วันดับสูญ บทที่ 7 เรือโนอาห์

กระทู้สนทนา
7. เรือโนอาห์
 
         คล้ายคนที่กำลังดำดิ่งลึกลงไปสู่ห้วงแห่งสมาธิ จมตัวเองอยู่ในส่วนลึกของภวังค์ หรือไม่ก็เฝ้ารออะไรบางสิ่ง คอยอะไรบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ จนไม่สนและไม่รับรู้ถึงสิ่งอื่นใด

         หลังจากนั่งนิ่งอยู่ที่บนโซฟาตรงส่วนรับแขกของห้องในลักษณะนั้นมานานกว่าชั่วโมง ในที่สุดเสียงแจ้งเตือนจากสมาร์ตโฟนที่ตั้งไว้ก็ช่วยเรียกสติ และทำให้วิวัฒน์เริ่มขยับเคลื่อนไหวตัวเองอีกครั้ง

         เหลือบตาตรวจสอบเวลาจากหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนังเพื่อยืนยันให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงยันกายลุกขึ้นจากเบาะนุ่มแสนสบาย ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องไปแบบไม่เหลียวหลังหันกลับมามอง โดยนอกจากสมาร์ตโฟน กระเป๋าสตางค์ และอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือแล้ว ก็ปราศจากสัมภาระอื่นใดติดตัวมาด้วยอีก

         บริเวณหน้าโรงแรมสุดหรูใจกลางเมืองหลวง ซึ่งมีราคาค่าเข้าพักต่อหนึ่งคืนแพงกว่าค่าเช่ารายเดือนของหอพักทั่ว ๆ ไปหลายเท่า แท๊กซี่ที่เรียกจองไว้โดยแอปพลิเคชันจอดรออยู่ที่ตรงนั้น เมื่อเขาออกจากลิฟต์และเดินมาถึง เข้าประจำตำแหน่งตรงเบาะหลังฝั่งตรงข้ามคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รถโดยสารก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไป

         แม้รถราจะแล่นขวักไขว่เกลื่อนเต็มอยู่บนท้องถนน แต่การจราจรเวลานี้ในช่วงสิบเอ็ดโมงกว่าก็ยังถือว่าค่อนข้างคล่องตัว แน่นอนว่าหากช้ากว่านี้ไปอีกแค่เพียงครึ่งชั่วโมง เมื่อหนุ่มสาวออฟฟิศเริ่มออกมาหามื้อเที่ยงกิน ทุกอย่างจะผิดจากสภาพที่เป็นในขณะนี้ไปอย่างลิบลับ

         เหม่อมองออกไปยังสภาพแวดล้อมภายนอกห้องโดยสาร ไม่ว่าดวงตะวันจะแผดแสงแรงกล้าสักเพียงใด ถึงเปลวแดดจะร้อนระอุขนาดไหน แต่คนก็ยังต้องทำมาหากินเพื่อเอาชีวิตรอดกันต่อไป

         ไม่มีใครมีเวลาพอจะเหลียวมองใคร ไม่มีสักคนที่จะเหลือเวลาไว้ใช้สำหรับสนใจหรือห่วงใยคนอื่น บนทางเท้าที่แน่นขนัดจึงเห็นแต่เพียงความไร้ชีวิตชีวาซึ่งเต็มไปด้วยการเบียดแทรกแย่งชิง ให้ตัวเองได้อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า ได้เปรียบกว่า ไปได้เร็วกว่าผู้อื่นแม้แค่เพียงสักวินาทีเดียวก็ยังดี

         ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากดินแดนไกลปืนเที่ยงที่เขาจากมา ที่นั่นทุกอย่างดูเชื่องช้าและผ่อนคลาย รอยยิ้มและไมตรีจิตมีให้แก่กันและกันอยู่ทุกที่ทุกเวลา ในแบบที่ไม่ต้องรอให้ร้องขอหรือต้องเสาะแสวงหากันให้เหนื่อยกายอ่อนใจเลยสักนิด

         ป่านนี้ทุกคนจะเป็นอย่างไรกันบ้าง นักเรียนตัวน้อยของเขากำลังตั้งใจเรียนกันอยู่ไหม แล้วครูเจนล่ะ ตอนนี้เธอเป็นอย่างไร ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม หรือเธอซุ่มซ่ามอะไรให้ต้องเจ็บตัวอีกแล้วหรือเปล่า

