6. ลาจาก
กระดิ่งใบโพธิ์ทองเหลืองสีสุกอร่ามแขวนเรียงรายกันไว้อยู่ห่าง ๆ ที่ตรงด้านนอกโดยรอบบริเวณ โบกสะบัดเล่นล้อกับสายลมซึ่งพร้อมใจพัดรับส่งกันอย่างไม่เว้นช่วงขาดระยะ
เสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานใสดังแว่วแผ่วพลิ้วต่อเนื่อง แทรกซึมเล็ดลอดเข้าคลอเคลียโสตประสาท ให้ผู้ที่ได้รับสัมผัสรู้สึกเพลิดเพลิน เย็นสบายและปลอดโปร่งในใจ
ควันธูปสีขาวเทาบางเบาบิดม้วนล่องลอย ราววาดลวดลายเส้นศิลปะอันไร้แบบปราศจากรูปทรงขึ้นในอากาศ แล้วจึงกระจายคลายอ้อมกอดออกจากกัน เพื่อส่งให้กลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัวได้ขจรขจาย ผสมกลมกลืนจนอบอวลไปทั่วทั้งบรรยากาศ
เปลวเทียนสีเหลืองทอแสงเรืองรองอย่างมั่นคงสงบนิ่ง สุกสว่างและนวลตาจนทำให้ผู้ที่เพ่งพิศสามารถดำดิ่งลึงลงไปสู่สมาธิ เกิดความสุขสงบเยือกเย็นขึ้นภายในใจได้อย่างน่าประหลาด
ภายในสถานที่และสิ่งปลูกสร้างซึ่งให้ความรู้สึกเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ จนคล้ายกับจะทำให้ผู้มาเยือนรับรู้ได้ถึงพลังอำนาจอะไรบางอย่าง
หลังจากที่เจนจิรานั่งหลับตาสงบนิ่งเพื่อตั้งจิตอธิษฐานจนเสร็จเรียบร้อย เธอก็นำธูปในมือไปปักไว้ตรงกระถางทราย ที่ตั้งไว้อยู่ตรงด้านหน้าขององค์พระประธาน แล้วจึงค่อยพาตัวเองให้โผล่พ้นออกมาจากประตูโบสถ์
เหลียวซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาอยู่เพียงอึดใจ พอเห็นว่าวิวัฒน์กำลังยืนรออยู่ที่ตรงบริเวณโคนต้นพิกุลซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ไปแค่ไม่กี่เมตร ก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมเดินไปสมทบที่ใต้เงาร่มรื่นนั้นด้วยอีกคน
“หอมสดชื่นดีจังนะครับ” ชายหนุ่มพูดเมื่อหญิงสาวมาถึง ละสายตาออกจากดอกเล็ก ๆ สีขาว ซึ่งทำหน้าที่เป็นน้ำหอมปรับอากาศตามธรรมชาติ แล้วหันเหความสนใจมาให้ผู้ที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ กันแทน “ยังเช้าอยู่...เดินเล่นตรงนั้นกันสักเดี๋ยวไหมครับ สิบยี่สิบนาทีแล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ”
ผู้ถูกชวนทอดสายตามองตามไปยังจุดหมายที่ปลายนิ้วของเขาพาไป พยักหน้ารับคำพร้อมทั้งยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ว่าตกลง แล้วจึงพากันเดินไปตามที่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยกันสองคน
ลานดินกว้างติดริมแม่น้ำครึ้มเย็นไปด้วยเงาจากไม้ใหญ่ยืนต้น ที่แผ่กิ่งก้านขยายสาขาปกคลุมไว้จนร่มรื่นไปเกือบทั่วทั้งพื้นที่ นอกจากที่ชาวบ้านแถวนี้จะใช้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจแล้ว พวกเขายังได้รับอนุญาตให้ตั้งแผงค้าขายชั่วคราว เพื่อจะได้นำพืชผักสวนครัว ผลไม้ หรือข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
ให้เกิดการพบปะแบ่งปัน สร้างรายได้นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสาธารณะประโยชน์ตามสมควรแก่ชาวชุมชน โดยยังไม่เสียสภาพบรรยากาศหรือรบกวนความสงบในแบบของวัดมากจนเกินไป
