เหตุเกิดจากว่า ย่าทวด (แม่ของพ่อ) มีพี่น้อง 3 คน ย่าทวดเป็นคนสุดท้อง
โฉนดที่ตรงนี้ แม่ของทวดโอนให้เป็นชื่อคนกลางคนเดียว แต่สั่งเสียไว้ว่า ให้คนกลางเป็นคนแบ่งให้พี่กับน้อง (ไม่ได้แจ้งเป็นผู้จัดการมรดก)
ต่อมา 3 พี่น้อง ได้คุยกัน ว่า ที่ตรงนี้ 12 ไร่ แบ่งให้พี่น้องคนละเท่าๆกัน ไปแบ่งโซนแล้วเรียบร้อยแต่ไม่ได้โอนโฉนด
พี่คนโต กับ คนกลาง ไปทำการบุกป่า เพื่อปลูกต้นยูคา
ย่าทวดที่เป็นน้องสุดท้อง จึงบอกลูกชาย (พ่อเรา) ให้ไปปลูกต้นยูคาทำกินนะ แบ่งกันแล้ว พ่อก็ไปทำเมื่อปี 2549 ลงทุนไป 60,000.-
ตลอดระยะเวลา 14 ปี 3 พีน้องรับรู้หมด ไม่มีการโต้เถียงหรือมีปัญหาอะไรกับการที่ปลูกยูคาตรงนี้เลย
ผ่านไป 14 ปี (2564) ย่าทวดเราเสีย ย่าคนที่เป็นลูกคนกลาง(เจ้าของโฉนด) ได้ขับไล่เราออกจากที่ดินตรงที่ปลูกยูคาไว้
แกบอกไม่เคยพูดว่าจะแบ่งที่ดินตรงนี้ให้ บอกว่า บ้านเราไปแอบปลูกยูคาไว้โดยที่แกไม่รู้ ทั้งๆที่เราก็ไปปลูกด้วยกันแท้ๆ ต่อไปนี้แกจะเป็นคนขายยูคาเอง แต่คนซื้อไม้เขาก็เอาเงินมาให้บ้านเราเพราะซื้อขายกันมา2รอบแล้ว เขารู้
ย่าคนกลางก็ไม่ยอมแกไปฟ้องลูกแก (ย่าคนนี้เขาอยู่บ้านคนเดียวกับหมา 4-5 ตัว ลูกหลานไม่ได้อยู่ด้วย)
3 ปี ต่อมา (2567 ปัจจุบัน) ทางลูกของย่า จะแจ้งความจับเราเหตุบุกรุกที่ดิน และใส่ร้ายเราต่างๆนาๆ ว่าเราไปก่อกวนเขา เอาไปพูดทั่วหมู่บ้าน ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน
สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ จะแจ้งความบุกรุกเพื่อให้เราออกจากพื้นที่ และจะแจ้งความว่า บ้านไปวางยาฆ่าหมาแก (พรบ.คุ้มครองสัตว์)
สิ่งที่บ้านเราต้องการ คือ เราไม่ได้อยากได้ที่ดินตรงนั้น เพราะถ้าอยากได้จริงแจ้งปรปักตั้งแต่ทำกินครบ 10 ปีแล้ว
แต่จะให้ออกจากที่ดินตรงนั้นก็ต่อเมื่อจ่ายค่าต้นทุนปลูกยูคามา ลงทุนไป 60,000.- พึ่งขายได้ 20.000 .- ถ้าเขาจะให้เราออกก็เอาเงินมา 40,000 แล้วอยากไปขายไปตัดก็เชิญ
เพราะเหมือนย่าคนกลางมาโกหกหลอกล่อให้บ้านเราลงทุนแล้วจะมาชุกมือเปิบไปง่ายๆ ถ้าไม่โอเคทำไมไม่พูดตั้งแต่ตอนไปถางป่าจะปลูกนู้น ทำไมต้องรอให้มันโตก่อน
ส่วนเรื่องวางยาหมา อันนี้บ้านเราจะปรับสินไหม เพราะบ้านเราไม่ได้ทำ และบ้านนั่นก็ไม่มีหลักฐาน แต่กลับเอาไปพูดทั่วหมู่บ้าน
ถ้าเขาไม่ยอมจ่าย ค่าลงทุนปลูกยูคาให้เรา เขาจะแจ้งว่าเราบุกรุกที่ดิน
ส่วนเราคงจะต้องสู้เรื่องแจ้งปรปัก คิดว่าพอจะสู้ได้หรือไม่
