ทำไมคนไทยถึงปล่อยให้พ่อแม่เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตตนเองมากครับ

ผมได้อ่านไม่รู้กี่สิบร้อยกระทู้เรื่องแม่ผัวกับลูกสะใภ้ไม่ถูกกัน       ลูกตามใจพ่อกับแม่        หลังแต่งงานแล้วพ่อกับแม่บังคับให้ทำอย่างอย่างนั้นอย่างนี้        จะซื้อรถซื้อบ้านต้องขออนุญาตพ่อแม่      จะไปเที่ยวก็ต้องขอพ่อแม่  ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาตก็ไม่ได้ไป  ทั้งที่ตนก็มีครอบครัวมีลูกแล้ว  ทำไมถึงเชื่องอะไรขนาดนั้น(ขออนุญาตใช้คำว่าเชื่องนะครับ)  พ่อแม่พูดอะไรก็ฟังและทำตามหมดจนไม่เป็นตัวของตัวเอง อึดอัดทั้งผัวเมียลูก    บางคนพ่อแม่บอกไม่ต้องทำงาน อยู่บ้านเฉย ๆ ให้แฟน(ญ)ทำคนเดียวพอ     ปู่ย่าบางคนจะเอาหลานไปเลี้ยงบ้างทั้งที่พ่อลูกไม่ยอม  ปัญหานับล้านโดยเฉพาะสามีภรรยาคู่ไหนที่อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่  หรือคนละหลังแต่บ้านใกล้กันก็ยังมิวายที่จะมายุ่มย่ามชีวิตผัวเมียของลูกอีก

บางคนจะเรียนไหนสาขาอะไรต้องให้พ่อแม่มากำหนดให้ทุกอย่าง  
  ผมอ่านแล้วน่าตกใจ  ทำไมพวกคุณไม่หัดดื้อบ้าง  ใจแข็งบ้าง  เด็ดขาดบ้าง ร่วมใจกัยทำอารยขัดขืนใส่พ่อแม่บ้าง  ทำไมไม่ทำกัน
ทำไมคนไทยกลุ่มนี้ถึงปล่อยให้พ่อแม่มาทวงบุญคุญ มามีอิทธิพลกับชีวิตได้ขนาดนี้

ส่วนตัวผมนะบ้านไม่ได้รวยหรอก  ผมจะเรียนอะไร สอบเข้าที่ไหน  จะดาวน์รถอะไร ผ่อนเท่าไหร่ พ่อแม่ไม่เคยว่าเลย  ทางบ้านก็ไม่เคยขอเงินด้วย  ขอแค่ให้ผมดูแลตนเองได้ก็พอแล้ว  ไม่เคยมายุ่มย่ามกับชีวิตผมเลย  อยากไปเที่ยวไหน ทำอะไร ก็ทำไป พ่อแม่ไม่เคยว่า ขอแค่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ  ตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันพ่อแม่ผมก็ไม่เคยถูกเรียกให้ไปไกล่เกลี่ยคดีความ หรือไปพบครูฝ่ายปกครองด้วย  
บางอย่างผมทำไปแล้วค่อยบอกพ่อแม่ทีหลังก็มี เช่น ผมเคยดาวน์รถมาผ่อนเอง  พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  บอกแค่ว่าถ้าผ่อนไหวก็ผ่อนไป

เรื่องย้ายงานก็เช่นกัน  ผมย้ายเรียบร้อยค่อยมาบอกพ่อแม่  พ่อแม่ก็ไม่เห็นว่าอะไรเลย
ไปเที่ยวนั่นนี่กลับมาเอาขนมมาฝากนิดหน่อยพ่อแม่ก็ไม่เห็นว่าอะไร   สรุปพ่อแม่ไม่เคยมายุ่งเรื่องส่วนตัวเลยเพราะโตแล้ว