         เธอคงทั้งเสียความรู้สึก ผิดหวัง และโกรธเกลียดเขามาก ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่เขาสมควรได้รับ โดยที่ไม่อาจแก้ตัวหรือเรียกร้องขอความเห็นใจได้เลย

         วิวัฒน์หลับตาลงพร้อมถอนหายใจด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่วงในอก รู้สึกผิดและนึกโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา ที่ปล่อยให้ความรู้สึกระหว่างกันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ โดยที่รู้แก่ใจดีอยู่แล้ว ว่าสุดท้ายปลายทางสำหรับเรื่องนี้จะจบลงที่ตรงไหน

         เขาไม่ควรเผลอไผลไปกับอารมณ์รัก ควรต้องหักห้ามใจตั้งแต่ทีแรก รู้ทั้งรู้ว่าควรต้องทำอะไร สิ่งใดคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งเธอและเขา แต่จะมีใครที่สามารถระงับยับยั้ง หักห้ามสิ่งที่เรียกว่าหัวใจและความรักได้จริง ๆ กันล่ะ

         แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากความจริงข้อนี้ สุดท้ายแล้วจึงเลือกที่จะเดินจากมา ตัดขาดเรื่องราวความรักที่กำลังเบ่งบานงดงามโดยเร็วที่สุด เป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำให้ได้ และอย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันดีที่สุดสำหรับเจนจิรา

         “ผมขอโทษ” แผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ ปราศจากผู้ที่ควรจะได้รับฟัง ล่องลอยไปตามสายลมและสูญสลายไปในอากาศ โดยที่ทุกความรู้สึกจะยังคงติดค้างอยู่อย่างนั้นภายในใจ และไม่ได้ถูกเลือนลบตามไป

         ครึ่งชั่วโมงผ่านไปบนรถแท็กซี่ เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้าอันเป็นจุดหมาย วิวัฒน์เดินเตร็จเตร่ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งได้รับข้อความจากสมาร์ตวอตช์ จึงค่อยพาตัวเองลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน ไม่กี่วินาทีที่เดินมาถึงตรงตำแหน่งซึ่งถูกระบุไว้ รถยนต์อีกคันที่เข้ามาจอดเทียบก็รับตัวของเขาไป

         ดูเหมือนกับว่าผู้นำทางจงใจที่จะขับรถให้วกไปวนมา ซึ่งอาจต้องการให้ชายหนุ่มจับทิศทางไม่ถูก หรือไม่ก็อาจเพื่อป้องกันการติดตาม เขาต้องเดินทางอย่างหลงทิศอยู่นานสองนาน เปลี่ยนรถตามสถานที่ต่าง ๆ อีกถึงสามครั้ง

         จนในที่สุดเขาก็ถูกปล่อยให้ลงอยู่ตรงหน้าอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ซึ่งสังเกตดูจากภายนอกแล้วก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง หรือพิศดารไปจากอาคารสำนักงานอื่นในย่านนี้เลยสักนิด

         หยุดยืนดูท่าทีอยู่ที่หน้าบานประตูกระจก ซึ่งเข้มทึบไปด้วยชั้นฟิล์มกรองแสงครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจเปิดมันและเดินผ่านเข้าไปสู่ภายใน

         “สวัสดีครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ”

         และแล้ว...เสียงทักทายจากชายชราผู้คุ้นตา ที่กำลังยืนรออยู่หลังบานประตูแต่เพียงลำพัง ก็ทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่าสถานที่แห่งนี้คือปลายทางสุดท้ายแล้ว สำหรับการเดินทางในเขาวงกตที่ชื่อว่าเมืองหลวงแห่งนี้

         เหลือบมองไปถ้วนทั่วเท่าที่ระยะสายตาจะเอื้ออำนวย เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ โถงทางเดิน ลิฟต์ บันได ประตูที่ติดตั้งตัวอ่านคีย์การ์ดไว้ด้านหน้า ในนี้เองก็ไม่มีอะไรที่พิเศษไปจากอาคารทั่วไปเหมือนกัน

         “เอาละ คงไม่ต้องเกริ่นอะไรให้มากความอีกแล้ว เชิญตามผมมา แล้วทุกอย่างที่คุณอยากรู้หรือสงสัยจะกระจ่างเองครับ” รอยยิ้มอย่างคนที่อ่านใจผู้อื่นออกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชราอย่างเคย