เนื่องจากมีร้านค้าเพียงไม่กี่ร้าน จึงไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก ยังไม่ทันจะถึงยี่สิบนาทีดีก็ไม่เหลืออะไรให้ดูอีก แต่อย่างไรเสีย เจนจิราก็ยังอุตส่าห์ได้ผักเสี้ยนดองหนึ่งถุง ปลาอินทรีย์เค็มตัดชิ้นห้ากระปุก แล้วก็ส้มโออีกห้าลูกติดไม้ติดมือมาด้วย
“เจนเคยเห็นแม่กินผักเสี้ยนกับน้ำพริกกะปี เอ่อ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่น่าจะใช่มั้ง ก็เลยซื้อกลับไปฝากท่านสักหน่อย ส่วนปลาเค็มกับส้มโอนี่ก็เอาไปฝากเพื่อนบ้านค่ะ เหลือเก็บไว้กินอย่างละกระปุกอย่างละลูกก็พอ”
เธอพูดด้วยสีหน้าเกลื่อนยิ้มขณะกำลังเดินกลับไปที่รถยนต์ โดยมีวิวัฒน์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของยานพาหนะคันดังกล่าวหิ้วถุงส้มโอให้ ช่วยกันเก็บของฝากใส่ท้ายรถ เข้าประจำตำแหน่งในห้องโดยสารกันเรียบร้อย ก็เริ่มออกเดินทางไปสถานที่ถัดไปซึ่งเป็นจุดหมายหลักของการท่องเที่ยวในครั้งนี้
เช้าตรู่วันเสาร์วันนี้เจนจิราลืมตาตื่นจากห้วงนิทรา และลุกจากที่นอนมาก่อนเวลาตามปกติของตนด้วยความกระปรี้กระเปร่า เธอรีบจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อจะมาเสียเวลาที่ได้เพิ่มมาทั้งหมด ไปกับการเลือกชุดที่จะใช้สวมใส่ สำหรับนัดกับชายหนุ่มในวันนี้
เสื้อผ้าหลายชุดหลากสไตล์ถูกนำมาเข้าคู่ และลองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่ตรงหน้าบานกระจกเงาหลายรอบ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ลังเลแล้วลังเลอีก จนสุดท้ายเสื้อยืดผ้าฝ้ายคอกลมสีฟ้าและกางเกงผ้าฮานาโกะห้าส่วนสีขาว ชุดเก่งที่ดูเรียบ ๆ แต่ใส่สบายที่สุด ก็เป็นตัวเลือกสุดท้ายอย่างเคย
ทีแรกก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจนัก กลัวว่าจะแต่งตัวไม่เหมาะสมไม่ถูกกาลเทศะ แต่พอเห็นวิวัฒน์ที่ขับรถมารับเธอถึงหน้าบ้าน อยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงสแล็คสีเข้มธรรมดา ๆ ไม่ต่างกันแล้ว จึงค่อยโล่งอกเบาใจได้ในที่สุด
“ไว้ถ้าข้อเท้าหายดีแล้ว เราค่อยไปเดินเที่ยว เลือกซื้อของที่ชอบที่อยากได้ แล้วก็ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันนะครับ”
อันที่จริงอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเธอ ทุเลาลงมากจนเกือบจะเป็นปกติตั้งแต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมาแล้ว แต่ด้วยเพราะเขาอยากให้หายสนิทจริง ๆ เลยต้องระมัดระวังและประคับประคอง ดูอาการกันต่อไปอีกครึ่งเดือนจนแน่ใจว่าหายสนิทจริง ๆ
นานเป็นเดือนขนาดนี้ ก็นึกว่าเขาจะลืมไปเสียแล้ว ว่าเคยพูดอะไรเอาไว้...เหลียวหันมองใบหน้าของเขา ที่กำลังตั้งอกตั้งใจกับสภาพการจราจรตรงหน้า ก็อมยิ้มด้วยรู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ กับความใส่ใจที่ได้รับ
“มองแล้วยิ้มแบบนี้ ที่หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าครับ” วิวัฒน์ที่สังเกตเห็นสีหน้าของหญิงสาว เอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีและมีรอยยิ้มในคำพูด
