เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000027607
“ณเดชน์” เปิดใจเล่นละครเวทีครั้งแรก ตื่นเต้นได้ทำโปรเจกต์ในฝัน ตั้งใจทำการบ้านหนักเพื่อ “ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล” เริ่มซ้อมกับนักแสดงท่านอื่นแล้ว ชม “แก้ม กุลกรณ์พัชร์” เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีไม่กดดัน แรกๆ มีแอบคิดจะไหวไหม ถ้าทำอะไรเสียหาย อายเขาแน่นอน
กำลังซุ่มซ้อมกันอย่างหนักเลยทีเดียว สำหรับละครเวทีฟอร์มยักษ์ “ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล” ล่าสุดเมื่อวานนี้ (28 มี.ค.) มีโอกาสไปบุกห้องซ้อม ที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ ก็เลยขอดึงตัวพระเอกของเรื่อง อย่างหนุ่ม “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่รับบท “ชารีฟ” มานั่งคุยเปิดใจ หลังได้ชิมลางเล่นละครเวทีครั้งแรกในชีวิต โดยงานนี้เจ้าตัวก็เปิดหมดเปลือก ว่าเป็นโปรเจกต์ในฝันที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็ได้มีโอกาสมาทำแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ยิ่งใกล้วันก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ แต่เลือกที่จะไม่กดดันตัวเอง
“ตอนนี้ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ จริงๆ ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสมาเรียนร้องเพลง และซ้อมร้องเพลง ทั้งกับนักแสดงที่อยู่ในเรื่องด้วย และอาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งได้มีโอกาสเข้ากับพี่ๆ อองซอมเบิล (Ensemble) กับนักแสดงร่วมทุกคน ก็ดีครับ สนุกมาก เพราะเราได้รับพลังจากเขาด้วย แล้วพี่ผู้ช่วยผู้กำกับ เขาก็มาแนะนำ ว่าทุกอย่างเราต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่หมด และมันก็มีการรับส่งกัน ระหว่างตัวละครแต่ละตัว ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ สนุกมาก ตื่นเต้นมาก ตอนนี้ผมยังไม่ได้เริ่มซ้อมแบบเข้าบท หรือว่าเข้าเป็นซีนไป ผมยังอยู่ในช่วงที่ว่า เรียนรู้วิธีการร้องแบบละครเวที อาจจะต้องมีการโปรเจกต์บ้างในบางเพลง หรือว่าไปฟังคำแนะนำจากพี่ๆ กูรู คุณครูทั้งหลาย
สมมติเป็นฉากที่ต้องวิ่งหรือแอ็กชั่น เราก็ต้องบาลานซ์ระหว่างเรื่องของการโฟกัสที่เสียง และอารมณ์ของตัวละคร มันก็จะมีดีเทลค่อนข้างเยอะ อย่างละครมันก็ไม่มีการร้องเพลง ส่วนใหญ่ก็จะพูดเป็นบทหรือแอ็กชั่น นั่นก็จะเป็นบท มันก็จะไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ แต่พอเป็นการร้องเพลงมันก็ต้องมีสติมากขึ้น ความแตกต่างคือละครเวทีไม่มีเทคครับ รวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเลย อาจจะเป็นความเคยชิน ว่ามันจะเป็นยังไง ผมเองก็ไม่เคยรับรู้ แต่ว่าเดี๋ยวจะมีโอกาส ประมาณต้นเดือนนี้ ก็จะได้ซ้อมกันแบบจริงจังมากขึ้น”
เริ่มร้องเพลงจริงจังแล้ว ทำการบ้านหนัก ซ้อมร้อง และวอร์มเสียงตลอด เพราะได้ร้องประมาณ 20 เพลง