มีโอกาสชนะคดีปรปัก หรือไม่
โฉนดที่ตรงนี้ แม่ของทวดโอนให้เป็นชื่อคนกลางคนเดียว แต่สั่งเสียไว้ว่า ให้คนกลางเป็นคนแบ่งให้พี่กับน้อง (ไม่ได้แจ้งเป็นผู้จัดการมรดก)
ต่อมา 3 พี่น้อง ได้คุยกัน ว่า ที่ตรงนี้ 12 ไร่ แบ่งให้พี่น้องคนละเท่าๆกัน ไปแบ่งโซนแล้วเรียบร้อยแต่ไม่ได้โอนโฉนด
พี่คนโต กับ คนกลาง ไปทำการบุกป่า เพื่อปลูกต้นยูคา
ย่าทวดที่เป็นน้องสุดท้อง จึงบอกลูกชาย (พ่อเรา) ให้ไปปลูกต้นยูคาทำกินนะ แบ่งกันแล้ว พ่อก็ไปทำเมื่อปี 2549 ลงทุนไป 60,000.-
ตลอดระยะเวลา 14 ปี 3 พีน้องรับรู้หมด ไม่มีการโต้เถียงหรือมีปัญหาอะไรกับการที่ปลูกยูคาตรงนี้เลย
ผ่านไป 14 ปี (2564) ย่าทวดเราเสีย ย่าคนที่เป็นลูกคนกลาง(เจ้าของโฉนด) ได้ขับไล่เราออกจากที่ดินตรงที่ปลูกยูคาไว้
แกบอกไม่เคยพูดว่าจะแบ่งที่ดินตรงนี้ให้ บอกว่า บ้านเราไปแอบปลูกยูคาไว้โดยที่แกไม่รู้ ทั้งๆที่เราก็ไปปลูกด้วยกันแท้ๆ ต่อไปนี้แกจะเป็นคนขายยูคาเอง แต่คนซื้อไม้เขาก็เอาเงินมาให้บ้านเราเพราะซื้อขายกันมา2รอบแล้ว เขารู้
ย่าคนกลางก็ไม่ยอมแกไปฟ้องลูกแก (ย่าคนนี้เขาอยู่บ้านคนเดียวกับหมา 4-5 ตัว ลูกหลานไม่ได้อยู่ด้วย)
3 ปี ต่อมา (2567 ปัจจุบัน) ทางลูกของย่า จะแจ้งความจับเราเหตุบุกรุกที่ดิน และใส่ร้ายเราต่างๆนาๆ ว่าเราไปก่อกวนเขา เอาไปพูดทั่วหมู่บ้าน ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน
สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ จะแจ้งความบุกรุกเพื่อให้เราออกจากพื้นที่ และจะแจ้งความว่า บ้านไปวางยาฆ่าหมาแก (พรบ.คุ้มครองสัตว์)
สิ่งที่บ้านเราต้องการ คือ เราไม่ได้อยากได้ที่ดินตรงนั้น เพราะถ้าอยากได้จริงแจ้งปรปักตั้งแต่ทำกินครบ 10 ปีแล้ว
แต่จะให้ออกจากที่ดินตรงนั้นก็ต่อเมื่อจ่ายค่าต้นทุนปลูกยูคามา ลงทุนไป 60,000.- พึ่งขายได้ 20.000 .- ถ้าเขาจะให้เราออกก็เอาเงินมา 40,000 แล้วอยากไปขายไปตัดก็เชิญ
เพราะเหมือนย่าคนกลางมาโกหกหลอกล่อให้บ้านเราลงทุนแล้วจะมาชุกมือเปิบไปง่ายๆ ถ้าไม่โอเคทำไมไม่พูดตั้งแต่ตอนไปถางป่าจะปลูกนู้น ทำไมต้องรอให้มันโตก่อน
ส่วนเรื่องวางยาหมา อันนี้บ้านเราจะปรับสินไหม เพราะบ้านเราไม่ได้ทำ และบ้านนั่นก็ไม่มีหลักฐาน แต่กลับเอาไปพูดทั่วหมู่บ้าน
ถ้าเขาไม่ยอมจ่าย ค่าลงทุนปลูกยูคาให้เรา เขาจะแจ้งว่าเราบุกรุกที่ดิน
ส่วนเราคงจะต้องสู้เรื่องแจ้งปรปัก คิดว่าพอจะสู้ได้หรือไม่