“ปะ...เปล่าค่ะ คือเจนแค่คิดว่า ไม่ได้เห็นครูวัฒน์ขับรถมานานแล้วน่ะค่ะ” ทำเอาต้องพูดอะไรก็ได้ที่พอจะนึกออกไปก่อนเพื่อแก้เก้อ นึกเขินอายจนต้องตำหนิตัวเองในใจว่าไปเผลอจ้องนานขนาดไหน เขาถึงได้รู้ตัวแล้วทักกลับมาแบบนี้ “นึกว่าครูวัฒน์ขายรถคันนี้ไปแล้วเสียอีก”
“ผมไม่ค่อยชอบขับรถน่ะครับ ชอบเดินมากกว่า” ชายหนุ่มหัวเราะหึ ๆ และตอบกลับคำถามของเธอ “อีกอย่างโรงเรียนก็อยู่ใกล้กับที่พักแค่นั้นด้วย เดินสะดวกกว่า ไม่เปลืองค่าน้ำมัน แถมยังแวะหาอะไรกินระหว่างทางได้ง่ายกว่าด้วยครับ”
“จริงค่ะ” ตอบสั้น ๆ แล้วก็หัวเราะแหะ ๆ ตัดจบการสนทนาในหัวข้อแปลก ๆ นี้ไปจนได้ในที่สุด
ตลอดระยะเวลาที่ได้รู้จักกัน เจนจิราเคยเห็นวิวัฒน์ขับรถยนต์คันนี้เพียงแค่สองครั้งเท่านั้น แน่นอนว่าหนึ่งในสองครั้งที่กล่าวก็คือครั้งนี้ ส่วนอีกครั้งนั้นน่าจะสักประมาณหกถึงเจ็ดปีก่อน ซึ่งก็คือวันที่เธอได้พบกับเขาเป็นครั้งแรกนั่นเอง
วันที่จู่ ๆ รถแปลกถิ่นที่เดินทางมาถึง ก็เข้ามาจอดอยู่ภายในบริเวณของโรงเรียน วินาทีที่เธอซึ่งกำลังสอนวิชาพละให้แก่เด็ก ๆ ในชั้นเรียนอยู่บริเวณนั้นพอดี ได้พบและสบสายตากับเขา
สีหน้าเฉยชาซีดเซียวของชายแปลกหน้า คล้ายกับว่าอดหลับอดนอนมานานจนแทบไม่อาจครองสติไว้ได้ มันทั้งหดหู่และดูอมทุกข์อย่างเหลือประมาณ แววตาคู่นั้นของเขาดูช่างเลื่อนลอยอีกทั้งยังเคลือบแฝงไปด้วยห้วงแห่งความหม่นเศร้า เหมือนดั่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนั้นแหลกสลายไปหมดแล้ว
ราวความสาหัสสากรรจ์ทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้ถาโถมเข้าใส่ คล้ายใบมีดนับร้อยนับพันแห่งความหดหู่สิ้นหวัง จู่โจมทิ่มแทงและกรีดลึกลงไปให้ต้องเจ็บปวดทรมานอย่างไม่จบสิ้น
และความรู้สึกเหล่านี้ที่เธอรับรู้ได้จากเขาในชั่วขณะนั้น ก็กลับกลายเป็นการรับรู้ที่มีต่อเขา ต่อตัวตนของเขา เป็นสิ่งที่ติดแน่นฝังตรึงจนไม่อาจสลัดให้หลุด หรือลืมเลือนไปได้เลยจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
เมื่อไม่มีที่ให้พักอาศัยเธอจึงแนะนำที่พักของป้าแป้นให้ เมื่อไม่มีที่ดื่มที่กินเธอจึงพาไปหาอะไรใส่ท้องที่ร้านของลุงอ่ำ และเมื่อไม่มีที่ไป ไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือจะทำอะไรต่อ เธอก็พาไปหาครูใหญ่ ซึ่งทำให้เขาได้ช่วยงานที่โรงเรียนในฐานะครูผู้ช่วย ก่อนที่จะได้บรรจุเป็นครูประจำชั้นในที่สุด
จนถึงเวลานี้เขาเปลี่ยนไปจากวันนั้นมาก เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น พูดคุยบ่อยและเก่งขึ้น ยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ในดวงตาฉายให้เห็นแววแห่งความสุขสงบและสดใสขึ้น แม้จะไม่ได้มากจนถึงขนาดกลายเป็นคนละคน แต่เขาก็เป็นวิวัฒน์คนใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมในทางที่ดี
เจนจิราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า จากคนแปลกหน้าที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยในตอนนั้น คนที่เธอบังเอิญเห็นและยื่นมือให้ความช่วยเหลือในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะพัฒนาความสัมพันธ์จนสนิทสนมกันถึงระดับที่เป็นอยู่ขนาดนี้ได้