มีใครอิสระเหมือนผมบ้างไหม  ถ้าไม่อิสระ  ทำไมพวกคุณถึงเอาชีวิตไปผูกกับพ่อแม่ขนาดนั้น
ผมไม่ค่อยเข้าใจในวัฒนธรรมบางอย่าง  ถ้ามันล้าหลังก็ควรปรับเปลี่ยนให้มันเข้ากับยุคสมัยใหม่ได้แล้ว  ขนาดผมเกิดในชนบท ที่บ้านมีอาชีพทำสวน แทนที่พ่อแม่จะมีความคิดโบราณ แต่ไม่เลย  กลับตรงกันข้ามกับคนรวยหรือชนชั้นกลางในเมืองซะด้วยซ้ำ   น่าแปลกใจ

คนที่อ่านกระทู้นี้แล้วลองมาแบ่งปันการใช้ชีวิตของพวกคุณหน่อยครับ  คนที่อิสระ  ทำไมถึงอิสระ   คนที่ปล่อยให้พ่อแม่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตตลอด   ชีวิตคุณมีความสุขไหม  และคิดว่าเมื่อไหร่จึงจะหลุดพ้นหรือได้อิสระจากพ่อแม่เสียที  

แท็กต่างแดนอยากรู้ว่าคนไทยต่างแดนต่างจากคนไทยในไทยที่ถูกพ่อแม่ครอบงำไหม

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ความรู้สึกกตัญญู มันดำรงอยู่ในจิตวิญญาณบูรพา
❤️❤️
...

อาจารย์คริส และอาจารย์ซูซาน .. 2 สามีภรรยา และเพื่อน ๆ เคยมาเที่ยวสวนเมื่อก่อนเกิดโรคระบาดโควิด

โดยปกติอาจารย์ทั้ง 2 คน จะมาประเทศไทยทุกปี .. แต่ด้วยสุขภาพที่ไม่อำนวย จึงไม่สามารถเดินทางไกลได้

อ.คริส และซูซาน .. พักอาศัยอยู่ที่เกาะแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา  มีลูก 5 คน

เป็นลูกเชื้อชาติเวียดนาม 2 / ลูกเชื้อชาติไทย 2 และลูกเชื้อชาติเกาหลีใต้ 1

ทั้งหมดเป็นลูกบุญธรรม ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่การขอที่ประเทศต้นทาง จนถึงปลายทางกฎหมายของแคนาดา

อ.ทั้งสอง ไม่มีลูกของตนเอง .. เมื่อเดินทางไปเวียดนาม พบเด็กกำพร้าอายุ 5-7 ขวบ  จึงอยากจะขอนำไปเลี้ยง

ติดต่อเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ .. เจ้าหน้าที่บอกว่า เด็กคนที่อาจารย์ขอเลี้ยง เธอมีพี่น้องอีก 1 คน ..

อาจารย์จะไม่แยกพี่น้องออกจากกัน จึงรับทั้งคู่ไว้
....

ต่อมาเมื่อเดินทางมาประเทศไทย
    พบเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์สงขลา อายุ 5-6 ขวบ จึงอยากขอมาเลี้ยง .. เจ้าหน้าที่บอกว่า เขามีน้องชายที่ถูกทิ้งไว้ ..

อาจารย์ไม่อยากแยกความเป็นพี่น้อง จึงรับไว้ทั้งคู่เช่นกัน

เมื่อเดินทางไปเกาหลีใต้ ระหว่างท่าเรือแห่งหนึ่ง พบเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ 5-6 ขวบ แอบอยู่มุมหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้ ..
    อาจารย์เกิดความสงสาร เมื่อรู้ว่าถูกผู้ปกครองนำมาทิ้ง จึงตัดสินใจอุปการะ

การอุปการะ เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย คือแจ้งขอกับเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้น ๆ .. แล้วนำเอกสารไปรับรองกับประเทศของตนเอง

เด็ก 5 คน .  จากบูรพาทิศ .. สู่เกาะแวนคูเวอร์ ..

30-40 ปีผ่านไป
   อาจารย์ส่งเด็ก ๆ ทั้งหมดเรียนสำเร็จเท่าที่ความสามารถจะเรียนได้  และเติบโตทำงานอย่างมั่งคง .