         โทมัสเดินนำทางพาวิวัฒน์จนมาถึงประตูทึบบานหนึ่ง หยิบคีย์การ์ดเสียบเข้ากับตัวอ่านและกดกรอกตัวเลขหลายหลักลงไป เมื่อเครื่องยืนยันรหัสว่าถูกต้องเรียบร้อยแล้ว บานประตูจึงปลดล็อกเพื่อเปิดทางให้ผ่านไป

         กระบวนการแบบเดียวกันนี้ถูกทำซ้ำหลายต่อหลายครั้ง เพื่อที่จะผ่านประตูบานแล้วบานเล่าเข้าไปอีกหลายชั้น ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าคีย์การ์ดและรหัสปลดล็อก ที่ชายชราใช้สำหรับประตูแต่ละบานนั้นแตกต่างกัน

         หากต้องการจะลักลอบเข้ามาจนถึงห้องชั้นในซึ่งเป็นเป้าหมาย ก็จำเป็นที่จะต้องขโมยหรือปลอมแปลงคีย์การ์ด อีกทั้งยังต้องล่วงรู้ถึงชุดรหัสจำนวนมาก เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขั้นสุดก็คงจะไม่เกินเลยไปสักนิด

         “นี่เป็นด่านสุดท้ายแล้วครับ ดอกเตอร์” โทมัสหยุดยืนที่หน้าประตูซึ่งดูเหมือนกันกับบานก่อนหน้า ต่างกันที่ประตูบานนี้ไม่มีเครื่องอ่านคีย์การ์ด หากแต่มีอุปกรณ์แปลกตารูปทรงกระบอกคล้ายท่อสั้น ๆ ติดตั้งแทนในตำแหน่งเดียวกัน “กรุณายื่นตั๋วของคุณเข้าไปในเครื่องด้วยครับ”

         ไม่มีประโยชน์หรือเหตุผลอันใดที่จะไม่ยอมทำตาม หลังจากที่เขาสอดมือข้างที่สวมสมาร์ตวอตช์เข้าไป ครู่หนึ่งที่คล้ายกับว่าเครื่องกำลังทำการตรวจสอบ แล้วหลังจากนั้นอุปกรณ์ที่สวมติดตัวไว้มาตลอดหลายปีก็หลุดออกจากข้อมือ พร้อม ๆ กันกับที่ประตูบานสุดท้ายดีดตัวเปิดออก

         “นอกจากที่มันจะใช้ติดต่อสื่อสารและติดตามตำแหน่งแล้ว มันยังมีคุณสมบัติเป็นเครื่องบันทึกด้วยน่ะครับ”

         ไม่ต้องรอให้คู่สนทนาเอ่ยปากอะไรออกมา ชายชราก็ตั้งใจจะบอกทุกสิ่งเฉลยทุกอย่างอยู่แล้ว ด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจที่แสดงให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง มันดูราวกับเขาจงใจที่จะแสดงให้อีกฝ่ายได้เห็นว่า องค์กรแห่งนี้ของเขาได้ครอบครองเทคโนโลยีชั้นสูงที่สุดยอดขนาดนี้ไว้ในมือ

         อาจจะเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้ผู้ที่กำลังจะต้องมาล่มหัวจมท้ายด้วยกันได้มั่นใจ ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดี หรือไม่บางที ชายชราผู้นี้ก็อาจจะเป็นเพียงแค่คนแก่ธรรมดา ๆ ที่ชอบโอ้อวดเท่านั้นเอง

         “ตลอดระยะเวลาหลายปีที่คุณสวมมันไว้ มันได้ทำการบันทึกลักษณะกล้ามเนื้อ เส้นเลือด การไหลเวียน การเต้นของหัวใจ ตลอดจนการทำงานและจังหวะของกิจกรรมภายในร่างกายทั้งหมดของคุณไว้”

         ด้วยเหตุนี้ มันจึงมีคุณสมบัติของการเป็นกุญแจเฉพาะบุคคล ที่ถึงแม้จะถูกใครอื่นขโมยไป ก็มั่นใจได้ว่าไม่มีใครคนไหนสามารถแอบอ้างและนำไปใช้ได้ทั้งสิ้น...ฟังแค่ถึงตรงนี้ คำตอบทุกอย่างก็กระจ่างอยู่ในหัวของวิวัฒน์เป็นที่เรียบร้อย