ลอบมองไปที่ใบหน้าของคนข้าง ๆ อีกครั้ง สบตบโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันรู้สึกตัว เผยยิ้มออกมาให้กับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง ก่อนที่เธอจะย้ายสายตาเปลี่ยนมามองดูอะไรตามสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้จิตใจเปี่ยมสุขของตัวเองได้ล่องลอยออกไปไหนก็ตามที่มันอยากจะไป
ครึ่งชั่วโมงกับอุณหภูมิเย็นฉ่ำสบายตัว เสียงเพลงเบา ๆ คลอเคลียรื่นหู และเรื่องสัพเพเหระที่ต่างสรรหามาคุยกันในรถยนต์ ทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงตลาดน้ำ วนหาที่จอดอยู่ครู่เดียวก็ได้เดินเที่ยวแบบไม่ทันได้เสียเวลา
ตลาดน้ำแห่งนี้มีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่ตลอดแนวของสองฝั่งคลอง ซึ่งแตกแขนงแยกย่อยออกมาจากแม่น้ำสายหลัก ระยะทางโดยรวมจากต้นตลาดไปจนถึงด้านท้ายยาวมากกว่าสองร้อยเมตร
ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์ ของประดับของตั้งโชว์กระจุกกระจิก ขนมไทยโบราณ ของฝากแปลก ๆ ที่ไม่ค่อยมีให้เห็น ของกินเล่นที่ถือเดินไปกินไปได้ หรือแม้แต่ร้านอาหารมีสไตล์ราคาสุดหรู ทุกอย่างทุกราคามีให้เลือกครบจบเพียงที่เดียว
หลายสิบปีก่อนที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งคึกคัก และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาแทบไม่ขาดสาย กิจการล่องเรือไหว้พระเฟื่องฟูจนต้องจองคิวนานเป็นชั่วโมง ร้านอาหารที่ไม่ว่าจะราคาสูงขนาดไหน แต่คนก็ยังแน่นขนัดจนไม่เหลือที่ว่าง
การได้นั่งกินอาหารทะเลสด ๆ ย่างไฟ และปรุงกันใหม่ ๆ ต่อหน้าที่ตรงบันไดริมคลอง นั่งชมบรรยากาศคึกคักของพ่อค้าแม่ขายบนเรือแจว และลูกค้าที่ต่างพยายามแย่งเบียดกันสั่งอาหาร ก็เป็นเสน่ห์และไฮไลท์สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ไม่ว่าใครได้มาเยือนก็ล้วนอยากลอง ต้องการซึมซับบรรยากาศ รับประสบการณ์อันสุนทรีย์ในรูปแบบเฉพาะอย่างนี้กลับไปด้วยสักครั้ง
แต่สมัยนี้เรื่องราวที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ก็เป็นอดีตที่แทบไม่เห็นโอกาสหวนกลับคืนมาให้ได้สัมผัสแล้ว
ระดับน้ำในคลองที่เพิ่มสูงขึ้นจนแทบจะเสมอกันกับทางเดิน ทำให้การนั่งกินตรงบันไดลงคลองไม่สามารถทำได้และต้องจำใจยกเลิกไปโดยปริยาย อุณหภูมิที่สูงขึ้นมากทำให้ผู้ที่ไม่ชอบอากาศร้อนและทนกับการเบียดเสียดไม่ไหว ต้องเบนเข็มและเลือกที่จะเที่ยวยังสถานที่ซึ่งเย็นสบายกว่า อย่างเช่นห้างสรรพสินค้าแทน
นักท่องเที่ยวที่ลดน้อยลงกลับยิ่งบางตาขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่รวมถึงแผงขายของหน้าร้านในหลาย ๆ จุด ซึ่งเคยถูกแย่งชิงเพื่อทำมาค้าขายแบบที่ไม่เคยเว้นช่วงขาดตอน ถูกปล่อยให้ว่างไว้อย่างนั้นอย่างไร้พ่อค้าแม่ค้าเหลียวแล
ร้านอาหาร ที่พัก โฮมสเตย์ ที่เคยเปิดกันอย่างคึกคักและเต็มแทบจะตลอดเวลา ต่างก็ทยอยปิดตัวและล้มหายตายจากกันไป
