด้านล่าง)
ไบร์ท วชิรวิชญ์: ผลงานและการเดินทางตลอด 4 ปีที่ผ่านมาในวงการบันเทิง
A Long Journey of Bright Vachiravit
หลังจบซีรีส์เพราะเราคู่กัน ชื่อเสียงของไบร์ท วชิรวิชญ์ก็ได้ลอยลำทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในบรรดานักแสดงดาวรุ่งฝ่ายชายแห่งยุคอย่างไม่มีข้อกังขา (เคียงคู่มาด้วยกันกับเวิร์คพาร์ทเนอร์อย่าง วิน เมธวิน) หลายคนเริ่มจับตาว่าทิศทางในวงการบันเทิงของไบร์ทว่าจะมุ่งไปในทิศทางใด จะมีซีรีส์วายเรื่องใหม่ต่อเลยเพื่อรักษากระแสคู่จิ้น หรือจะมุ่งสู่สายการแสดงชายหญิงตามขนบเดิมที่นักแสดงวายส่วนใหญ่ทำ --- แน่นอนว่าเป็นอย่างหลัง --- แต่ไม่ว่าจะมาจากการตัดสินใจของค่ายหรือจะมาจากเจ้าตัวเองก็ตาม การต่อยอดจากนักแสดงที่มีชื่อเสียงจากการเล่นวายไปสู่การแสดงซีรีส์หรือละครชายหญิงก็ดูจะยังเป็น career path ที่ได้รับความนิยมจากเหล่านักแสดงซีรีส์วายจากยุคสู่ยุคมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายเท่าไรนักกับการเลือกทางนี้ แม้จะมีเสียงบ่นจากแฟนคลับบางส่วนที่ยังอยากดูเคมีการแสดงระหว่างไบร์ทและวินในซีรีส์วายเรื่องใหม่ก็ตาม
Unpopular Opinion: แม้ค่ายจะตัดสินใจแยกขายทั้งไบร์ทและวินไปในสายเมนสตรีมทั้งๆ ที่กระแสคู่จิ้นยังคงมาแรงอยู่ แต่ดูเหมือนลึกๆ ค่ายเองก็ยังสองจิตสองใจอยากที่จะเลี้ยงกระแสแฟนคลับคู่จิ้นของทั้งสองไว้เช่นกัน เห็นได้จากผลงานเรื่องถัดๆ ไปของทั้งสองคนที่จะยังไม่หนีไปจากกันเท่าไรนัก ถึงแม้จะไม่ได้เล่นเป็นคู่กันแต่ก็จะมี Element บางอย่างที่ให้ทั้งคู่ยังคงทำงานวนเวียนอยู่ด้วยกันเสมอ อาทิ การอยู่ในซีรีส์ F4 ในฐานะนักแสดงนำของทั้งสอง, การอยู่ใน Project Good Old Days แม้จะแยกกันคนละตอน หรือกระทั่งในซีรีส์ Enigma ของวินก็ยังมีไบร์ทมาเป็นตัวละครลับเรียกเสียงฮือฮาให้กับแฟนคลับในตอนท้ายเรื่อง ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจแต่อย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเหมือนความเอาใจใส่เล็กๆ ที่มีต่อแฟนคลับของทั้งสองให้ยังรู้สึกว่าทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกัน ไม่ได้แยกไปไหน
F4 Thailand: Better or Worse?
