ตามหัวข้อกระทู้เลยค่ะ
เรากำลังเหนื่อยค่ะ ด้วยภาระหลายๆ อย่างในวัย 26
เหนื่อยกับครอบครัว สังคมเก่าในที่ใหม่ เรื่องหนี้ เรื่องงาน
เราเพิ่งบรรจุข้าราชการใหม่เมื่อต้นปี เงินเดือน 15,000
รับผิดชอบหนี้ 2.XX ล้าน (แบบไม่ยินยอมจะกู้กับครอบครัวแต่แรก เพราะรู้กำลังเงินของบ้านดี)
ปัจจุบันทำงานได้ 3 เดือน อยู่ไกลบ้าน ไกลแมว
งานไม่ยากในมุมมองเรา แต่หลายขั้นตอน ซ้ำซ้อน ช้าและรับผิดชอบอยู่คนเดียว ใครก็ช่วยไม่ได้
ทำงานเหมือนทำ if 16/8 ทำงาน 16 พักผ่อนรวมนอนหลับ 8 ชั่วโมง
ร้องไห้คิดถึงแมวทุกวัน บางเดือนทำ 6-7 วัน/อาทิตย์ ไม่ได้กลับบ้านไปชาร์จแบตกับแมวเลย
งานยุ่งมาก ยุ่งจนบางวันทำงานจนหายใจไม่ออกเลยทีเดียว เพราะมีทั้งงานราษฎร์ (คนอื่น) และงานหลวง
จะว่าโง่ก็ได้ค่ะ ที่เอางานอื่นมาสุมอีก แต่ไม่อยากแก้งานซ้ำซ้อนแล้วเสียเวลาตัวเองกว่าเดิม
คนในระบบนี้ทำงานแบบขอไปทีกันจริงๆ ดูดีแค่ตอนประเมินเท่านั้นอะ
เราย้ายไปทำงานต่างอำเภอ เคยรักษาซึมเศร้า 2 ครั้ง แต่ปัจจุบันให้แมวกับหนังสือบำบัด
พอห่างแมวเหลือแต่หนังสือ เกือบรับมือกับความกดดัน การปรับตัว ภาระหน้าที่ต่างๆ ไม่ไหว
ได้แต่นับวันรอเสาร์-อาทิตย์กลับบ้าน อาทิตย์ไหนไม่ได้กลับก็คือร้องไห้ ร้องแบบไม่อายใครเลย
แมวคือเซฟโซนเดียวของเรา เรารักครอบครัวนะ แต่เขาไม่ใช่เซฟโซน แมวต่างหากที่เป็นเหตุผลให้เรามีชีวิต
แต่เอามาอยู่ด้วยไม่ได้ กลัวน้องหาย แถมยังต้องเช่าหอพักอยู่ มีข้อจำกัดหลายอย่าง แม้จะคิดถึงพุงน้อง
ตอนนี้เลยได้แต่บ่นว่าเหนื่อย ให้ยังรู้ตัวว่าแค่เหนื่อยนะ แกเหนื่อยเฉยๆ
เหนื่อยที่ต้องมาเจอสังคมเก่าๆ ในที่ใหม่
พออยู่ไกลบ้าน+งานที่รับผิดชอบต้องขอความร่วมมือจากหลายฝ่าย
ต้องปรับตัวเข้ากับสังคม ที่เป็นสังคมวัตถุนิยม100% แต่ไม่ได้หาซื้อตามหรอก ไม่มีเงิน+งก5555
ช่วงแรกเจออะไรก็ไม่รู้ เหมือนเด็กน้อยเลย เช่น เพื่อนไม่ชอบต้องไม่ชอบด้วย
เจอคนเห็นแก่ตัว โยนงาน และแทงข้างหลังตั้งแต่ 2 อาทิตย์แรก
เจอคนที่ไม่ให้เกียรติในความตัวเรา ทั้งๆ ที่เราก็ให้เกียรติในปัจเจกบุคคลของเขา
เป็นการทำงานที่เหนื่อยมาก ตอนทำงานอยู่ด้วยผิด-ถูกต้องไหนไม่พูด พอหันหลังให้เท่านั้น...!!!
ทั้งๆ ที่เคยพูดตอนประชุมรับบุคลากรใหม่ ว่า มีอะไรสามารถพูดตรงๆ ได้ทุกอย่าง
แล้วสุดท้ายเรื่องพวกนี้จะกลับเข้าหูเรา...จนได้ยินคำว่าน้องคนนี้นิสัยไม่ได้รึเปล่า ได้แต่???