แม้จะยังมีร้านค้า ที่พัก และโฮมสเตย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ถือว่าน้อยเปิดให้บริการอยู่ แต่ที่นี่ก็ไม่เคยกลับมาคึกคักอย่างเก่า ไม่เป็นที่สนใจและอยู่ในกระแสของการท่องเที่ยวอีกเลย
ทว่านั่นก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนบางคน ที่ไม่ชอบความวุ่นวายและการเบียดเสียดแก่งแย่ง ที่จะมีโอกาสได้มาเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้บ้าง และคนกลุ่มนี้ก็เป็นคนกลุ่มที่ทำให้ที่นี่ยังคงอยู่ ยังสามารถเปิดให้บริการต่อไปได้
และในจำนวนนั้นที่ได้รับประโยชน์อย่างที่ว่า ก็มีเจนจิราและวิวัฒน์รวมอยู่ด้วย
กินหมึกย่างเสียบไม้ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดจัดจ้าน ดับร้อนด้วยไอศกรีมโคนกะทิและไอศกรีมหลอดรสโคล่า เลือกเสื้อของแหล่งท่องเที่ยวให้กับตัวเอง และซื้อขนมไทยโบราณอย่างขนมสัมปันนีห่อใบตอง ขนมหยกมณี ขนมทองเอก ติดไม้ติดมือไปเป็นของฝากคนละอย่างสองอย่าง ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี
วันดับสูญ บทที่ 6 ลาจาก
กระดิ่งใบโพธิ์ทองเหลืองสีสุกอร่ามแขวนเรียงรายกันไว้อยู่ห่าง ๆ ที่ตรงด้านนอกโดยรอบบริเวณ โบกสะบัดเล่นล้อกับสายลมซึ่งพร้อมใจพัดรับส่งกันอย่างไม่เว้นช่วงขาดระยะ
เสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานใสดังแว่วแผ่วพลิ้วต่อเนื่อง แทรกซึมเล็ดลอดเข้าคลอเคลียโสตประสาท ให้ผู้ที่ได้รับสัมผัสรู้สึกเพลิดเพลิน เย็นสบายและปลอดโปร่งในใจ
ควันธูปสีขาวเทาบางเบาบิดม้วนล่องลอย ราววาดลวดลายเส้นศิลปะอันไร้แบบปราศจากรูปทรงขึ้นในอากาศ แล้วจึงกระจายคลายอ้อมกอดออกจากกัน เพื่อส่งให้กลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัวได้ขจรขจาย ผสมกลมกลืนจนอบอวลไปทั่วทั้งบรรยากาศ
เปลวเทียนสีเหลืองทอแสงเรืองรองอย่างมั่นคงสงบนิ่ง สุกสว่างและนวลตาจนทำให้ผู้ที่เพ่งพิศสามารถดำดิ่งลึงลงไปสู่สมาธิ เกิดความสุขสงบเยือกเย็นขึ้นภายในใจได้อย่างน่าประหลาด
ภายในสถานที่และสิ่งปลูกสร้างซึ่งให้ความรู้สึกเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ จนคล้ายกับจะทำให้ผู้มาเยือนรับรู้ได้ถึงพลังอำนาจอะไรบางอย่าง
หลังจากที่เจนจิรานั่งหลับตาสงบนิ่งเพื่อตั้งจิตอธิษฐานจนเสร็จเรียบร้อย เธอก็นำธูปในมือไปปักไว้ตรงกระถางทราย ที่ตั้งไว้อยู่ตรงด้านหน้าขององค์พระประธาน แล้วจึงค่อยพาตัวเองให้โผล่พ้นออกมาจากประตูโบสถ์
เหลียวซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาอยู่เพียงอึดใจ พอเห็นว่าวิวัฒน์กำลังยืนรออยู่ที่ตรงบริเวณโคนต้นพิกุลซึ่งอยู่ห่างจากจุดนี้ไปแค่ไม่กี่เมตร ก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมเดินไปสมทบที่ใต้เงาร่มรื่นนั้นด้วยอีกคน
“หอมสดชื่นดีจังนะครับ” ชายหนุ่มพูดเมื่อหญิงสาวมาถึง ละสายตาออกจากดอกเล็ก ๆ สีขาว ซึ่งทำหน้าที่เป็นน้ำหอมปรับอากาศตามธรรมชาติ แล้วหันเหความสนใจมาให้ผู้ที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ กันแทน “ยังเช้าอยู่...เดินเล่นตรงนั้นกันสักเดี๋ยวไหมครับ สิบยี่สิบนาทีแล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ”