โปรเจกต์สุดทะเยอทะยานชิ้นโบว์แดงของค่ายอโศกที่คับคั่งไปด้วยสุดยอดนักแสดงดาวรุ่งแห่งยุค ลำพังแค่ชื่อซีรีส์กับรายชื่อนักแสดงก็การันตีได้แน่ๆ ว่ายังไงก็ต้องดัง อยู่ที่ว่าจะดังขนาดไหน ทว่าในความเป็นจริงกระแสของซีรีส์เรื่องนี้กลับแตกออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ฝั่งที่ชอบให้เหตุผลว่าเป็นผลงานท้าทายที่น่าติตดาม เป็นซีรีส์ขึ้นหิ้งระดับตำนานที่เหมาะสมกับนักแสดงนำอย่างไบร์ท วชิรวิชญ์ ขณะที่ชาวต่างชาติบางส่วนที่เป็นแฟนซีรีส์ F4 ในหลายเวอร์ชั่นก่อนหน้าต่างก็รอชมว่า F4 ฉบับเมืองไทยจะออกมาเป็นอย่างไร ในฝั่งของคนที่ไม่ชอบจะวิจารณ์ถึงบทซีรีส์ที่แต่เดิมก็เก่าหลายสิบปี และบางบริบทก็ล้าหลังเกินเมื่ออยู่ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการ Romanticize ความรุนแรงหรืออุปนิสัยของตัวเอกที่ไม่น่ารัก ด้วยกระแสทั้งสองฝั่งที่มากพอๆ กันนับตั้งแต่วันแรกที่ประกาศแคสต์จนถึงวันที่ซีรีส์ฉายยาวไปจนถึงตอนจบ ปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงและถูกพูดถึงอยู่เป็นเนืองๆ ว่า ซีรีส์เรื่งนี้สมควรแล้วหรือไม่ที่สร้างออกมา และผลตอบรับในท้ายที่สุดของมันอยู่ในจุดที่คุ้มไหม
เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทีมผู้สร้าง นักแสดง และตัวซีรีส์ หากจะพูดถึงคุณูปการที่ซีรีส์เรือธงของตึกอโศกเรื่องนี้มีต่อวงการ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็น F4 อีกหนึ่งเวอร์ชั่นที่ทำออกมาได้สมศักดิ์ศรี ไม่น้อยหน้าหลายๆ เวอร์ชั่นของประเทศอื่นเลย ทั้งยังแจ้งเกิดนักแสดงนำในเรื่องได้อย่างยกชุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าใหม่อย่าง ตู ตะวัน, ดิว จิรวรรตน์ และ นานิ หิรัญกฤษฎิ์ หรือกระทั่งไบร์ทและวินเองที่ถูกต่อยอดความนิยมยิ่งขึ้นไปอีกจนกลายเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตาไม่เฉพาะแค่ในไทย แต่เป็นระดับเอเชีย แม้ภาพรวมหลายอย่างของซีรีส์จะดูประดักประเดิดไปหน่อยเมื่อมาอยู่ในบริบทแบบไทยๆ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่งในแง่การเป็นที่พูดถึงในปีนั้น ไม่ได้ย่ำแย่ระดับเก็บเสื่อกลับบ้านอย่างที่หลายคนสบประมาท แต่ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่ามันคือที่สุดอย่างที่ควรจะเป็น หรือในอีกนัยก็ต้องบอกว่ามันอาจมีกระแสไปไกลกว่านี้ก็ได้ถ้าไม่โดนอคติหรือโดนตั้งธงต่อต้านในบางประเด็นมาตั้งแต่เริ่ม
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในท้ายที่สุดผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ GMMTV อย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะผลตอบรับที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือการจัด Fan Meeting ทั่วทั้ง South East Asia รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงและได้หวัน ทั้งหมดเกือบ 10 ประเทศ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ากระแสด้านลบไม่ได้มีผลใดๆ ต่อความนิยมที่แฟนๆ มีให้กับซีรีส์เลย
Status Rising Star