         ที่ลิฟต์ตรงสุดทางซึ่งประตูเปิดอ้ารออยู่ เมื่อเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มได้เข้าประจำที่เรียบร้อย ชายชราจึงค่อยตามหลังเพื่อไปประจำตำแหน่งตรงแผงควบคุม แต่แทนที่เลขใดเลขหนึ่งจะถูกกดเลือกเหมือนอย่างการโดยสารลิฟต์ทั่วไป เขากลับกดเป็นชุดตัวเลขจำนวนหลายหลักแทน

         “อันที่จริงมันเป็นปุ่มสำหรับใช้ป้อนรหัสน่ะครับ ถึงแม้โอกาสเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะน้อยเท่าน้อยจนแทบเป็นศูนย์ แต่ถ้าหากเกิดบังเอิญมีบุคคลแปลกปลอมหลุดรอดมาจนถึงจุดนี้ได้จริง ๆ ยามเมื่อกดปุ่มเลือกชั้น ประตูจะล็อกตัวเองโดยอัตโนมัติ สิ่งที่ทำได้หลังจากนั้นก็คือการยอมจำนน และรอให้พวกเรามาจับกุมเท่านั้น”

         แม้ฟังแล้วจะน่าทึ่งไม่น้อยกับชุดความคิดอันละเอียดรอบคอบและแปลกพิศดารขนาดนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่น่าสนใจ อีกทั้งยังไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญขนาดจำเป็นต้องรู้ในเวลานี้เลยสักนิด...สำหรับวิวัฒน์แล้ว การได้รู้ว่าลิฟต์ตัวนี้กำลังเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง ยังน่าสนใจและอาจจะมีประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ

         “ดอกเตอร์ คุณเคยได้ยินเรื่องของเรือโนอาห์ไหมครับ”

         จู่ ๆ ชายชราก็ตั้งประเด็นคำถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกทั้งยังดูเหมือนกับเป็นอะไรที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้เลยสักนิด ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้ไม่รู้รายละเอียดของเรื่องราว แต่คนส่วนใหญ่บนโลกย่อมต้องเคยได้ยินได้เห็น ผ่านหูผ่านตาเกี่ยวกับตำนานเรื่องนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย

         เรื่องราวของเรือโนอาห์ซึ่งมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้น กล่าวถึงเมื่อครั้งที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและมนุษย์ บังเกิดความเศร้าเสียใจอย่างถึงที่สุด ที่ได้ล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายเลวทราม ภายในจิตใจของเหล่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงให้กำเนิดขึ้นมา

         เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิม พระองค์จึงประสงค์ที่จะชำระล้างเหล่ามวลมนุษยชาติให้สิ้นซาก โดยทรงบันดาลให้ฝนตกหนักต่อเนื่องถึงสี่สิบวันสี่สิบคืน เกิดน้ำท่วมโลกยาวนานถึงหนึ่งร้อยห้าสิบวัน จนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ล้มหายตายจากไม่เหลือเลยแม้แต่ชีวิตเดียว

         “ก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลกขึ้น ชายที่ชื่อโนอาห์ผู้ซึ่งมีจิตใจดีและเป็นคนดีที่พระเจ้าไว้วางใจ ได้รับมอบหมายจากพระองค์โดยตรง ให้เขาและครอบครัวสร้างเรือจากไม้สนโกเฟอร์ขึ้นมาลำหนึ่ง”

         วิวัฒน์หยุดค้างคำเพื่อคิดหน่อยหนึ่ง เป็นการทบทวนยืนยันรายละเอียดในหัวให้แน่ใจก่อนที่จะพูดต่อไป

         “เป็นเรือขนาดใหญ่มาก ๆ ยาวสามร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก ความสูงทั้งสามชั้นรวมกันราว ๆ สามสิบศอก”

         หากแปลงเป็นความยาวในระบบเมตริก ซึ่งเป็นระบบสากลที่แพร่หลายและนิยมใช้กันในปัจจุบัน เรือโบราณลำนี้จะมีขนาดโดยประมาณคือ ยาวหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดเมตร กว้างยี่สิบสามเมตร และสูงสิบสี่เมตร

         เปรียบเทียบกับเรือชื่อดังอย่างไททานิคแล้ว เรือโนอาห์จะยาวประมาณครึ่งหนึ่ง และแคบกว่าเพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นเรือซึ่งประกอบขึ้นจากไม้ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าใครจะจินตนาการถึงจริง ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่