“คือตอนนี้เริ่มร้องจริงจังแล้ว ทุกๆ วันที่เข้ามา ก็จะไล่เพลงตั้งแต่องค์หนึ่ง พักเบรก แล้วก็องค์สองสลับกันไป ถ้ามีพี่ๆ นักแสดงท่านอื่นมาด้วย ก็จะมีเข้าคู่กัน ร้องคู่กัน ก็จะมีการเรียนรู้ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในเรื่องของการหายใจ คือส่วนใหญ่แล้ว ทางคุณครูเขาก็จะสอนให้เราเข้าใจเทคนิคประมาณหนึ่ง แต่มันอยู่ที่ว่าเรากลับบ้านไป เราทำการบ้านหรือเปล่า เราวอร์มเสียงหรือเปล่า เรายังเตรียมตัวกลับอุปกรณ์ในร่างกายของเราหรือเปล่า ถ้าลืมเมื่อไหร่ จากที่เราซ้อมบ่อยๆ ทุกวัน อาจจะต้องกลับมาเหลือศูนย์ แต่ถ้าเราพยายามที่จะรักษามันไปเรื่อยๆ การที่จะเข้ามาแบบเสียงพร้อม ร่างกายพร้อม กระบังลมพร้อม มันจะง่ายกว่า
คืออยู่ที่ว่าผมจะแบ่งเวลาไปซ้อมร้องมากขนาดไหน ยิ่งร้องมากขึ้น เราก็ยิ่งเข้าใจเพลงมากขึ้น พอเข้าใจเพลงมากขึ้น ฟีลลิ่งมันได้ ต่อไปมันก็จะเป็นเรื่องของลูกเล่นในการร้องเพลงแล้ว ว่าประโยคนี้ขอแบบนี้ อันนี้ขอยืดหน่อย อันนี้ขอสั้นๆ ตรงนี้ต้องมีแบ่งวรรคหายใจตรงนี้ เพื่อที่จะลากเสียงให้ยาว ซึ่งดีเทลมันก็ค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าซ้อมบ่อยๆ ก็คิดว่าน่าจะสบาย
ถามว่าร้องกี่เพลง ผมจำไม่ได้ น่าจะประมาณ 20 เพลงมั้งครับ ก็มีกับคนอื่นด้วยนะครับ ไม่ใช่ของเราคนเดียวทั้งหมด ก็จะมีพี่บอมกับครูแหม่ม ที่คอยประกบผม จะถูกพี่บอยส่งมาเรียนร้องเพลงเป็นคนแรก ก่อนที่นักแสดงคนอื่นจะเริ่ม เพราะว่าหลายๆ คนก็มีประสบการณ์แล้ว แต่ว่าผมเองยังไม่ค่อยมี ก็จะถูกส่งมาเรียนก่อน ทุกคนก็ใจเย็นครับ เขาก็เข้าใจว่าเราอาจจะมือใหม่ ก็ค่อยๆ ปรับ”
ยากที่สุดคือการ Hit Note คิดว่าแตะถึงเสียงสูงแล้วแต่จริงๆ ยังไม่ใช่
“เรื่องของการ Hit Note ครับ มันจะเป็นเรื่องของประสาทสัมผัสมากกว่า ฟังเสียงเปียโนแล้วเราคิดว่าเราร้องสูงแล้ว โดนโน้ตตัวนี้แล้วแหละ แต่จริงๆ ครูบอกว่ายังไม่ใช่ มันยังต่ำอยู่ คือถ้ามันได้มันก็จะเพอร์เฟกต์ แต่ถ้าไม่ได้บางทีอื่นเขาก็ไม่รู้หรอก (หัวเราะ) เพราะผมเองบางทีก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่ยังเพี้ยนอยู่เหรอครับ บางทีเราสนุกร้องเกินไป ฟีลลิ่งอินเกินไป จนทำให้ความสมบูรณ์แบบในการร้องอาจจะหายไป แต่ถ้าซ้อมบ่อยๆ ก็ได้ ตอนนี้ก็ซ้อม พฤหัส - อาทิตย์ ครับ ตอนนี้ถ่ายหนังธี่หยด จบไปพาร์ตหนึ่งแล้ว แล้วก็เทคิวมาให้ละครเวที หลังจากนี้ก็ยาวไปเลยจนเดือนสิงหาคม”
ซ้อมหนักอาทิตย์ละ 4 วัน แต่ไม่มีผลกระทบกับงานอื่นๆ
“ไม่ครับ เดี๋ยวละครก็ใกล้จะปิดแล้ว เดี๋ยวมันก็จะสบายตัว แต่จริงๆ ซ้อมก็ไม่ได้นัดทั้งวัน อาจจะมีเลิก 4 ทุ่มบ้าง ผมว่ามันก็โอเค อีกอย่างเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำ มันก็เลยไม่รู้สึกว่าต้องมาซ้อมอีกแล้ว เหนื่อยจังเลย มันเป็นความรู้สึกที่กระหายที่อยากจะซ้อมมากกว่า มีไฟ แล้วยิ่งมาเจอกับพี่ๆ ทุกคน เราร๊ขว่าเราเป็นน้องใหม่ เราต้องเรียนรู้จากเขาเยอะ”
บอกแรกๆ มีคิดว่าจะไหวไหม เพราะการร้องไม่เหมือนตอนร้องในอีเวนต์เลย
“แรกๆ ที่เริ่มร้องเพลง รู้สึกว่าทำไมมันไม่เหมือนตอนเราร้องในงานอีเวนต์เลยวะ (หัวเราะ) มันไม่เหมือนกันเลย เรามั่นใจว่าเราร้องได้ ตอนเราร้องในอีเวนต์ เราร้องเพลงประกอบละคร เรารู้สึกว่าเราก็ร้องได้แล้วนะ แต่พอมาเข้าคลาสจริงๆ คนละเรื่องเลย ตอนแรกๆ ก็แอบแบบโอ้ย จะไหวเปล่าวะ คือคิดถึงการพูดบทละครมากเลย แต่ว่าพอเป็นมิวสิคัลเราก็ต้องทำให้ได้ แต่โดยรวมผ่านมา 2 เดือนในการฝึกซ้อมร้องเพลง ก็ดีครับ เริ่มเข้าใจ ร่างกายเริ่มพร้อมแล้ว ได้สกิลใหม่ในเรื่องของการร้องเพลงมาแล้ว ก็มีแต่คนบอกครับ ว่าถ้ามาเล่นละครเวทีที่เป็นมิวสิคัล ได้เรียนร้องเพลง ต่อไปก็ร้องเพลงสบายแล้ว”