หลังจากโปรเจกต์ F4 Thailand จบลง คำว่า ‘ซุปเปอร์สตาร์ดาวรุ่ง’ ก็ดูจะเป็นคำเรียกที่ไม่เกินจริงเท่าไรนักในการบรรยายถึงสถานะของไบร์ท วชิรวิชญ์ เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่แบรนด์และคนในวงการอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ล้วนแต่มีมูลค่ามหาศาล ด้วยผู้ติดตามบนอินสตาแกรมหลักสิบล้านบัญชี (ปัจจุบันอยู่ที่ 18.7 ล้าน) และอีกกว่า 5 ล้านผู้ติดตามบนทวิตเตอร์ (X) ขึ้นแท่นนักแสดงชายไทยที่มีผู้ติดตามมากที่สุด ณ ขณะนี้
หนึ่งในจุดพีคที่สุดที่ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเจ้าตัวให้ฉายชัดมากที่สุด คือการได้รับการแต่งตั้งเป็น Brand Ambassador ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของแบรนด์หรูจากประเทศอังกฤษอย่าง Burberry ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นนักแสดงชายไทยคนแรกสำหรับแบรนด์นี้แล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในนักแสดงวายสองคนแรกที่มีตำแหน่ง BA/GBA ห้อยท้าย (อีกหนึ่งคือวิน เมธวินกับแบรนด์ Prada) ที่ภายหลังแพทเทิ่นการเป็น BA/GBA ให้กับแบรนด์หรูนี้จะเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายให้กับนักแสดงวายคนอื่นๆ ในเวลาต่อมา
อีกหนึ่งผลงานไฮไลท์ที่เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน คือการได้ร่วมงานกับอีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกอย่าง Calvin Klein ที่เจ้าตัวได้มีโอกาสถอดเสื้ออวดหุ่นหล่อบนป้ายโชว์ตามร้านสาขาต่างๆ ของ Calvin Klein ทั่วเอเชีย ยังไม่นับรวมถึงการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ทั้งในไทยและต่างประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่าถ้าเดินไปตามท้องถนนหรือเปิดทีวีซักช่อง อย่างน้อยต้องได้เห็นหน้าของไบร์ท วชิรวิชญ์ปรากฏตามสินค้าหรือโฆษณาซักชิ้น
ด้านการแสดง เจ้าตัวมีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือต่างๆ โดยเฉพาะนักแสดงหญิงแถวหน้าของวงการ ไม่ว่าจะเป็น ใหม่ ดาวิกา (คืนนับดาว), ต้าเหนิง กัญญาวีร์ (Good Old Days ร้านซื้อขายความทรงจำ), เบลล่า ราณี (ลุ้นรักป่วน ก๊วนแฟนเก่า ของ Prime Video) และ ญาญ่า อุรัสยา (เธอฟอร์แคช สินเชื่อรักแลกเงินที่กำลังจะเข้าโรงฯ ให้ชมกันสิ้นเดือนนี้) ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงหญิงระดับแนวหน้าที่แทบไม่มีใครไม่รู้จัก การได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับ A List เหล่านี้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าไบร์ทนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ One Hit Wonder ที่มีดีแค่งานถ่ายแบบหรืออาศัยเพียงแค่ลูกฟลุ๊คจากซีรีส์เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น แต่ความสามารถของเขาหลากหลายเป็นที่ยอมรับและยังไปต่อได้อีกในวงการบันเทิง
Japan Conqueror
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพูดถึงดาราและนักแสดงไทยในปัจจุบันที่จะได้รับความนิยม มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แค่เฉพาะที่ไทยแต่รวมไปถึงต่างประเทศ โดยเฉพาะดาราที่แจ้งเกิดจากซีรีส์วายด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องบอกว่าแทบจะเป็นเรื่องสามัญไปแล้วด้วยซ้ำ โดยหนึ่งในตลาดหลักที่ใครหลายคนใฝ่ฝันมากที่สุดว่าจะต้องโกอินเตอร์เข้าไปให้ได้นั่นคือ จีน ประเทศที่เต็มไปด้วยประชากรผู้บริโภคที่พร้อมทุ่มเทเปย์ให้อย่างหนักหากมีผลงานเป็นที่เข้าตาหรือได้ลองเป็นที่รักของคนในบ้านเขาเข้าซักครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นที่ต้อนรับที่จีน