นอกจากนี้ยังมีการ Body Shaming ,Bully ,Harassment (คุกคาม), Gaslighting (ด้อยค่าคนอื่น)
ทั้ง 4 อย่างนี้รันทุกวงการเลยนะ โดยเฉพาะวงข้าราชการเนี่ย 555
คือคำว่า "
มีทุกยุคทุกสมัย" เอาทิ้งได้ไหม เราเปลี่ยนแปลงให้เกียรติกันหน่อยได้ไหมล่ะ 2024 แล้ว
คือกว่าจะเจอกลุ่มคนที่เข้ากับเราได้เล่นเอาเหนื่อยจนท้อ ถึงขั้นต้องขอพระแม่ลักษมีส่งบัดดี้มาให้สัก 2-3 คนเถอะ
ล่าสุดเพิ่งบอกพี่ที่ทำงานเองว่า การมีบัดดี้ดีๆ สักคนในที่ทำงานมันช่วยบรรเทาความเหนื่อยนะ แกก็บอกจะเป็นคนนั้นให้เอง
เราเพิ่งเคยเจอคนทัศนคติดีมาก สดใสมากจนอยู่ใกล้ๆ แล้วหายเหนื่อยขึ้นมาบ้างนะ
เหนื่อยที่เห็นยอดเงินแปปเดียวก็หายไป
เงินที่เคยเก็บเตรียมไว้ช่วงบรรจุ พอเจอตกเบิกคือหมดเกลี้ยง
ดีใจเล็กๆ นะคะที่เขาจะปรับเงินเดือนข้าราชการ ถึงบางคนจะคิดว่ามันไม่แฟร์ แต่เขาก็ทนมากันได้โดยไม่เรียกร้องเลยนะ
เราเจอใครหลายคน มักมีชุดความคิดว่า
เด็กบรรจุใหม่ ปลอดหนี้ ที่บ้านสปอย เดี๋ยวซื้อรถ ต้องถอยโทรศัพท์รุ่นเรือธง บลาๆ
ก็แล้วแต่คนเนอะ มีคนชวนกู้สหกรณ์เหมือนกัน จะได้มาใช้จุนเจือตัวเอง (ไว้กินไว้เที่ยวกับพวกเขานั่นแหละ)
แต่ปัจจุบันมีที่บ่นตั้งแต่ต้น เป็นหนี้ 80% ของรายได้ ยังต้องให้พ่อแม่เลี้ยงอยู่
คิดว่าถ้าบ้าจี้กู้ตาม หายนะแน่ กู้มาแล้วโปะไม่ได้แถมยังทำให้เงินเดือนหายไปอีก
ช่วงก่อนตกเบิกจะออก เรามีชุดความคิดที่ว่าถ้าเงินไม่ออก เราต้องออกนะ เพราะอยู่ไม่ไหวจริงๆ
ไหนจะหนี้ ค่าที่พัก ค่าอยู่ค่ากิน ประเด็นเลยคือ
หนี้ทั้งหมด ถ้าค้างชำระขึ้นมาดอกบานแน่
- ค่างวดชำระตกอยู่ 12,000/เดือน
- ค่าที่พัก 3,200/เดือน
- ค่าน้ำไฟ 5-800/เดือน
- ค่าโทรศัพท์ 350/เดือน
- ค่าน้ำมันรถ แง้นๆ ไปทำงาน 120/ด. เพราะอยู่หอใกล้ๆ แต่เดินไม่ไหว เส้นเปลี่ยวเกิน
- ค่าชุดอุดหนุนหน่วยงาน (บังคับ) 280/ด. ที่ผ่านมาโดน 2 เดือน
อันนี้คือค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของเราจริงๆ แทบไม่ได้ใช้ทำอะไรเลย
ยังไม่รวมค่ากินก็ -1XXX แล้ว
เคยเข้าไปคุยกับธนาคารแต่ผลปรากฏว่า ดอกยิ่งงอกเลยกัดฟันส่งรอทำรีไฟแนนซ์ดีกว่า
สิ้นเดือนมีนาที่ผ่านมา เพิ่งขอทำเรื่องย้ายเข้าบ้านหลวง เพราะแบกความสิ้นหวังนี้ไม่ไหว
มีครั้งหนึ่งหม่อมแม่เคยบอกให้เรา โอนเงินให้พ่อหน่อย เขาจะได้มีกำลังใจทำงาน
เราน้ำตาแตก ลูกติดลบเป็นพัน ยังต้องขอเงินกิน จะเอาจากไหนส่งให้?
