ไอ้ฟู ...
พี่ๆ ไปกินข้าวเที่ยงกัน ... ไอ้วินน้องข้างห้องเรียกเมื่อเวลาใกล้เที่ยง
ที่นี่ไม่ได้มีแต่วิศวกรสนามดิบเถื่อนอย่างพวกผม วินเป็นน้องนักบัญชีที่ถูกส่งมาตกระกำลำบากด้วยกันที่นี่ มีหน้าที่คุมงบฯ หรือ ที่เรียกว่า budget controller แต่ด้วยคาแร็กเตอร์ที่เหมือนวิศวกรสนาม ผมจึงเปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ 1 2 และ 3 ไปตามนั้น ... กู และ ไอ้น้องวิน
ผมปิดคอมฯ หยิบหมวก สวมเสื้อคลุมกันลมทราย สะพายถุงยังชีพที่ข้างในมีสารพัดเครื่องปรุงจากรุงเทพ เปิดประตูอาคารที่ทำงาน เดินฝ่าลมทรายเบาๆ ไปห้องอาหารอีกอาคารหนึ่งที่เดินไปไม่ไกลนัก ราวๆร้อยเมตรเศษ
วันนี้อากาศเย็นเชียบ ฟ้าใสสีน้ำทะเลนัดเจอกับสีน้ำตาลของเนินทรายที่ริมขอบฟ้าบริเวณที่สุดสายตาจะไปได้ถึง
... แดดเที่ยงของซาฮาร่าก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เซ-บง แปลว่า พอแล้ว ถ้าไม่บอก คนที่ตักอาหารให้เราก็จะตักอยู่นั่นแหละ พวกเราแซวว่า คงเป็น KPI (ดัชนีวัดผลงาน) ของคนตักอาหาร วันไหนอาหารเหลือถือว่าทำงานไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
เมอค-ซิ แปลว่า ขอบคุณ ใช้บอกคนครัวตักอาหารให้เรา ... ออกเสียง ค. ควาย "เคอะ" นิดๆด้วย ไม่งั้นมันจะฟังเป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า ความเมตตา
นอกเหนือจากอาหารที่เวียนมาให้เราเลือกในแต่ล่ะมื้อแล้ว เรายังสามารถสั่งอาหารเสริมบางอย่างเองได้ ... แค่ต้องรู้คำศัพท์บ้างเล็กๆน้อยๆ
เอิฟ-ฟุ-ปรา ทุเน่ คือ ไข่ดาวแบบกลับด้าน หรือ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า over easy
เอิฟ แปลว่า ไข่ ภาษาอังกฤษก็ egg นั่นแหละ ปรา ก็คือ plate ที่ภาษาอังกฤษแปลว่าจานแบนๆ แปลตรงๆก็ ไข่กะทะ ส่วน ทุเน่ แปลว่าสองด้าน
ออมเล็ต คือ ไข่เจียวฝรั่ง ถ้าจะมีความสำเร็จหนึ่งที่พวกเราภูมิใจบ้างที่นี่ ก็คือการสอนให้พ่อครัวทำไข่เจียวแบบไทย แต่กว่าจะสำเร็จก็หลายมื้ออยู่ โดยเราต้องสั่งว่า ไทยลองเด่ออมเล็ต จึงจะได้ไข่เจียวไทย แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารอบนั้นพ่อครัวที่เราสอนไว้จะอยู่กะเดียวกับเราหรือเปล่า เพราะที่นี่ทุกคนทำงานเป็นกะ 28 วัน เหมือนกันหมด
สเต็ก อาเช่ะ คือ เนื้อสับปั้นให้กลม กดให้แบนๆแล้วเอามาทอด คล้ายๆเนื้อสับไส้แฮมเบอร์เกอร์ แต่ไม่มีไขมันแทรก และ ขนาดเล็กกว่าประมาณหนึ่งในสาม รสชาติตามอารมณ์พ่อครัว บางวันฉ่ำนุ่ม บางวันแห้งแข็ง บางวันเค็มปี๋ บางวันจืด
เอส-สกา-ล็อป คือ เนื้อไก่ที่เอามาทุบให้แบนๆแล้วเอามาทอด แผ่นขนาดครึ่งฝ่ามือ น้อยวันที่จะหนานุ่มอร่อย ส่วนมากจะบางแข็ง เราเรียกกันเองว่า ไก่กระดาษ
ไอ้น้องวินจะคอยเก็บอาหารที่เหลือจากทุกคนใส่ห่อกระดาษ เอาไปให้ไอ้ฟู และ ผองเพื่อน โดยที่มีพวกเราช่วยถือบ้าง หรือ เวียนเป็นหน้าที่พวกเราบ้างเวลาที่วินกลับกรุงเทพ ไม่ได้กำหนดกะเกณฑ์เข้าเวรเป็นหน้าที่ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าถ้าน้องวินไม่อยู่ ก็ต้องมีพวกเราคนใดคนหนึ่งเอาอาหารไปให้ไอ้ฟูและเพื่อนๆมัน
แมวมาอยู่ในแคมป์คนงานน้ำมันกลางทะเลทรายได้อย่างไร เมืองเล็กๆที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปตั้งเกือบ 200 กม.