พอคัตไม่ได้ ก็เลยต้องซ้อมจนจำให้ได้
“มันน่าจะมีการซ้อมจนเราจำได้แล้ว คือพอมันจำบทได้ ทุกอย่างมันจะจำได้ไปโดยปริยายเอง เรื่องร้องเพี้ยนไปว่ากันอีกทีนะ หรือลืมเนื้อ ผมเป็นบ่อย แต่จะไม่ทำให้เกิดขึ้น คือเรื่องบทผมมั่นใจว่าน่าจะจำได้ แต่ว่าสิ่งที่พี่บอย ถกลเกียรติ เตือน ก็คืออย่ารู้ก่อนนะ พอมันเล่นบ่อยๆ เล่นชิน ผ่านไปสัก 10 รอบ นักแสดงจะเริ่มไหลไปเอง ไปเกินจนรู้ทุกอย่างไปแล้ว แล้วมันจะไม่สดใหม่”
เริ่มซ้อมบท “ชารีฟ” แล้ว แต่ยังไม่ได้ซึมซับเป็นตัวละครขนาดนั้น
“มีครับมี จริงๆ ระหว่างที่ร้องเพลง เราจะพูดบทก่อน เพื่อให้เข้าใจสภาวะอารมณ์ ก่อนหน้าที่จะร้อง จะทำวิธีนี้ ถามว่าบทชารีฟ เริ่มซึมซับในตัวผมหรือยัง คือเดี๋ยวจะต้องมี read to ก่อน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง แล้วเดี๋ยวจะต้องมาซ้อมก่อน”
ดีใจได้เจอ “มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์” ผู้รับบท “ชารีฟ” เวอร์ชั่นก่อน
“พี่มอสบอกเดี๋ยวจะรอดู เป็นกำลังใจให้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แค่เจอพี่มอสก็ดีใจแล้วครับ จริงๆ ตอนที่มาดูแฟนฉัน ก็ได้เจอพี่มอสอยู่ครับ”
เลือกไม่กดดันตัวเอง อะไรจะเกิดขึ้นก็ปล่อย แต่ถ้าทำอะไรเสียหาย อายเขาฉิบหาxแน่นอน
“ผมคิดเหมือนกันนะ ว่าจะกดดันตัวเองดีไหม แต่สุดท้ายเลือกที่จะไม่กดดันตัวเองดีกว่า คืออะไรจะเกิดขึ้น ณ โมเมนต์ที่เรากำลังอยู่บนเวที ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายผมต้องมั่นใจ ว่าผมสนุกกับงานนี้ ถ้าผมสนุกกับมันเมื่อไหร่ ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ ก็ไม่ซีเรียสนะ ตอนนี้อาจพูดได้ (หัวเราะ) แต่พอใกล้ๆ วันจริงๆ อาจจะรู้สึกใจเต้น เพราะว่าแค่ตอนที่ซ้อมกับพี่ๆ นักแสดงร่วม คือรู้เลยว่าใจเราเต้นแบบปั๊บๆๆ คือเราก็มาซ้อมก่อนน้า เรามีหลายคิวมาซ้อมแล้ว ถ้ากูทำอะไรแบบเสียหายไปนี่ อายเขาฉิบหาxแน่เลย อะไรอย่างนี้ครับ (ยิ้ม) เพราะเขาเพิ่งได้ต่อเพลงนี้ แต่เราร้องมา 10 รอบแล้ว”
บอกยังดีที่ยังตื่นเต้นกับงาน ถ้าเฉยๆ หรือเบื่อนี่ไม่ค่อยดีแล้ว
“มีนะครับ ทุกครั้งที่ไปออกอีเวนต์ ทุกครั้งที่ขึ้นต้องเวทีร้องเพลง บางครั้งถ่ายละครเรื่องหนึ่ง แล้วหยุดไป 2 อาทิตย์แล้วกลับไปถ่ายใหม่ อันนี้ก็จะรู้สึกว่าตื่นเต้น แต่ผมว่ามันดีนะ ที่เรายังรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรที่เรากำลังอยากจะทำอยู่ ถ้ารู้สึกเฉยๆ หรือว่าเบื่อ ผมว่ามันอาจจะไม่ค่อยดีแล้ว”
นับเป็นการท้าทายความสามารถ เพราะทุกอย่างมันเทคไม่ได้
“ใช่ครับ อย่างที่บอกว่ามันเทคไม่ได้ แต่ผมว่าด้วยชั่วโมงการซ้อม เท่าที่ฟังรุ่นพี่เขาพูดกันมา เขาบอกว่ายังไงก็จำได้ แบบบทมาแบบนี้ แต่ต่อไปอาจพูดด้วยความเข้าใจไปเลย”
ตีความ “ชารีฟ” เวอร์ชั่นนี้ เป็นคนที่รักและต้องการปกป้องประเทศ