เราคุยกับเขาตรงๆ แบบประโยคข้างต้นเลย เพราะสุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องขออยู่ดี
คือเราเจ็บใจที่สุดที่พ่อแม่มองเราสบาย เราไม่ต้องดิ้นรน เราไม่ต้องเครียด มีเงินเหลือๆ คือมันจุกมาก
แต่จะว่าเขาเหนื่อยทำงานส่งเราเรียนแทบตาย เราก็มีข้อโต้เหมือนกันว่า
ตั้งแต่เข้าระบบการศึกษาก็ต้องเรียนให้ได้ทุนมาส่งตัวเองเรียน น่าจะช่วงมหาลัยที่เขาส่งเสียเอง
น้อยใจเหมือนกันนะว่า เคยไปเรียนต่างประเทศแต่กลับทำงานได้เงินเดือนเท่านี้ เห้อ 555
แต่ข้อดีมันคงเป็น จะได้มีสวัสดิการไว้ให้พ่อแม่ตอนเกษียณ พี่มีข้าราชการค้ำทำงาน
อยากเจียดเงินไว้ลงทุนบ้าง ออมทองบ้าง ตอนนี้ออมกำลังชีวิตไว้วันต่อวันดีกว่า
ส่วนสาเหตุของการตั้งกระทู้ ไม่วายเป็นเรื่องเงิน
คือ เมื่อวานแม่ก็หาเรื่องจะ "หาเงิน" มาทำกรงแมวอีกแล้ว
ขอเท้าความก่อนว่า แมวตัวนี้เป็นแมวจรที่โรงพยาบาล
แต่ต้องกำจัดด้วยเรื่องโรค ความสะอาด+น้องโดนกัดจนหน้าเละเลยเอามารักษาที่รพ.สัตว์และทำหมันด้วย
หลังจากนั้นเพื่อนแม่ก็รับเลี้ยง ได้ 6 เดือนก็เอามาฝากบ้านเราเพราะปัญหาหลายๆ อย่าง
ตอนนี้อีก 3-4 เดือนจะครบ 1 ปีแล้ว แต่ยังเข้ากับแมวตัวอื่นไม่ได้ซ่อนตัวอยู่แต่ใต้ตู้
ร้องออกข้างนอกทั้งวันทั้งคืน พอปล่อยออกไปก็ไปกัดเขาหมดค่ารักษาอีก
(จริงๆ มีแมว10ตัว เป็นแมวจร แมวกำพร้าทำหมันแล้วทั้งหมด ระบบปิด 100%และทั้งหมดเข้ากันได้ดี)
เราได้แต่คิดด้วยความเครียดจนคลื่นไส้ว่า คนเลี้ยงคนเก่าเขาควรรู้ปัญหานี้สิ ต้องช่วยกันหาทางแก้
ใช้คำว่าฝากเลี้ยงแต่มาดูน้องรวม 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดเพิ่งโดนน้องตบไปเพราะแมวมันไม่จำแล้ว
แถมแมวในบ้านเราก็กลัวลูกเขาจนเตลิด เขาเจอปัญหาครอบครัวอยู่ครอบครัวเดียวเหรอ
เราว่ามันไม่แฟร์กับเรานะ
ซึ่งปัญหาแมวตัวนี้ยังคาอยู่ จะไปรับแมวเพื่อนอีกตัวมาเพิ่มอีกแล้ว ความเครียดในบ้านก็เพิ่มทวีคุณ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น
เราในฐานะลูกจะบ่นหรือแนะนำไม่ได้เลย ทะเลาะกันใหญ่โต
ด้วยความที่เราโตมากับครอบครัวนี้ จะไม่รู้ฐานะทางการเงินในบ้านเลยเหรอ
รู้ว่าพ่อแม่ใจดี เวลาช่วยเหลือแล้วโดนหักหลังก็บ่อย
คือเคยอยากจับเข่าคุยเรื่องทั้งหมดในบ้าน โดยเฉพาะช่วยกันวางแผนเงินแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา
กลายเป็นคนทำลายบรรยากาศในบ้านซะงั้น