ข้อสันนิษฐานที่ใกล้ความจริงที่สุด คือ มันมากับตู้ขนส่งอาหารนี่แหละ มันมากับหนู
เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่าง แมว และ คนครัว โดยแมวช่วยจับหนูในห้องเก็บอาหาร แต่ปัญหา คือ พอมีปริมาณแมวมากๆ คนครัวก็ต้องลดประชากรแมวลง โดยการจับไปปล่อยกลางทะเลทราย แต่บอกพวกเราว่าเอาไปปล่อยในเมือง
ไอ้ฟู กับ ไอ้น้องวิน อยู่ที่แคมป์นี้มาก่อนผม วินไม่เคยเล่าว่าไอ้ฟูมาได้อย่างไร แต่ผมได้ยินจากน้องๆคนอื่นอีกทีว่า ครั้งหนึ่งตอนที่มีการจำกัดประชากรแมว ไอ้น้องวินไปขอร้องเอาไว้ตัวหนึ่งที่ให้อาหารอยู่ประจำ ภายหลังตัวนั้นออกลูกมาครอกหนึ่ง มีด้วยกัน 4 ตัว แล้วตัวแม่ก็ตายหลังคลอดไม่นาน
ไอ้น้องวินผู้ซึ่งเป็นนักบัญชีโดยอาชีพแต่เป็นวิศวกรสนามด้วยหน้าตา จึงต้องรับบทแม่แมวจำเป็น ดูแลเจ้าลูกแมว 4 ตัวด้วยนมและอาหารคนเท่าที่มีและหาได้ โดยความช่วยเหลือจากยูทูป ... ผลคือรอดมาได้ตัวเดียว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือ ไอ้ฟู
ตอนผมมาถึงที่นี่ครั้งแรก ไอ้ฟูตัวโตแล้ว แล้วมันก็ฟูสมชื่อ ไอ้ฟูไม่ได้เป็นแมวสวยเด่นอะไร มันก็งั้นๆ ดำๆเทาๆขาวๆไปตามเรื่องของแมวแถวนี้ แต่ที่เด่นกว่าตัวอื่น คือ ตัวมันฟูๆ ถ้าเดินๆปนๆกันมา 5 - 6 ตัว ก็จะเห็นตัวไอ้ฟูนี่แหละเด่นสุด
เราเกลี่ยทรายข้างๆที่พักเรามุมหนึ่ง ปรับให้เรียบแบบหยาบๆ เป็นที่ให้อาหาร เราเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า โต๊ะแมว ... ไอ้น้องวิน และ พวกเราสลับกันเอาอาหารมาให้ไอ้ฟู และ เพื่อนๆมันตามแต่โอกาสอำนวยเรื่อยมาด้วยความเต็มใจ
เรารู้สึกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่รู้ร้อนรู้เจ็บรู้หนาวรอเราอยู่ตอนเราเดินออกจากห้องอาหาร บางวันที่เราคุยกันสนุกจนลืมเศษอาหารติดมือ เดินออกมาเห็นพวกมันรออยู่ บางคนถึงกับต้องเดินย้อนกลับไปโกยๆเศษอาหารใส่กล่องกลับมาให้พวกมัน
ผมแอบคิดว่าเครื่องจักรกลปัญญาประดิษฐ์จะมีความรู้สึกแบบนี้บ้างไหมนะ ความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่แม้การสื่อสารจะถูกจำกัดด้วยบุญกรรมเก่าที่มีผลต่อกำเนิดในชาตินี้ แล้ววันนี้เราจะให้จักรกลปัญญาประดิษฐ์เข้ามากำหนดชะตาของสิ่งมีชีวิตอย่างเราได้แค่ไหน ...