“ตอนนี้ก็ยังไม่ลงดีเทลมากนะครับ แต่แก่นหลักๆ เลยคือเขารักประเทศของเขา และต้องการที่จะปกป้องประเทศ ชารีฟเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่อยู่ฮิลฟารา เป็นตัวแทนขอกฎหมาย เป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์ แต่ด้วยความที่เขาเรียนจบต่างประเทศแล้วกลับมาเนี่ย อะไรที่เป็นจารีตประเพณีที่ค่อนข้างที่จะรุนแรง ชารีฟก็จะเป็นคนที่ปรับวิสัยทัศน์ของกลุ่มในราชวงศ์ ให้มีมุมมองที่เป็นมิตรกับสหประชาชาติมากขึ้น ผมยังไม่อยากเล่าเรื่อง แต่ทุกคนก็คงเคยดูเวอร์ชั่นแรกมา โดยส่วนตัวผมคิดว่า ผมเอาวัยตัวเองนี่แหละ คือคาแรกเตอร์ของเขาเลย”
จากที่ศึกษาเวอร์ชั่นแรก แอบกังวลเรื่องคิวแอ็กชั่นที่สุด เพราะตอน “มอส ปฏิภาณ” ก็เจ็บหนัก
“มีดูครับ เปิดดูในยูทิวบ์ ฟังเพลงเวอร์ชั่นแรก แล้วก็ฟังจากที่พี่ๆ ทุกคนเล่าให้ฟัง แต่ที่กังวลที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของคิวแอ็กชั่น เพราะได้ข่าวว่าคราวที่แล้วพี่มอสบาดเจ็บหนักมาก แต่ด้วยสปิริต พี่มอสก็กลับมาขึ้นเวทีต่อได้ ผมคงต้องซ้อมค่อนข้างหนัก เพราะมันต้องร้องและฟันไปด้วย (ลองเทสๆ บ้างหรือยัง?) มีแต่ทำท่าครับ ร้องไปด้วย แล้วก็โบกมือไปด้วย แต่เวลาจริงมันต้องมีบล็อกกิ้ง ต้องไปจำบล็อก ตอนนี้มีหลายอย่าง เมื่อวานถ่ายละครมาวันนี้ก็มาที่นี่ เดี๋ยวสักพักก็จะเริ่มชิน เริ่มเปลี่ยนตัวเองมาในบรรยากาศนี้”
มอง “ชารีฟ” เวอร์ชั่นแรกโคตรดุ แต่เวอร์ชั่นนี้มีความขี้เล่น ทำให้เชื่อมต่อกับเสน่ห์ของตัวเองได้
“ด้วยความที่ว่าตอนนี้เรายังไม่ได้เข้าไปถึงดีเทลของตัวบทมากขนาดนัน เพราะเดือนนี้ทีมงานทุกคนตั้งใจว่าจะเริ่มอ่านบทของแต่ละคน แต่ว่าที่เราอ่านมาในนิยาย เรารู้สึกว่าชารีฟโคตรดุเลย เป็นทหารไม่เล่น ไม่โน่น ไม่นี่ แต่จากที่ได้อ่านบทของเวอร์ชั่นนี้ เขายังมีความขี้เล่น ทีเล่นทีจริง แล้วเรารู้สึกว่านั่นก็เป็นเสน่ห์ตัวเราเอง ที่สามารถเชื่อมต่อกับเขาได้ ผมว่ามันก็ใกล้เคียงได้ รู้สึกว่าอยากที่จะซ้อมบทแล้วก็ลองเล่นในฉากดูแล้ว”
เผยมีการปรับบทค่อนข้างเยอะ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย
“ได้คุยกันแล้วครับ พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) อยากจะปรับค่อนข้างเยอะ เพราะว่ายุคสมัยนี้มุมมองของคนดูก็เปลี่ยนไป พี่บอยพยายามปรับจูนอะไรหลายอย่าง ทั้งตัวบท ตัวชารีฟ ตัวของนางเอก หรือพระราชาให้มีความเข้ากับยุคสมัยนี้ เท่าที่ผมรู้นะพี่บอยบอกผมประมาณนี้ครับ”
ได้ซ้อม “แก้ม กุลกรณ์พัชร์ เมอร์นาร์ด” มา 5-6 ครั้งแล้ว เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีไม่กดดัน
“ซ้อมกับพี่แก้ม 5-6 ครั้งแล้ว ซ้อมกับ พี่กบ (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี)ด้วย ซ้อมกับ หนูนา (หนึ่งธิดา โสภณ) กับ พี่เก่ง (ธชย ประทุมวรรณ) พอซ้อมกันผมต้องแบ่งช่องหายใจให้ดี พี่แก้มลากเสียงยาว (หัวเราะ) ก็ต้องมองหน้ากันว่าจะงับตอนไหน แต่สนุกครับ พี่แก้มเขาไม่ได้มากดดันอะไรเรา เป็นอีกหนึ่งพาร์ตเนอร์ที่ช่วยกัน ถ้าเริ่มได้เข้าบทเข้าฉากกันแล้ว น่าจะสนุกกว่านี้“
เป็นประสบการณ์ใหม่ ได้ทำตามฝันโดยไม่ทันตั้งตัว
“มันเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่เราเคยดูละครเวทีมาหลายเรื่อง แล้วการที่เรามีโอกาสได้เอาตัวเองมาอยู่บนเวทีนี้ มันเป็นอีกหนึ่งความฝัน ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว แล้วเราก็อยากจะทำมันให้มีความสุขที่สุด”
(มีต่อ)