ทุกคนต่างหันหน้าหนี เคลียร์เรื่องเงินของตัวเองที่ยิ่งแก้ยิ่งเพิ่ม
ก็เลยได้แต่รับรู้ว่าหนี้กำลังจะเพิ่มนะ ส่วนเงินค่างวดที่ต้องช่วยกันส่งก็กลายเป็นส่งคนเดียวเหมือนเดิม
แม้อีก 2 เดือน จะเปลี่ยนแปลงยอด เป็นยอดที่ต้องแบ่งชำระ 2 คนจริงๆ ไม่อย่างงั้นเงินเดือนทั้งเดือนสลายแน่ๆ
จริงๆ มันมีอีก 108 เรื่องที่อยากบ่น เหนื่อยค่ะ บ่นกับใครก็ไม่ได้
เราไม่มีแฟน คุยกับใครก็ได้แต่ผ่านๆ Deep talk ไม่ได้
มีข้อเปรียบเปรยตลอด ประมาณว่า "แค่นี้เอง ของ...หนักกว่า"
"ยังไม่มีลูกมีครอบครัวเลย เอาอะไรมาเครียด"
"มันเป็นแบบนี้ทุกที่แหละ"
คือ...เฮ้อ ถ้าสวนกลับมาแล้วมีข้อคิดดีๆ ก็ว่าไปอย่าง
เรารู้ว่า ทุกคนต่างโฟกัสปัญหาของตัวเองเท่านั้น
เราเก็บๆ ความเครียดไว้คนเดียวมาสักพัก
คอยให้กำลังใจตัวเองในกระจกทุกวัน
ขอบคุณตัวเองประจำที่นึกได้
โอบกอดตัวเองแล้วโอ๋เอ๋ตัวเองเท่านั้น
แก้เครียดด้วยการซื้อหนังสือมาดม หาระบายสี เขียนลงกระดาษ
สุดท้ายตอนนี้ทนไม่ไหว ขอใครสักคนช่วยแชร์หรือแนะนำ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้ว่า เออ แกไม่โดดเดี่ยว 555
ขอบคุณค่ะ โล่งขึ้นเยอะ
*แก้ไขนะคะ เผื่ออ่านง่ายขึ้น ☺️
เหนื่อยของแต่ละคนเป็นยังไงบ้างคะ
เรากำลังเหนื่อยค่ะ ด้วยภาระหลายๆ อย่างในวัย 26
เหนื่อยกับครอบครัว สังคมเก่าในที่ใหม่ เรื่องหนี้ เรื่องงาน
เราเพิ่งบรรจุข้าราชการใหม่เมื่อต้นปี เงินเดือน 15,000
รับผิดชอบหนี้ 2.XX ล้าน (แบบไม่ยินยอมจะกู้กับครอบครัวแต่แรก เพราะรู้กำลังเงินของบ้านดี)
ปัจจุบันทำงานได้ 3 เดือน อยู่ไกลบ้าน ไกลแมว
งานไม่ยากในมุมมองเรา แต่หลายขั้นตอน ซ้ำซ้อน ช้าและรับผิดชอบอยู่คนเดียว ใครก็ช่วยไม่ได้
ทำงานเหมือนทำ if 16/8 ทำงาน 16 พักผ่อนรวมนอนหลับ 8 ชั่วโมง
ร้องไห้คิดถึงแมวทุกวัน บางเดือนทำ 6-7 วัน/อาทิตย์ ไม่ได้กลับบ้านไปชาร์จแบตกับแมวเลย
งานยุ่งมาก ยุ่งจนบางวันทำงานจนหายใจไม่ออกเลยทีเดียว เพราะมีทั้งงานราษฎร์ (คนอื่น) และงานหลวง
จะว่าโง่ก็ได้ค่ะ ที่เอางานอื่นมาสุมอีก แต่ไม่อยากแก้งานซ้ำซ้อนแล้วเสียเวลาตัวเองกว่าเดิม
คนในระบบนี้ทำงานแบบขอไปทีกันจริงๆ ดูดีแค่ตอนประเมินเท่านั้นอะ
เราย้ายไปทำงานต่างอำเภอ เคยรักษาซึมเศร้า 2 ครั้ง แต่ปัจจุบันให้แมวกับหนังสือบำบัด
พอห่างแมวเหลือแต่หนังสือ เกือบรับมือกับความกดดัน การปรับตัว ภาระหน้าที่ต่างๆ ไม่ไหว