ยิ่งถ้าคุณเป็นบุคคลที่มีประเด็นกับ “ชาติจีน” แล้วล่ะก็ ความหวังที่จะเดินไปโกยเงินหยวนกลับมาง่ายๆ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อพูดถึงจุดนี้ หลายคนที่ติดตามข่าวในรอบ 4-5 ปี คงจะพอทราบดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน 2020 และคงพอทราบว่าชื่อของ ไบร์ท วชิรวิชญ์เกี่ยวข้องด้วยอย่างไรกับเหตุการณ์ดังกล่าว ที่แน่ๆ โอกาสเข้าไปทำเงินในจีนสำหรับไบร์ทนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยจนถึงตอนนี้ ดูเผินๆ นี่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางโอกาสการทำงานในต่างประเทศของเจ้าตัว ทว่า การไม่ถูกเวลคัมที่จีนแผ่นดินใหญ่ กลับทำให้เขาได้หนึ่งในตลาดสำคัญที่แทบจะไม่มีใครเจาะเข้าไปได้มาแทน นั่นคือ “ญี่ปุ่น”
เป็นที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมบันเทิงภายในเข้มแข็งและใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แทบไม่ต้องพึ่งพาหรือนำเข้าวัฒนธรรม pop culture จากประเทศอื่นเลย ตรงกันข้ามเป็นประเทศอื่นต่างหากที่ล้วนอยากเข้าไปเป็น “หนึ่งใน” pop culture ให้คนในญี่ปุ่นได้เลือก ทว่าในทางปฏิบัติก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเองเปิดรับความเป็นชาติอื่นน้อยมาก
หากถามว่าแล้วทำไมอยู่ๆ ชื่อของไบร์ท วชิรวิชญ์ (และวินเมธวิน) ถึงได้ทะลุไปนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเกาะญี่ปุ่น กลายเป็นคู่นักแสดงไทยแห่งยุคที่ทะลายกำแพงปราบเซียนนี้ได้ คงต้องย้อนไปถึงสมัยที่ผลงานดังอย่างเพราะเราคู่กันออกอากาศ ที่ทำให้คนญี่ปุ่นติดซีรีส์เรื่องนี้กันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ส่งผลให้กระแส “ซีรีส์และนักแสดงไทย” เป็นที่จุดติดในแดนอาทิตย์อุทัยไม่ต่างจากเมื่อครั้งกระแส K-POP เข้ามาบุกตลาดบ้านเรา ไม่เพียงแต่ตัวซีรีส์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนญี่ปุ่น แต่ยังทำให้ชื่อของไบร์ท วชิรวิชญ์และวิน เมธวินกลายเป็นชื่อของดาราไทยที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักมากที่สุดในขณะนั้น
สำหรับไบร์ท ความนิยมของคนญี่ปุ่นที่มีต่อเจ้าตัวไม่ได้หยุดอยู่แค่เมื่อซีรีส์เพราะเราคู่กันจบลง แต่ยังส่งผลให้ทุกผลงานที่เกี่ยวกับไบร์ทที่ตามออกมาหลังจากนั้นได้รับกระแสตอบรับที่ดีไม่ต่าง ส่งให้เขาเป็นหนึ่งในบุคคลมาแรงที่น่าจับตาในญี่ปุ่น ทั้งยังสร้างโอกาสให้เจ้าตัวได้ร่วมงานกับสื่อดังหรือแบรนด์จากญี่ปุ่นมากมาย โดยแบรนด์ดังอย่าง Calvin Klein สาขาญี่ปุ่นก็ดูจะชื่นชอบเจ้าตัวมากเป็นพิเศษเช่นกัน ดังนั้นหากจะบอกว่าญี่ปุ่นเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของไบร์ทก็คงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด
และจากความสำเร็จในครั้งนี้เองทำให้ต้นสังกัดของเจ้าตัว ณ ขณะนั้นอย่าง GMMTV มองเห็นถึงโอกาสที่จะทำเงินต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่นต่อ ส่งผลให้เกิดการส่งออกซีรีส์และนักแสดงเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นตามมาหลังจากนั้น ยังไม่รวมถึงบรรดาแฟนมี๊ตติ้งของนักแสดง GMMTV ที่แทบจะจัดที่ญี่ปุ่นกันแบบเดือนเว้นเดือนกันเลยทีเดียว
(มีต่อด้านล่าง)