“ณเดชน์” เปิดหมดใจ ซ้อมหนักเพื่อ “ฟ้าจรดทราย” ลั่น! ถ้าทำอะไรเสียหาย อายเขาแน่นอน
https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000027607
“ณเดชน์” เปิดใจเล่นละครเวทีครั้งแรก ตื่นเต้นได้ทำโปรเจกต์ในฝัน ตั้งใจทำการบ้านหนักเพื่อ “ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล” เริ่มซ้อมกับนักแสดงท่านอื่นแล้ว ชม “แก้ม กุลกรณ์พัชร์” เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีไม่กดดัน แรกๆ มีแอบคิดจะไหวไหม ถ้าทำอะไรเสียหาย อายเขาแน่นอน
กำลังซุ่มซ้อมกันอย่างหนักเลยทีเดียว สำหรับละครเวทีฟอร์มยักษ์ “ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล” ล่าสุดเมื่อวานนี้ (28 มี.ค.) มีโอกาสไปบุกห้องซ้อม ที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ ก็เลยขอดึงตัวพระเอกของเรื่อง อย่างหนุ่ม “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ที่รับบท “ชารีฟ” มานั่งคุยเปิดใจ หลังได้ชิมลางเล่นละครเวทีครั้งแรกในชีวิต โดยงานนี้เจ้าตัวก็เปิดหมดเปลือก ว่าเป็นโปรเจกต์ในฝันที่อยากทำมานานแล้ว แล้วก็ได้มีโอกาสมาทำแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ยิ่งใกล้วันก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ แต่เลือกที่จะไม่กดดันตัวเอง
“ตอนนี้ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ จริงๆ ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสมาเรียนร้องเพลง และซ้อมร้องเพลง ทั้งกับนักแสดงที่อยู่ในเรื่องด้วย และอาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งได้มีโอกาสเข้ากับพี่ๆ อองซอมเบิล (Ensemble) กับนักแสดงร่วมทุกคน ก็ดีครับ สนุกมาก เพราะเราได้รับพลังจากเขาด้วย แล้วพี่ผู้ช่วยผู้กำกับ เขาก็มาแนะนำ ว่าทุกอย่างเราต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่หมด และมันก็มีการรับส่งกัน ระหว่างตัวละครแต่ละตัว ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ สนุกมาก ตื่นเต้นมาก ตอนนี้ผมยังไม่ได้เริ่มซ้อมแบบเข้าบท หรือว่าเข้าเป็นซีนไป ผมยังอยู่ในช่วงที่ว่า เรียนรู้วิธีการร้องแบบละครเวที อาจจะต้องมีการโปรเจกต์บ้างในบางเพลง หรือว่าไปฟังคำแนะนำจากพี่ๆ กูรู คุณครูทั้งหลาย
สมมติเป็นฉากที่ต้องวิ่งหรือแอ็กชั่น เราก็ต้องบาลานซ์ระหว่างเรื่องของการโฟกัสที่เสียง และอารมณ์ของตัวละคร มันก็จะมีดีเทลค่อนข้างเยอะ อย่างละครมันก็ไม่มีการร้องเพลง ส่วนใหญ่ก็จะพูดเป็นบทหรือแอ็กชั่น นั่นก็จะเป็นบท มันก็จะไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ แต่พอเป็นการร้องเพลงมันก็ต้องมีสติมากขึ้น ความแตกต่างคือละครเวทีไม่มีเทคครับ รวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเลย อาจจะเป็นความเคยชิน ว่ามันจะเป็นยังไง ผมเองก็ไม่เคยรับรู้ แต่ว่าเดี๋ยวจะมีโอกาส ประมาณต้นเดือนนี้ ก็จะได้ซ้อมกันแบบจริงจังมากขึ้น”
เริ่มร้องเพลงจริงจังแล้ว ทำการบ้านหนัก ซ้อมร้อง และวอร์มเสียงตลอด เพราะได้ร้องประมาณ 20 เพลง