วันที่ไอ้น้องวินทำงานที่นี้เป็นกะสุดท้ายหลังจากวนๆไปมาระหว่างกรุงเทพกับซาฮาร่าทุก 28 วัน เป็นเวลา 4 ปี เราแอบเห็นน้องวินเศร้าๆตอนบอกลาไอ้ฟู พวกเราสัญญากับไอ้น้องวินว่า จะดูแลมันต่อ และ จะไม่ให้มันโดนจับไปปล่อยทะเลทราย
ลมทะเลทรายพัดผ่านเอาไอร้อนและไอเย็นเวียนผ่านฤดูกาล ฟ้าสีน้ำตาลสลับส้มและน้ำเงินก็ล้อตาม ดาวเดือนขึ้นมาแล้วก็ร่วงลงไปสลับกับตะวันจ้า และ เดือนกระจ่าง ... หมุนวน
ปีที่แล้ว 2 - 3 วัน ก่อนกลับมาทำงาน ผมได้ข่าวจากไลน์กลุ่มว่าไอ้ฟูหายไป น้องๆพยายามตามหามันทั้งแคมป์
"เฮ้ย เจอไอ้ฟูหรือยัง" ... คำถามแรกของผมที่กำลังเดินลงบันไดเครื่องบินเช่าเหมาลำสองใบพัด ถามน้องๆที่กำลังเดินสวนขึ้นบันไดเครื่องลำเดียวกันกลับบ้าน
"ยังเลยครับพี่นก ช่วยหาต่อด้วย" ....
"แคมป์คนงานข้างๆเราล่ะ ไปดูกันยัง"
"ยังครับ ยังไม่มีเวลากัน มันก็ไกลอยู่นะพี่ ไอ้ฟูมันจะไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ"
คุยกันได้ประมาณนั้นแล้วก็ต้องร่ำลา อวยชัยให้พรกันตามธรรมเนียมพี่ๆน้องๆ
หลายวันผ่านไป ก็ยังไม่มีใครเห็นไอ้ฟู จนทุกคนหมดหวัง คิดว่าแผนกควบคุมประชากรแมวแอบเอาไอ้ฟูไปปล่อยแล้ว จนปลายๆรอบนั้นของผม ไม่รู้ไอ้ฟูมันมาจากๆไหน จู่ๆมันก็เสนอหน้ามาที่หน้าห้องอาหารเหมือนเคย แล้วก็เดินตามพวกเรามาที่โต๊ะแมว ทำหน้าตาเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
"เฮ้ย ... นั่นไอ้ฟูนี่" น้องคนหนึ่งพูดด้วยเเสียงเกือบจะตะโกน
ดีใจกันจนไม่ได้สังเกตุไอ้ฟูเท่าไรว่ามันเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพราะตัวมันขนฟูๆด้วยแหละ พวกเราก็เอาอาหารให้มันกินเหมือนๆเคย คนหนึ่งในพวกเรารีบไลน์บอกไอ้น้องวินพ่อมันว่า ไอ้ฟูกลับมาแล้วนะ ... แล้วพวกเรากับไอ้ฟูก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป ...