🚩 อาจารย์คริส จะเล่าประวัติของลูก ๆ แต่ละคนให้ฟัง ให้เขาและเธอรู้ว่า เป็นคนชาติไหน มาจากที่ไหน โดยไม่ปิดบัง

ทั้ง 5 คน จำภาษาแผ่นดินแม่ไม่ได้ .. เรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความคิด แบบตะวันตกทั้งหมด

จนเมื่อปีที่ผ่านมานี้ .  อ. ซูซาน ภรรยาของ อ.คริส ป่วย  /  แม่ ป่วย .. อยู่กับ พ่อ สองคน

ส่วนลูก ๆ ใช้ชีวิตข้างนอก มีบ้านมีครอบครัวของตนเอง ตามวิถีแบบฝรั่ง

แต่ใครจะไปคิด ..

ลูก ๆ ทั้งหมด 5 คน .. คุยกันและตัดสินใจกัน พากันกลับมาบ้านพ่อ

โดยยอมย้ายงาน ยอมปล่อยบ้านที่อยู่อีกเมืองหนึ่งให้คนเช่า เพื่อกลับมาดูแลพ่อแม่

⭐️ อ.คริส  ผู้เป็นพ่อ (บุญธรรม) เล่าว่า เป็นความโชคดีของเขาและภรรยา เหมือนฝันที่ลูก ๆ มีความกตัญญู เช่นนี้

โดยปกติ การดูแลพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า ในความรู้สึกของฝรั่งจะไม่ลึกซึ้งจริงจังเช่นชาวเอเซีย
   คนแก่เฒ่าฝรั่งส่วนใหญ่จะอยู่เพียงลำพัง รัฐมีสวัสดิการดูแล

ลูก ๆ ฝรั่งแยกบ้านแยกครอบครัวออกไป ใช้เพียงโทรศัพท์ส่งความห่วงใยโทรหา  
- นาน ๆ ในเทศกาลสำคัญ ๆ เช่น คริสต์มาส ถึงมาพบปะร่วมโต๊ะอาหาร

แต่ลูกทั้ง 5 คน .. กลับทยอยกันกลับมา เพื่อดูแลชีวิตประจำวันพ่อแม่ ดูแลบ้าน นั่งพูดคุยเฝ้า ตั้งแต่เช้าจนถึงเข้านอน

ทั้งหมด พวกเขาพวกเธอ ตกลงกันเอง แบ่งหน้าที่กันเองอย่างเต็มใจ

ลูกคนหนึ่งพูดว่า ..
ถ้าเธอไม่มีพ่อและแม่ ก็ไม่มีหนูในวันนี้  - พ่อแม่ทั้งคู่ไม่ได้ให้กำเนิดหนู แต่ให้ชีวิตใหม่กับหนู ให้การศึกษา ให้โอกาส และให้อิสระในการเลือกและการคิด

พวกเธอพวกเขา ไม่รู้หรอกว่า ?  คำว่ากตัญญูในศัพท์วิชาการ ในภาษาฝรั่ง มันมีความหมายอย่างไร ?

❤️ แต่มันผุดขึ้นมาในความรู้สึกของพวกเขา .. อธิบายออกไปคนนอกก็ยากจะเข้าใจ

อ.คริส และอ.ซูซาน บอกว่า > ตัวเขาและภรรยาโชคดี ..
เพราะการเลี้ยงลูกที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง นับเป็นความเสี่ยง อย่างหนึ่ง !
...

ผมฟังแล้วผมตื้นตัน อยากบอกอาจารย์ทั้งสอง ว่า ไม่ใช่ความโชคดีครับ  แต่เป็นบุญในวาสนาของอาจารย์ .

คำว่าบุญและวาสนา อธิบายเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูก

แต่ "ความกตัญญู" ที่ลูกทั้ง 5 คน .. (อันเป็นคนเชื้อสายเวียดนาม 2  คนเชื้อสายไทย 2 และคนเชื้อสายเกาหลี 1) .. มันคือจิตวิญญาณแห่งชาวบูรพา

มาตรแม้นแต่ละคน ขาดหายจากแผ่นดินแม่ ไม่เคยได้กลับมา จนพูดภาษาแผ่นดินตนไม่ได้เลย

แต่การกตัญญู มันเป็นวิญญาณของชาวบูรพา

มันปรากฎขึ้นมาเองอย่างอัศจรรย์ ที่มิอาจลบล้างให้หายไปได้
...