“คือตอนนี้เริ่มร้องจริงจังแล้ว ทุกๆ วันที่เข้ามา ก็จะไล่เพลงตั้งแต่องค์หนึ่ง พักเบรก แล้วก็องค์สองสลับกันไป ถ้ามีพี่ๆ นักแสดงท่านอื่นมาด้วย ก็จะมีเข้าคู่กัน ร้องคู่กัน ก็จะมีการเรียนรู้ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในเรื่องของการหายใจ คือส่วนใหญ่แล้ว ทางคุณครูเขาก็จะสอนให้เราเข้าใจเทคนิคประมาณหนึ่ง แต่มันอยู่ที่ว่าเรากลับบ้านไป เราทำการบ้านหรือเปล่า เราวอร์มเสียงหรือเปล่า เรายังเตรียมตัวกลับอุปกรณ์ในร่างกายของเราหรือเปล่า ถ้าลืมเมื่อไหร่ จากที่เราซ้อมบ่อยๆ ทุกวัน อาจจะต้องกลับมาเหลือศูนย์ แต่ถ้าเราพยายามที่จะรักษามันไปเรื่อยๆ การที่จะเข้ามาแบบเสียงพร้อม ร่างกายพร้อม กระบังลมพร้อม มันจะง่ายกว่า
คืออยู่ที่ว่าผมจะแบ่งเวลาไปซ้อมร้องมากขนาดไหน ยิ่งร้องมากขึ้น เราก็ยิ่งเข้าใจเพลงมากขึ้น พอเข้าใจเพลงมากขึ้น ฟีลลิ่งมันได้ ต่อไปมันก็จะเป็นเรื่องของลูกเล่นในการร้องเพลงแล้ว ว่าประโยคนี้ขอแบบนี้ อันนี้ขอยืดหน่อย อันนี้ขอสั้นๆ ตรงนี้ต้องมีแบ่งวรรคหายใจตรงนี้ เพื่อที่จะลากเสียงให้ยาว ซึ่งดีเทลมันก็ค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าซ้อมบ่อยๆ ก็คิดว่าน่าจะสบาย
ถามว่าร้องกี่เพลง ผมจำไม่ได้ น่าจะประมาณ 20 เพลงมั้งครับ ก็มีกับคนอื่นด้วยนะครับ ไม่ใช่ของเราคนเดียวทั้งหมด ก็จะมีพี่บอมกับครูแหม่ม ที่คอยประกบผม จะถูกพี่บอยส่งมาเรียนร้องเพลงเป็นคนแรก ก่อนที่นักแสดงคนอื่นจะเริ่ม เพราะว่าหลายๆ คนก็มีประสบการณ์แล้ว แต่ว่าผมเองยังไม่ค่อยมี ก็จะถูกส่งมาเรียนก่อน ทุกคนก็ใจเย็นครับ เขาก็เข้าใจว่าเราอาจจะมือใหม่ ก็ค่อยๆ ปรับ”
ยากที่สุดคือการ Hit Note คิดว่าแตะถึงเสียงสูงแล้วแต่จริงๆ ยังไม่ใช่
“เรื่องของการ Hit Note ครับ มันจะเป็นเรื่องของประสาทสัมผัสมากกว่า ฟังเสียงเปียโนแล้วเราคิดว่าเราร้องสูงแล้ว โดนโน้ตตัวนี้แล้วแหละ แต่จริงๆ ครูบอกว่ายังไม่ใช่ มันยังต่ำอยู่ คือถ้ามันได้มันก็จะเพอร์เฟกต์ แต่ถ้าไม่ได้บางทีอื่นเขาก็ไม่รู้หรอก (หัวเราะ) เพราะผมเองบางทีก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่ยังเพี้ยนอยู่เหรอครับ บางทีเราสนุกร้องเกินไป ฟีลลิ่งอินเกินไป จนทำให้ความสมบูรณ์แบบในการร้องอาจจะหายไป แต่ถ้าซ้อมบ่อยๆ ก็ได้ ตอนนี้ก็ซ้อม พฤหัส - อาทิตย์ ครับ ตอนนี้ถ่ายหนังธี่หยด จบไปพาร์ตหนึ่งแล้ว แล้วก็เทคิวมาให้ละครเวที หลังจากนี้ก็ยาวไปเลยจนเดือนสิงหาคม”
ซ้อมหนักอาทิตย์ละ 4 วัน แต่ไม่มีผลกระทบกับงานอื่นๆ
“ไม่ครับ เดี๋ยวละครก็ใกล้จะปิดแล้ว เดี๋ยวมันก็จะสบายตัว แต่จริงๆ ซ้อมก็ไม่ได้นัดทั้งวัน อาจจะมีเลิก 4 ทุ่มบ้าง ผมว่ามันก็โอเค อีกอย่างเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำ มันก็เลยไม่รู้สึกว่าต้องมาซ้อมอีกแล้ว เหนื่อยจังเลย มันเป็นความรู้สึกที่กระหายที่อยากจะซ้อมมากกว่า มีไฟ แล้วยิ่งมาเจอกับพี่ๆ ทุกคน เราร๊ขว่าเราเป็นน้องใหม่ เราต้องเรียนรู้จากเขาเยอะ”
บอกแรกๆ มีคิดว่าจะไหวไหม เพราะการร้องไม่เหมือนตอนร้องในอีเวนต์เลย
“แรกๆ ที่เริ่มร้องเพลง รู้สึกว่าทำไมมันไม่เหมือนตอนเราร้องในงานอีเวนต์เลยวะ (หัวเราะ) มันไม่เหมือนกันเลย เรามั่นใจว่าเราร้องได้ ตอนเราร้องในอีเวนต์ เราร้องเพลงประกอบละคร เรารู้สึกว่าเราก็ร้องได้แล้วนะ แต่พอมาเข้าคลาสจริงๆ คนละเรื่องเลย ตอนแรกๆ ก็แอบแบบโอ้ย จะไหวเปล่าวะ คือคิดถึงการพูดบทละครมากเลย แต่ว่าพอเป็นมิวสิคัลเราก็ต้องทำให้ได้ แต่โดยรวมผ่านมา 2 เดือนในการฝึกซ้อมร้องเพลง ก็ดีครับ เริ่มเข้าใจ ร่างกายเริ่มพร้อมแล้ว ได้สกิลใหม่ในเรื่องของการร้องเพลงมาแล้ว ก็มีแต่คนบอกครับ ว่าถ้ามาเล่นละครเวทีที่เป็นมิวสิคัล ได้เรียนร้องเพลง ต่อไปก็ร้องเพลงสบายแล้ว”