เดี๋ยวก่อน ... ชีวิตไอ้ฟูไม่ใช่นิทานก่อนนอนขนาดนั้นครับ
ผมกลับมากทม.ได้ไม่กี่วัน ก็ได้ข่าวจากไลน์กลุ่มว่า ไอ้ฟูหายไปอีกแล้ว แต่คราวนี้พวกเราไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรมาก แค่เป็นห่วง แต่ไม่ถึงกับต้องออกตระเวนหา เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็กลับมา
โลกมันก็หมุนไปอย่างที่มันเคยหมุนตลอดมาหลานพันล้านปี แล้ววันหนึ่งโลกมันก็พาผมมายืนอยู่ที่แคมป์คนงานน้ำมันกลางซาฮาร่าอีกหน ... ไม่มีอะไรตื่นเต้นกับไอ้ฟูอีก เรื่องของไอ้ฟูไหลลื่นตกหล่นไปกับเวลาที่ถูกกลบไปด้วยข่าวอื่นๆของวัน
บางคนในหมู่พวกเราพูดขึ้นมาตลกๆว่า มันคงติดสัดหนีตามตัวเมียไปมัง แต่คำถามคือมันจะหนีไปไหนกัน นี่มันกลางทะเลทราย ไม่ใช่ดงบ้านคนแบบในกรุงเทพ
อย่างไรก็ตามการหายไปรอบนี้ไม่มีใครคิดว่ามันโดนจับไปปล่อยทะเลทราย เพราะเราไปเค้นเอาความจริงมากจากคนที่ดูแลประชากรแมวมาแล้วว่าเขาไม่ได้เอาไอ้ฟูไปปล่อยจริงๆ
วันนั้นผมจำได้ดีว่าไปดูแลงานที่แท่นเจาะฯหนึ่งที่ผมดูแล กว่าจะกลับมาที่แคมป์ก็เกือบทุ่ม หน้าหนาว อากาศเย็นจัด ผมกระชับเสื้อชุดหมีที่คิดว่าบางไปสำหรับฤดูนี้ให้กระชับขึ้น ... เดินลงจากรถขับเคลื่อนสี่ล้อคู่ใจ
"เมอค-ซิ" ผมบอกขอบใจลูกน้องที่ขับมาส่ง
ใจล่องเดินแหงนมองจันทร์เสี้ยวฝ่าลมหนาวกลับห้อง ... ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคิดถึงไอ้ฟูขึ้นมาตะหงิดๆในยามนั้น นี่หรือเปล่า คือ สายใยที่มองไม่เห็นของสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่า กระแสจิต
เกือบถึงห้อง เลี้ยวมุมอาคาร ผมเดินผ่านโต๊ะแมว เห็นตาสีเงินวาวของไอ้ฟูในความสลัวจากไฟแรงเทียนต่ำขอบหลังคา ...
ล้วงกระเป๋งหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ... ปริยิ้ม ... ส่งรูป ... พิมพ์ข้อความ ... กดส่งไลน์ ...
"ไอ้วิน ขอพี่แจ็คหัวหน้ากลับมาด่วน มีหลานแล้ว" ...
ชั่วอึดใจ ไอ้น้องวินตอบมา ...
"อ้าว พี่นก ผมนึกว่ามันเป็นตัวผู้มาตลอดเลย"
----------------------------------
พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร
https://nongferndaddy.com/
ไอ้ฟู ...
พี่ๆ ไปกินข้าวเที่ยงกัน ... ไอ้วินน้องข้างห้องเรียกเมื่อเวลาใกล้เที่ยง
ที่นี่ไม่ได้มีแต่วิศวกรสนามดิบเถื่อนอย่างพวกผม วินเป็นน้องนักบัญชีที่ถูกส่งมาตกระกำลำบากด้วยกันที่นี่ มีหน้าที่คุมงบฯ หรือ ที่เรียกว่า budget controller แต่ด้วยคาแร็กเตอร์ที่เหมือนวิศวกรสนาม ผมจึงเปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ 1 2 และ 3 ไปตามนั้น ... กู และ ไอ้น้องวิน
ผมปิดคอมฯ หยิบหมวก สวมเสื้อคลุมกันลมทราย สะพายถุงยังชีพที่ข้างในมีสารพัดเครื่องปรุงจากรุงเทพ เปิดประตูอาคารที่ทำงาน เดินฝ่าลมทรายเบาๆ ไปห้องอาหารอีกอาคารหนึ่งที่เดินไปไม่ไกลนัก ราวๆร้อยเมตรเศษ
