ทองคำ…ขาขึ้นรอบใหญ่ อานิสงส์จากเฟดลดดอกเบี้ยและสงคราม

เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.prachachat.net/finance/news-1538020#google_vignette

ในปีนี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 12% แตะระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาทองคำในประเทศไทยแตะ 40,000 บาท สร้างจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่เช่นกัน ด้วยแรงสนับสนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในระยะนี้

ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ทองคำพุ่งติดจรวด คือการลดดอกเบี้ยของเฟด (ธนาคารกลางสหรัฐ) ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ “ทุกรอบการลดดอกเบี้ยของเฟด ผลักดันให้ทองคำพุ่งแรงครั้งใหญ่เสมอ”

โดยการลดดอกเบี้ยในช่วงปี 2000-2003 ราคาทองคำพุ่งราว 70% ส่วนการลดดอกเบี้ยช่วงปี 2007-2011 ราคาทองคำพุ่ง 197% และล่าสุดการลดดอกเบี้ยช่วงปี 2019-2020 ทำให้ราคาทองพุ่ง 75%

อีกทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและขยายวงกว้างออกไป จากสงครามอิสราเอล-ฮามาส และการที่อิสราเอลถล่มสถานทูตอิหร่านในซีเรีย ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่อง สนับสนุนราคาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะนี้

ด้านภาพรวมในระยะยาว กระแสค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อาจเสื่อมค่า (Dedollarisation) เป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันอุปสงค์แท้จริง (Real Demand) ต่อทองคำเพิ่มขึ้น ทำให้หลายประเทศกักตุนทองคำสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

โดยอุปสงค์ต่อทองคำในปี 2023 สูงถึง 4,899 ตัน เทียบกับ 4,741 ตัน ในปี 2022 และธนาคารกลางจีนคือธนาคารกลางที่ซื้อทองคำมากที่สุดในปี 2023 สูงถึง 225 ตัน ทำให้สำรองทองคำของจีนสูงถึง 2,235 ตันแล้ว ท่ามกลางความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลง จากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลากยาวนับตั้งแต่การล้มของเอเวอร์แกรนด์ในปี 2021 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจจีนต้องเผชิญกับทศวรรษที่หายไป (Lost Decade) ได้

ดังนั้น การพุ่งของทองคำในรอบนี้มีแนวโน้มจะยาวนานและแรงกว่าที่คาด ทองคำในตลาดโลกที่ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจเป็นแค่ทางผ่านไปสู่ระดับสูงถึง 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ก็เป็นได้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่