พอคัตไม่ได้ ก็เลยต้องซ้อมจนจำให้ได้
“มันน่าจะมีการซ้อมจนเราจำได้แล้ว คือพอมันจำบทได้ ทุกอย่างมันจะจำได้ไปโดยปริยายเอง เรื่องร้องเพี้ยนไปว่ากันอีกทีนะ หรือลืมเนื้อ ผมเป็นบ่อย แต่จะไม่ทำให้เกิดขึ้น คือเรื่องบทผมมั่นใจว่าน่าจะจำได้ แต่ว่าสิ่งที่พี่บอย ถกลเกียรติ เตือน ก็คืออย่ารู้ก่อนนะ พอมันเล่นบ่อยๆ เล่นชิน ผ่านไปสัก 10 รอบ นักแสดงจะเริ่มไหลไปเอง ไปเกินจนรู้ทุกอย่างไปแล้ว แล้วมันจะไม่สดใหม่”
เริ่มซ้อมบท “ชารีฟ” แล้ว แต่ยังไม่ได้ซึมซับเป็นตัวละครขนาดนั้น
“มีครับมี จริงๆ ระหว่างที่ร้องเพลง เราจะพูดบทก่อน เพื่อให้เข้าใจสภาวะอารมณ์ ก่อนหน้าที่จะร้อง จะทำวิธีนี้ ถามว่าบทชารีฟ เริ่มซึมซับในตัวผมหรือยัง คือเดี๋ยวจะต้องมี read to ก่อน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง แล้วเดี๋ยวจะต้องมาซ้อมก่อน”
ดีใจได้เจอ “มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์” ผู้รับบท “ชารีฟ” เวอร์ชั่นก่อน
“พี่มอสบอกเดี๋ยวจะรอดู เป็นกำลังใจให้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แค่เจอพี่มอสก็ดีใจแล้วครับ จริงๆ ตอนที่มาดูแฟนฉัน ก็ได้เจอพี่มอสอยู่ครับ”
เลือกไม่กดดันตัวเอง อะไรจะเกิดขึ้นก็ปล่อย แต่ถ้าทำอะไรเสียหาย อายเขาฉิบหาxแน่นอน
“ผมคิดเหมือนกันนะ ว่าจะกดดันตัวเองดีไหม แต่สุดท้ายเลือกที่จะไม่กดดันตัวเองดีกว่า คืออะไรจะเกิดขึ้น ณ โมเมนต์ที่เรากำลังอยู่บนเวที ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายผมต้องมั่นใจ ว่าผมสนุกกับงานนี้ ถ้าผมสนุกกับมันเมื่อไหร่ ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ ก็ไม่ซีเรียสนะ ตอนนี้อาจพูดได้ (หัวเราะ) แต่พอใกล้ๆ วันจริงๆ อาจจะรู้สึกใจเต้น เพราะว่าแค่ตอนที่ซ้อมกับพี่ๆ นักแสดงร่วม คือรู้เลยว่าใจเราเต้นแบบปั๊บๆๆ คือเราก็มาซ้อมก่อนน้า เรามีหลายคิวมาซ้อมแล้ว ถ้ากูทำอะไรแบบเสียหายไปนี่ อายเขาฉิบหาxแน่เลย อะไรอย่างนี้ครับ (ยิ้ม) เพราะเขาเพิ่งได้ต่อเพลงนี้ แต่เราร้องมา 10 รอบแล้ว”
บอกยังดีที่ยังตื่นเต้นกับงาน ถ้าเฉยๆ หรือเบื่อนี่ไม่ค่อยดีแล้ว
“มีนะครับ ทุกครั้งที่ไปออกอีเวนต์ ทุกครั้งที่ขึ้นต้องเวทีร้องเพลง บางครั้งถ่ายละครเรื่องหนึ่ง แล้วหยุดไป 2 อาทิตย์แล้วกลับไปถ่ายใหม่ อันนี้ก็จะรู้สึกว่าตื่นเต้น แต่ผมว่ามันดีนะ ที่เรายังรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรที่เรากำลังอยากจะทำอยู่ ถ้ารู้สึกเฉยๆ หรือว่าเบื่อ ผมว่ามันอาจจะไม่ค่อยดีแล้ว”
นับเป็นการท้าทายความสามารถ เพราะทุกอย่างมันเทคไม่ได้
“ใช่ครับ อย่างที่บอกว่ามันเทคไม่ได้ แต่ผมว่าด้วยชั่วโมงการซ้อม เท่าที่ฟังรุ่นพี่เขาพูดกันมา เขาบอกว่ายังไงก็จำได้ แบบบทมาแบบนี้ แต่ต่อไปอาจพูดด้วยความเข้าใจไปเลย”
ตีความ “ชารีฟ” เวอร์ชั่นนี้ เป็นคนที่รักและต้องการปกป้องประเทศ