ได้แต่นับวันรอเสาร์-อาทิตย์กลับบ้าน อาทิตย์ไหนไม่ได้กลับก็คือร้องไห้ ร้องแบบไม่อายใครเลย
แมวคือเซฟโซนเดียวของเรา เรารักครอบครัวนะ แต่เขาไม่ใช่เซฟโซน แมวต่างหากที่เป็นเหตุผลให้เรามีชีวิต
แต่เอามาอยู่ด้วยไม่ได้ กลัวน้องหาย แถมยังต้องเช่าหอพักอยู่ มีข้อจำกัดหลายอย่าง แม้จะคิดถึงพุงน้อง
ตอนนี้เลยได้แต่บ่นว่าเหนื่อย ให้ยังรู้ตัวว่าแค่เหนื่อยนะ แกเหนื่อยเฉยๆ
เหนื่อยที่ต้องมาเจอสังคมเก่าๆ ในที่ใหม่
พออยู่ไกลบ้าน+งานที่รับผิดชอบต้องขอความร่วมมือจากหลายฝ่าย
ต้องปรับตัวเข้ากับสังคม ที่เป็นสังคมวัตถุนิยม100% แต่ไม่ได้หาซื้อตามหรอก ไม่มีเงิน+งก5555
ช่วงแรกเจออะไรก็ไม่รู้ เหมือนเด็กน้อยเลย เช่น เพื่อนไม่ชอบต้องไม่ชอบด้วย
เจอคนเห็นแก่ตัว โยนงาน และแทงข้างหลังตั้งแต่ 2 อาทิตย์แรก
เจอคนที่ไม่ให้เกียรติในความตัวเรา ทั้งๆ ที่เราก็ให้เกียรติในปัจเจกบุคคลของเขา
เป็นการทำงานที่เหนื่อยมาก ตอนทำงานอยู่ด้วยผิด-ถูกต้องไหนไม่พูด พอหันหลังให้เท่านั้น...!!!
ทั้งๆ ที่เคยพูดตอนประชุมรับบุคลากรใหม่ ว่า มีอะไรสามารถพูดตรงๆ ได้ทุกอย่าง
แล้วสุดท้ายเรื่องพวกนี้จะกลับเข้าหูเรา...จนได้ยินคำว่าน้องคนนี้นิสัยไม่ได้รึเปล่า ได้แต่???
นอกจากนี้ยังมีการ Body Shaming ,Bully ,Harassment (คุกคาม), Gaslighting (ด้อยค่าคนอื่น)
ทั้ง 4 อย่างนี้รันทุกวงการเลยนะ โดยเฉพาะวงข้าราชการเนี่ย 555
คือคำว่า "มีทุกยุคทุกสมัย" เอาทิ้งได้ไหม เราเปลี่ยนแปลงให้เกียรติกันหน่อยได้ไหมล่ะ 2024 แล้ว
คือกว่าจะเจอกลุ่มคนที่เข้ากับเราได้เล่นเอาเหนื่อยจนท้อ ถึงขั้นต้องขอพระแม่ลักษมีส่งบัดดี้มาให้สัก 2-3 คนเถอะ
ล่าสุดเพิ่งบอกพี่ที่ทำงานเองว่า การมีบัดดี้ดีๆ สักคนในที่ทำงานมันช่วยบรรเทาความเหนื่อยนะ แกก็บอกจะเป็นคนนั้นให้เอง
เราเพิ่งเคยเจอคนทัศนคติดีมาก สดใสมากจนอยู่ใกล้ๆ แล้วหายเหนื่อยขึ้นมาบ้างนะ
เหนื่อยที่เห็นยอดเงินแปปเดียวก็หายไป
เงินที่เคยเก็บเตรียมไว้ช่วงบรรจุ พอเจอตกเบิกคือหมดเกลี้ยง
ดีใจเล็กๆ นะคะที่เขาจะปรับเงินเดือนข้าราชการ ถึงบางคนจะคิดว่ามันไม่แฟร์ แต่เขาก็ทนมากันได้โดยไม่เรียกร้องเลยนะ
เราเจอใครหลายคน มักมีชุดความคิดว่าเด็กบรรจุใหม่ ปลอดหนี้ ที่บ้านสปอย เดี๋ยวซื้อรถ ต้องถอยโทรศัพท์รุ่นเรือธง บลาๆ
ก็แล้วแต่คนเนอะ มีคนชวนกู้สหกรณ์เหมือนกัน จะได้มาใช้จุนเจือตัวเอง (ไว้กินไว้เที่ยวกับพวกเขานั่นแหละ)