✍️✍️✍️
ความคิดเห็นที่ 9
คนที่ไม่มีปัญหาคงไม่มาตั้งกระทู้กระมังครับ
ผมเชื่อว่า พ่อแม่ทุกชาติภาษาไม่ได้ฉลาดในการเลี้ยงดูลูกไปหมดทุกคนหรอก
แต่คงไม่ถึงกับประกาศได้ว่า คนไทยจะมีครอบครัวเช่นนั้นเสมอไป

สำหรับผมผมว่า วัฒนธรรมที่มีการให้เกียรติและดูแลผู้สูงอายุ เป็นวัฒนธรรมที่งดงามครับ
ความคิดเห็นที่ 2
ผมมองว่ามันเป็นเหมือนประเพณีไปแล้วอ่ะครับ เพราะคนโซนเอเชียส่วนใหญ่ถูกสอนให้แคร์ความรู้สึกคนรอบข้าง ข้อดีเลยเป็นคนที่ละเอียดอ่อน เอาใจใส่กันและกัน มีน้ำใจ แต่ข้อเสียคือจะไม่มีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ ซึ่งจะตรงข้ามกับโซนตะวันตกครับที่สอนให้มั่นใจในตัวเองมากกว่า (จากข่าว อเมริกาเลยเลือกจะกราดยิงในขณะที่ญี่ปุ่นเลือกจะฆตต)

ประเด็นต่อมาสภาพสังคมประเทศเราต้องยอมรับว่ากว่าจะเรียนจบ ม.6 - ปริญญาตรี พวกเราแทบจะหารายได้ไม่ได้เลย ทำงานพิเศษก็แค่ประทังแต่ทำให้ลืมตาอ้าปากไม่ได้ ดังนั้นต้องยอมรับว่า ถ้าเกิดมาในครอบครัวที่ดี มีต้นทุนสูง ก็จะมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะระหว่างเรียนชีวิตและความเป็นอยู่ก็ฝากไว้ที่พ่อแม่หมดเลย

พอเราเรียนจบแล้ว ก็มีทั้งความผูกพัน ความรู้สึกอยากตอบแทนทดแทนบุญคุณอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง รวมไปถึงเรื่องความเชื่อบุญกรรมต่างๆ จนบางทีทำให้พวกเราลืมไปว่า ขอบเขตเรื่องส่วนตัวของเราคือเรื่องไหนบ้างกันแน่

บางคนอายุ 30 กว่า กำลังจะแต่งงาน พ่อแม่ไม่ชอบอีกฝ่าย บังคับให้ลูกเลิก ลูกก็เชื่อพ่อแม่ทันทีก็มีครับ ของแบบนี้ไม่ใช่เล่นๆนะ จะบอกให้
ความคิดเห็นที่ 3
เพราะการปลูกฝัง  ระบบการปกครอง ของไทย

เด็กไทยเกิดมาก็มีแต่พ่อแม่ดูแลเลี้ยงดูปกป้อง ส่งเสียเลี้ยงดู  

เด็กต่างประเทศเกิดมา   รัฐมีสวัสดิ์การเลี้ยงดูเด็ก  มีเงินช่วยเหลือค่าคลอดลูกสำหรับคุณแม่ มีเงินช่วยเลี้ยงดูบุตร มีสวัสดิ์การ เรียนฟรี
เป็นจากรัฐที่เก็บภาษีจากประชาชน

เด็กต่างประเทศ เกิดมาจากพ่อแม่ก็จริงค่ะ  แต่เติบโตได้ จากทุกคนในสังคม   พ่อแม่เขาถึงไม่สิทธิ์ไปบงการ ชีวิตลูกได้ขนาดนั้นค่ะ


ซึ่งต่างจากสังคมไทย    สังคมไทย รัฐบาลไทยแทบไม่มีส่วนมาช่วยเลี้ยงเด็กเลย
พ่อแม่ เลี้ยงลูกมาด้วยตนเองจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่