“ตอนนี้ก็ยังไม่ลงดีเทลมากนะครับ แต่แก่นหลักๆ เลยคือเขารักประเทศของเขา และต้องการที่จะปกป้องประเทศ ชารีฟเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่อยู่ฮิลฟารา เป็นตัวแทนขอกฎหมาย เป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์ แต่ด้วยความที่เขาเรียนจบต่างประเทศแล้วกลับมาเนี่ย อะไรที่เป็นจารีตประเพณีที่ค่อนข้างที่จะรุนแรง ชารีฟก็จะเป็นคนที่ปรับวิสัยทัศน์ของกลุ่มในราชวงศ์ ให้มีมุมมองที่เป็นมิตรกับสหประชาชาติมากขึ้น ผมยังไม่อยากเล่าเรื่อง แต่ทุกคนก็คงเคยดูเวอร์ชั่นแรกมา โดยส่วนตัวผมคิดว่า ผมเอาวัยตัวเองนี่แหละ คือคาแรกเตอร์ของเขาเลย”
จากที่ศึกษาเวอร์ชั่นแรก แอบกังวลเรื่องคิวแอ็กชั่นที่สุด เพราะตอน “มอส ปฏิภาณ” ก็เจ็บหนัก
“มีดูครับ เปิดดูในยูทิวบ์ ฟังเพลงเวอร์ชั่นแรก แล้วก็ฟังจากที่พี่ๆ ทุกคนเล่าให้ฟัง แต่ที่กังวลที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของคิวแอ็กชั่น เพราะได้ข่าวว่าคราวที่แล้วพี่มอสบาดเจ็บหนักมาก แต่ด้วยสปิริต พี่มอสก็กลับมาขึ้นเวทีต่อได้ ผมคงต้องซ้อมค่อนข้างหนัก เพราะมันต้องร้องและฟันไปด้วย (ลองเทสๆ บ้างหรือยัง?) มีแต่ทำท่าครับ ร้องไปด้วย แล้วก็โบกมือไปด้วย แต่เวลาจริงมันต้องมีบล็อกกิ้ง ต้องไปจำบล็อก ตอนนี้มีหลายอย่าง เมื่อวานถ่ายละครมาวันนี้ก็มาที่นี่ เดี๋ยวสักพักก็จะเริ่มชิน เริ่มเปลี่ยนตัวเองมาในบรรยากาศนี้”
มอง “ชารีฟ” เวอร์ชั่นแรกโคตรดุ แต่เวอร์ชั่นนี้มีความขี้เล่น ทำให้เชื่อมต่อกับเสน่ห์ของตัวเองได้
“ด้วยความที่ว่าตอนนี้เรายังไม่ได้เข้าไปถึงดีเทลของตัวบทมากขนาดนัน เพราะเดือนนี้ทีมงานทุกคนตั้งใจว่าจะเริ่มอ่านบทของแต่ละคน แต่ว่าที่เราอ่านมาในนิยาย เรารู้สึกว่าชารีฟโคตรดุเลย เป็นทหารไม่เล่น ไม่โน่น ไม่นี่ แต่จากที่ได้อ่านบทของเวอร์ชั่นนี้ เขายังมีความขี้เล่น ทีเล่นทีจริง แล้วเรารู้สึกว่านั่นก็เป็นเสน่ห์ตัวเราเอง ที่สามารถเชื่อมต่อกับเขาได้ ผมว่ามันก็ใกล้เคียงได้ รู้สึกว่าอยากที่จะซ้อมบทแล้วก็ลองเล่นในฉากดูแล้ว”
เผยมีการปรับบทค่อนข้างเยอะ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย
“ได้คุยกันแล้วครับ พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) อยากจะปรับค่อนข้างเยอะ เพราะว่ายุคสมัยนี้มุมมองของคนดูก็เปลี่ยนไป พี่บอยพยายามปรับจูนอะไรหลายอย่าง ทั้งตัวบท ตัวชารีฟ ตัวของนางเอก หรือพระราชาให้มีความเข้ากับยุคสมัยนี้ เท่าที่ผมรู้นะพี่บอยบอกผมประมาณนี้ครับ”
ได้ซ้อม “แก้ม กุลกรณ์พัชร์ เมอร์นาร์ด” มา 5-6 ครั้งแล้ว เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีไม่กดดัน
“ซ้อมกับพี่แก้ม 5-6 ครั้งแล้ว ซ้อมกับ พี่กบ (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี)ด้วย ซ้อมกับ หนูนา (หนึ่งธิดา โสภณ) กับ พี่เก่ง (ธชย ประทุมวรรณ) พอซ้อมกันผมต้องแบ่งช่องหายใจให้ดี พี่แก้มลากเสียงยาว (หัวเราะ) ก็ต้องมองหน้ากันว่าจะงับตอนไหน แต่สนุกครับ พี่แก้มเขาไม่ได้มากดดันอะไรเรา เป็นอีกหนึ่งพาร์ตเนอร์ที่ช่วยกัน ถ้าเริ่มได้เข้าบทเข้าฉากกันแล้ว น่าจะสนุกกว่านี้“
เป็นประสบการณ์ใหม่ ได้ทำตามฝันโดยไม่ทันตั้งตัว
“มันเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่เราเคยดูละครเวทีมาหลายเรื่อง แล้วการที่เรามีโอกาสได้เอาตัวเองมาอยู่บนเวทีนี้ มันเป็นอีกหนึ่งความฝัน ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว แล้วเราก็อยากจะทำมันให้มีความสุขที่สุด”
(มีต่อ)