แต่ปัจจุบันมีที่บ่นตั้งแต่ต้น เป็นหนี้ 80% ของรายได้ ยังต้องให้พ่อแม่เลี้ยงอยู่
คิดว่าถ้าบ้าจี้กู้ตาม หายนะแน่ กู้มาแล้วโปะไม่ได้แถมยังทำให้เงินเดือนหายไปอีก
ช่วงก่อนตกเบิกจะออก เรามีชุดความคิดที่ว่าถ้าเงินไม่ออก เราต้องออกนะ เพราะอยู่ไม่ไหวจริงๆ
ไหนจะหนี้ ค่าที่พัก ค่าอยู่ค่ากิน ประเด็นเลยคือ หนี้ทั้งหมด ถ้าค้างชำระขึ้นมาดอกบานแน่
- ค่างวดชำระตกอยู่ 12,000/เดือน
- ค่าที่พัก 3,200/เดือน
- ค่าน้ำไฟ 5-800/เดือน
- ค่าโทรศัพท์ 350/เดือน
- ค่าน้ำมันรถ แง้นๆ ไปทำงาน 120/ด. เพราะอยู่หอใกล้ๆ แต่เดินไม่ไหว เส้นเปลี่ยวเกิน
- ค่าชุดอุดหนุนหน่วยงาน (บังคับ) 280/ด. ที่ผ่านมาโดน 2 เดือน
อันนี้คือค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของเราจริงๆ แทบไม่ได้ใช้ทำอะไรเลย
ยังไม่รวมค่ากินก็ -1XXX แล้ว
เคยเข้าไปคุยกับธนาคารแต่ผลปรากฏว่า ดอกยิ่งงอกเลยกัดฟันส่งรอทำรีไฟแนนซ์ดีกว่า
สิ้นเดือนมีนาที่ผ่านมา เพิ่งขอทำเรื่องย้ายเข้าบ้านหลวง เพราะแบกความสิ้นหวังนี้ไม่ไหว
มีครั้งหนึ่งหม่อมแม่เคยบอกให้เรา โอนเงินให้พ่อหน่อย เขาจะได้มีกำลังใจทำงาน
เราน้ำตาแตก ลูกติดลบเป็นพัน ยังต้องขอเงินกิน จะเอาจากไหนส่งให้?
เราคุยกับเขาตรงๆ แบบประโยคข้างต้นเลย เพราะสุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องขออยู่ดี
คือเราเจ็บใจที่สุดที่พ่อแม่มองเราสบาย เราไม่ต้องดิ้นรน เราไม่ต้องเครียด มีเงินเหลือๆ คือมันจุกมาก
แต่จะว่าเขาเหนื่อยทำงานส่งเราเรียนแทบตาย เราก็มีข้อโต้เหมือนกันว่า
ตั้งแต่เข้าระบบการศึกษาก็ต้องเรียนให้ได้ทุนมาส่งตัวเองเรียน น่าจะช่วงมหาลัยที่เขาส่งเสียเอง
น้อยใจเหมือนกันนะว่า เคยไปเรียนต่างประเทศแต่กลับทำงานได้เงินเดือนเท่านี้ เห้อ 555
แต่ข้อดีมันคงเป็น จะได้มีสวัสดิการไว้ให้พ่อแม่ตอนเกษียณ พี่มีข้าราชการค้ำทำงาน
อยากเจียดเงินไว้ลงทุนบ้าง ออมทองบ้าง ตอนนี้ออมกำลังชีวิตไว้วันต่อวันดีกว่า
ส่วนสาเหตุของการตั้งกระทู้ ไม่วายเป็นเรื่องเงิน
คือ เมื่อวานแม่ก็หาเรื่องจะ "หาเงิน" มาทำกรงแมวอีกแล้ว
ขอเท้าความก่อนว่า แมวตัวนี้เป็นแมวจรที่โรงพยาบาล
แต่ต้องกำจัดด้วยเรื่องโรค ความสะอาด+น้องโดนกัดจนหน้าเละเลยเอามารักษาที่รพ.สัตว์และทำหมันด้วย
หลังจากนั้นเพื่อนแม่ก็รับเลี้ยง ได้ 6 เดือนก็เอามาฝากบ้านเราเพราะปัญหาหลายๆ อย่าง
ตอนนี้อีก 3-4 เดือนจะครบ 1 ปีแล้ว แต่ยังเข้ากับแมวตัวอื่นไม่ได้ซ่อนตัวอยู่แต่ใต้ตู้