วันนี้อากาศเย็นเชียบ ฟ้าใสสีน้ำทะเลนัดเจอกับสีน้ำตาลของเนินทรายที่ริมขอบฟ้าบริเวณที่สุดสายตาจะไปได้ถึง
... แดดเที่ยงของซาฮาร่าก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เซ-บง แปลว่า พอแล้ว ถ้าไม่บอก คนที่ตักอาหารให้เราก็จะตักอยู่นั่นแหละ พวกเราแซวว่า คงเป็น KPI (ดัชนีวัดผลงาน) ของคนตักอาหาร วันไหนอาหารเหลือถือว่าทำงานไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
เมอค-ซิ แปลว่า ขอบคุณ ใช้บอกคนครัวตักอาหารให้เรา ... ออกเสียง ค. ควาย "เคอะ" นิดๆด้วย ไม่งั้นมันจะฟังเป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า ความเมตตา
นอกเหนือจากอาหารที่เวียนมาให้เราเลือกในแต่ล่ะมื้อแล้ว เรายังสามารถสั่งอาหารเสริมบางอย่างเองได้ ... แค่ต้องรู้คำศัพท์บ้างเล็กๆน้อยๆ
เอิฟ-ฟุ-ปรา ทุเน่ คือ ไข่ดาวแบบกลับด้าน หรือ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า over easy
เอิฟ แปลว่า ไข่ ภาษาอังกฤษก็ egg นั่นแหละ ปรา ก็คือ plate ที่ภาษาอังกฤษแปลว่าจานแบนๆ แปลตรงๆก็ ไข่กะทะ ส่วน ทุเน่ แปลว่าสองด้าน
ออมเล็ต คือ ไข่เจียวฝรั่ง ถ้าจะมีความสำเร็จหนึ่งที่พวกเราภูมิใจบ้างที่นี่ ก็คือการสอนให้พ่อครัวทำไข่เจียวแบบไทย แต่กว่าจะสำเร็จก็หลายมื้ออยู่ โดยเราต้องสั่งว่า ไทยลองเด่ออมเล็ต จึงจะได้ไข่เจียวไทย แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารอบนั้นพ่อครัวที่เราสอนไว้จะอยู่กะเดียวกับเราหรือเปล่า เพราะที่นี่ทุกคนทำงานเป็นกะ 28 วัน เหมือนกันหมด
สเต็ก อาเช่ะ คือ เนื้อสับปั้นให้กลม กดให้แบนๆแล้วเอามาทอด คล้ายๆเนื้อสับไส้แฮมเบอร์เกอร์ แต่ไม่มีไขมันแทรก และ ขนาดเล็กกว่าประมาณหนึ่งในสาม รสชาติตามอารมณ์พ่อครัว บางวันฉ่ำนุ่ม บางวันแห้งแข็ง บางวันเค็มปี๋ บางวันจืด
เอส-สกา-ล็อป คือ เนื้อไก่ที่เอามาทุบให้แบนๆแล้วเอามาทอด แผ่นขนาดครึ่งฝ่ามือ น้อยวันที่จะหนานุ่มอร่อย ส่วนมากจะบางแข็ง เราเรียกกันเองว่า ไก่กระดาษ
ไอ้น้องวินจะคอยเก็บอาหารที่เหลือจากทุกคนใส่ห่อกระดาษ เอาไปให้ไอ้ฟู และ ผองเพื่อน โดยที่มีพวกเราช่วยถือบ้าง หรือ เวียนเป็นหน้าที่พวกเราบ้างเวลาที่วินกลับกรุงเทพ ไม่ได้กำหนดกะเกณฑ์เข้าเวรเป็นหน้าที่ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าถ้าน้องวินไม่อยู่ ก็ต้องมีพวกเราคนใดคนหนึ่งเอาอาหารไปให้ไอ้ฟูและเพื่อนๆมัน
แมวมาอยู่ในแคมป์คนงานน้ำมันกลางทะเลทรายได้อย่างไร เมืองเล็กๆที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปตั้งเกือบ 200 กม.
ข้อสันนิษฐานที่ใกล้ความจริงที่สุด คือ มันมากับตู้ขนส่งอาหารนี่แหละ มันมากับหนู
เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่าง แมว และ คนครัว โดยแมวช่วยจับหนูในห้องเก็บอาหาร แต่ปัญหา คือ พอมีปริมาณแมวมากๆ คนครัวก็ต้องลดประชากรแมวลง โดยการจับไปปล่อยกลางทะเลทราย แต่บอกพวกเราว่าเอาไปปล่อยในเมือง
ไอ้ฟู กับ ไอ้น้องวิน อยู่ที่แคมป์นี้มาก่อนผม วินไม่เคยเล่าว่าไอ้ฟูมาได้อย่างไร แต่ผมได้ยินจากน้องๆคนอื่นอีกทีว่า ครั้งหนึ่งตอนที่มีการจำกัดประชากรแมว ไอ้น้องวินไปขอร้องเอาไว้ตัวหนึ่งที่ให้อาหารอยู่ประจำ ภายหลังตัวนั้นออกลูกมาครอกหนึ่ง มีด้วยกัน 4 ตัว แล้วตัวแม่ก็ตายหลังคลอดไม่นาน
ไอ้น้องวินผู้ซึ่งเป็นนักบัญชีโดยอาชีพแต่เป็นวิศวกรสนามด้วยหน้าตา จึงต้องรับบทแม่แมวจำเป็น ดูแลเจ้าลูกแมว 4 ตัวด้วยนมและอาหารคนเท่าที่มีและหาได้ โดยความช่วยเหลือจากยูทูป ... ผลคือรอดมาได้ตัวเดียว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือ ไอ้ฟู
ตอนผมมาถึงที่นี่ครั้งแรก ไอ้ฟูตัวโตแล้ว แล้วมันก็ฟูสมชื่อ ไอ้ฟูไม่ได้เป็นแมวสวยเด่นอะไร มันก็งั้นๆ ดำๆเทาๆขาวๆไปตามเรื่องของแมวแถวนี้ แต่ที่เด่นกว่าตัวอื่น คือ ตัวมันฟูๆ ถ้าเดินๆปนๆกันมา 5 - 6 ตัว ก็จะเห็นตัวไอ้ฟูนี่แหละเด่นสุด
เราเกลี่ยทรายข้างๆที่พักเรามุมหนึ่ง ปรับให้เรียบแบบหยาบๆ เป็นที่ให้อาหาร เราเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า โต๊ะแมว ... ไอ้น้องวิน และ พวกเราสลับกันเอาอาหารมาให้ไอ้ฟู และ เพื่อนๆมันตามแต่โอกาสอำนวยเรื่อยมาด้วยความเต็มใจ
เรารู้สึกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่รู้ร้อนรู้เจ็บรู้หนาวรอเราอยู่ตอนเราเดินออกจากห้องอาหาร บางวันที่เราคุยกันสนุกจนลืมเศษอาหารติดมือ เดินออกมาเห็นพวกมันรออยู่ บางคนถึงกับต้องเดินย้อนกลับไปโกยๆเศษอาหารใส่กล่องกลับมาให้พวกมัน
ผมแอบคิดว่าเครื่องจักรกลปัญญาประดิษฐ์จะมีความรู้สึกแบบนี้บ้างไหมนะ ความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่แม้การสื่อสารจะถูกจำกัดด้วยบุญกรรมเก่าที่มีผลต่อกำเนิดในชาตินี้ แล้ววันนี้เราจะให้จักรกลปัญญาประดิษฐ์เข้ามากำหนดชะตาของสิ่งมีชีวิตอย่างเราได้แค่ไหน ...
วันที่ไอ้น้องวินทำงานที่นี้เป็นกะสุดท้ายหลังจากวนๆไปมาระหว่างกรุงเทพกับซาฮาร่าทุก 28 วัน เป็นเวลา 4 ปี เราแอบเห็นน้องวินเศร้าๆตอนบอกลาไอ้ฟู พวกเราสัญญากับไอ้น้องวินว่า จะดูแลมันต่อ และ จะไม่ให้มันโดนจับไปปล่อยทะเลทราย
ลมทะเลทรายพัดผ่านเอาไอร้อนและไอเย็นเวียนผ่านฤดูกาล ฟ้าสีน้ำตาลสลับส้มและน้ำเงินก็ล้อตาม ดาวเดือนขึ้นมาแล้วก็ร่วงลงไปสลับกับตะวันจ้า และ เดือนกระจ่าง ... หมุนวน
ปีที่แล้ว 2 - 3 วัน ก่อนกลับมาทำงาน ผมได้ข่าวจากไลน์กลุ่มว่าไอ้ฟูหายไป น้องๆพยายามตามหามันทั้งแคมป์
"เฮ้ย เจอไอ้ฟูหรือยัง" ... คำถามแรกของผมที่กำลังเดินลงบันไดเครื่องบินเช่าเหมาลำสองใบพัด ถามน้องๆที่กำลังเดินสวนขึ้นบันไดเครื่องลำเดียวกันกลับบ้าน
"ยังเลยครับพี่นก ช่วยหาต่อด้วย" ....