ร้องออกข้างนอกทั้งวันทั้งคืน พอปล่อยออกไปก็ไปกัดเขาหมดค่ารักษาอีก
(จริงๆ มีแมว10ตัว เป็นแมวจร แมวกำพร้าทำหมันแล้วทั้งหมด ระบบปิด 100%และทั้งหมดเข้ากันได้ดี)
เราได้แต่คิดด้วยความเครียดจนคลื่นไส้ว่า คนเลี้ยงคนเก่าเขาควรรู้ปัญหานี้สิ ต้องช่วยกันหาทางแก้
ใช้คำว่าฝากเลี้ยงแต่มาดูน้องรวม 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดเพิ่งโดนน้องตบไปเพราะแมวมันไม่จำแล้ว
แถมแมวในบ้านเราก็กลัวลูกเขาจนเตลิด เขาเจอปัญหาครอบครัวอยู่ครอบครัวเดียวเหรอ
เราว่ามันไม่แฟร์กับเรานะ
ซึ่งปัญหาแมวตัวนี้ยังคาอยู่ จะไปรับแมวเพื่อนอีกตัวมาเพิ่มอีกแล้ว ความเครียดในบ้านก็เพิ่มทวีคุณ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น
เราในฐานะลูกจะบ่นหรือแนะนำไม่ได้เลย ทะเลาะกันใหญ่โต
ด้วยความที่เราโตมากับครอบครัวนี้ จะไม่รู้ฐานะทางการเงินในบ้านเลยเหรอ
รู้ว่าพ่อแม่ใจดี เวลาช่วยเหลือแล้วโดนหักหลังก็บ่อย
คือเคยอยากจับเข่าคุยเรื่องทั้งหมดในบ้าน โดยเฉพาะช่วยกันวางแผนเงินแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา
กลายเป็นคนทำลายบรรยากาศในบ้านซะงั้น
ทุกคนต่างหันหน้าหนี เคลียร์เรื่องเงินของตัวเองที่ยิ่งแก้ยิ่งเพิ่ม
ก็เลยได้แต่รับรู้ว่าหนี้กำลังจะเพิ่มนะ ส่วนเงินค่างวดที่ต้องช่วยกันส่งก็กลายเป็นส่งคนเดียวเหมือนเดิม
แม้อีก 2 เดือน จะเปลี่ยนแปลงยอด เป็นยอดที่ต้องแบ่งชำระ 2 คนจริงๆ ไม่อย่างงั้นเงินเดือนทั้งเดือนสลายแน่ๆ
จริงๆ มันมีอีก 108 เรื่องที่อยากบ่น เหนื่อยค่ะ บ่นกับใครก็ไม่ได้
เราไม่มีแฟน คุยกับใครก็ได้แต่ผ่านๆ Deep talk ไม่ได้
มีข้อเปรียบเปรยตลอด ประมาณว่า "แค่นี้เอง ของ...หนักกว่า"
"ยังไม่มีลูกมีครอบครัวเลย เอาอะไรมาเครียด"
"มันเป็นแบบนี้ทุกที่แหละ"
คือ...เฮ้อ ถ้าสวนกลับมาแล้วมีข้อคิดดีๆ ก็ว่าไปอย่าง
เรารู้ว่า ทุกคนต่างโฟกัสปัญหาของตัวเองเท่านั้น
เราเก็บๆ ความเครียดไว้คนเดียวมาสักพัก
คอยให้กำลังใจตัวเองในกระจกทุกวัน
ขอบคุณตัวเองประจำที่นึกได้
โอบกอดตัวเองแล้วโอ๋เอ๋ตัวเองเท่านั้น
แก้เครียดด้วยการซื้อหนังสือมาดม หาระบายสี เขียนลงกระดาษ
สุดท้ายตอนนี้ทนไม่ไหว ขอใครสักคนช่วยแชร์หรือแนะนำ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้ว่า เออ แกไม่โดดเดี่ยว 555
ขอบคุณค่ะ โล่งขึ้นเยอะ
*แก้ไขนะคะ เผื่ออ่านง่ายขึ้น ☺️