"แคมป์คนงานข้างๆเราล่ะ ไปดูกันยัง"
"ยังครับ ยังไม่มีเวลากัน มันก็ไกลอยู่นะพี่ ไอ้ฟูมันจะไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ"
คุยกันได้ประมาณนั้นแล้วก็ต้องร่ำลา อวยชัยให้พรกันตามธรรมเนียมพี่ๆน้องๆ
หลายวันผ่านไป ก็ยังไม่มีใครเห็นไอ้ฟู จนทุกคนหมดหวัง คิดว่าแผนกควบคุมประชากรแมวแอบเอาไอ้ฟูไปปล่อยแล้ว จนปลายๆรอบนั้นของผม ไม่รู้ไอ้ฟูมันมาจากๆไหน จู่ๆมันก็เสนอหน้ามาที่หน้าห้องอาหารเหมือนเคย แล้วก็เดินตามพวกเรามาที่โต๊ะแมว ทำหน้าตาเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
"เฮ้ย ... นั่นไอ้ฟูนี่" น้องคนหนึ่งพูดด้วยเเสียงเกือบจะตะโกน
ดีใจกันจนไม่ได้สังเกตุไอ้ฟูเท่าไรว่ามันเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพราะตัวมันขนฟูๆด้วยแหละ พวกเราก็เอาอาหารให้มันกินเหมือนๆเคย คนหนึ่งในพวกเรารีบไลน์บอกไอ้น้องวินพ่อมันว่า ไอ้ฟูกลับมาแล้วนะ ... แล้วพวกเรากับไอ้ฟูก็อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป ...
เดี๋ยวก่อน ... ชีวิตไอ้ฟูไม่ใช่นิทานก่อนนอนขนาดนั้นครับ
ผมกลับมากทม.ได้ไม่กี่วัน ก็ได้ข่าวจากไลน์กลุ่มว่า ไอ้ฟูหายไปอีกแล้ว แต่คราวนี้พวกเราไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรมาก แค่เป็นห่วง แต่ไม่ถึงกับต้องออกตระเวนหา เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็กลับมา
โลกมันก็หมุนไปอย่างที่มันเคยหมุนตลอดมาหลานพันล้านปี แล้ววันหนึ่งโลกมันก็พาผมมายืนอยู่ที่แคมป์คนงานน้ำมันกลางซาฮาร่าอีกหน ... ไม่มีอะไรตื่นเต้นกับไอ้ฟูอีก เรื่องของไอ้ฟูไหลลื่นตกหล่นไปกับเวลาที่ถูกกลบไปด้วยข่าวอื่นๆของวัน
บางคนในหมู่พวกเราพูดขึ้นมาตลกๆว่า มันคงติดสัดหนีตามตัวเมียไปมัง แต่คำถามคือมันจะหนีไปไหนกัน นี่มันกลางทะเลทราย ไม่ใช่ดงบ้านคนแบบในกรุงเทพ
อย่างไรก็ตามการหายไปรอบนี้ไม่มีใครคิดว่ามันโดนจับไปปล่อยทะเลทราย เพราะเราไปเค้นเอาความจริงมากจากคนที่ดูแลประชากรแมวมาแล้วว่าเขาไม่ได้เอาไอ้ฟูไปปล่อยจริงๆ
วันนั้นผมจำได้ดีว่าไปดูแลงานที่แท่นเจาะฯหนึ่งที่ผมดูแล กว่าจะกลับมาที่แคมป์ก็เกือบทุ่ม หน้าหนาว อากาศเย็นจัด ผมกระชับเสื้อชุดหมีที่คิดว่าบางไปสำหรับฤดูนี้ให้กระชับขึ้น ... เดินลงจากรถขับเคลื่อนสี่ล้อคู่ใจ
"เมอค-ซิ" ผมบอกขอบใจลูกน้องที่ขับมาส่ง
ใจล่องเดินแหงนมองจันทร์เสี้ยวฝ่าลมหนาวกลับห้อง ... ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคิดถึงไอ้ฟูขึ้นมาตะหงิดๆในยามนั้น นี่หรือเปล่า คือ สายใยที่มองไม่เห็นของสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่า กระแสจิต
เกือบถึงห้อง เลี้ยวมุมอาคาร ผมเดินผ่านโต๊ะแมว เห็นตาสีเงินวาวของไอ้ฟูในความสลัวจากไฟแรงเทียนต่ำขอบหลังคา ...
ล้วงกระเป๋งหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ... ปริยิ้ม ... ส่งรูป ... พิมพ์ข้อความ ... กดส่งไลน์ ...
"ไอ้วิน ขอพี่แจ็คหัวหน้ากลับมาด่วน มีหลานแล้ว" ...
ชั่วอึดใจ ไอ้น้องวินตอบมา ...
"อ้าว พี่นก ผมนึกว่ามันเป็นตัวผู้มาตลอดเลย"
----------------------------------
พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร
https://nongferndaddy.com/