ผู้ถูกชวนทอดสายตามองตามไปยังจุดหมายที่ปลายนิ้วของเขาพาไป พยักหน้ารับคำพร้อมทั้งยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ว่าตกลง แล้วจึงพากันเดินไปตามที่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยกันสองคน
ลานดินกว้างติดริมแม่น้ำครึ้มเย็นไปด้วยเงาจากไม้ใหญ่ยืนต้น ที่แผ่กิ่งก้านขยายสาขาปกคลุมไว้จนร่มรื่นไปเกือบทั่วทั้งพื้นที่ นอกจากที่ชาวบ้านแถวนี้จะใช้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจแล้ว พวกเขายังได้รับอนุญาตให้ตั้งแผงค้าขายชั่วคราว เพื่อจะได้นำพืชผักสวนครัว ผลไม้ หรือข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
ให้เกิดการพบปะแบ่งปัน สร้างรายได้นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสาธารณะประโยชน์ตามสมควรแก่ชาวชุมชน โดยยังไม่เสียสภาพบรรยากาศหรือรบกวนความสงบในแบบของวัดมากจนเกินไป
เนื่องจากมีร้านค้าเพียงไม่กี่ร้าน จึงไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก ยังไม่ทันจะถึงยี่สิบนาทีดีก็ไม่เหลืออะไรให้ดูอีก แต่อย่างไรเสีย เจนจิราก็ยังอุตส่าห์ได้ผักเสี้ยนดองหนึ่งถุง ปลาอินทรีย์เค็มตัดชิ้นห้ากระปุก แล้วก็ส้มโออีกห้าลูกติดไม้ติดมือมาด้วย
“เจนเคยเห็นแม่กินผักเสี้ยนกับน้ำพริกกะปี เอ่อ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่น่าจะใช่มั้ง ก็เลยซื้อกลับไปฝากท่านสักหน่อย ส่วนปลาเค็มกับส้มโอนี่ก็เอาไปฝากเพื่อนบ้านค่ะ เหลือเก็บไว้กินอย่างละกระปุกอย่างละลูกก็พอ”
เธอพูดด้วยสีหน้าเกลื่อนยิ้มขณะกำลังเดินกลับไปที่รถยนต์ โดยมีวิวัฒน์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของยานพาหนะคันดังกล่าวหิ้วถุงส้มโอให้ ช่วยกันเก็บของฝากใส่ท้ายรถ เข้าประจำตำแหน่งในห้องโดยสารกันเรียบร้อย ก็เริ่มออกเดินทางไปสถานที่ถัดไปซึ่งเป็นจุดหมายหลักของการท่องเที่ยวในครั้งนี้
เช้าตรู่วันเสาร์วันนี้เจนจิราลืมตาตื่นจากห้วงนิทรา และลุกจากที่นอนมาก่อนเวลาตามปกติของตนด้วยความกระปรี้กระเปร่า เธอรีบจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อจะมาเสียเวลาที่ได้เพิ่มมาทั้งหมด ไปกับการเลือกชุดที่จะใช้สวมใส่ สำหรับนัดกับชายหนุ่มในวันนี้
เสื้อผ้าหลายชุดหลากสไตล์ถูกนำมาเข้าคู่ และลองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่ตรงหน้าบานกระจกเงาหลายรอบ เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ลังเลแล้วลังเลอีก จนสุดท้ายเสื้อยืดผ้าฝ้ายคอกลมสีฟ้าและกางเกงผ้าฮานาโกะห้าส่วนสีขาว ชุดเก่งที่ดูเรียบ ๆ แต่ใส่สบายที่สุด ก็เป็นตัวเลือกสุดท้ายอย่างเคย
ทีแรกก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจนัก กลัวว่าจะแต่งตัวไม่เหมาะสมไม่ถูกกาลเทศะ แต่พอเห็นวิวัฒน์ที่ขับรถมารับเธอถึงหน้าบ้าน อยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงสแล็คสีเข้มธรรมดา ๆ ไม่ต่างกันแล้ว จึงค่อยโล่งอกเบาใจได้ในที่สุด
“ไว้ถ้าข้อเท้าหายดีแล้ว เราค่อยไปเดินเที่ยว เลือกซื้อของที่ชอบที่อยากได้ แล้วก็ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันนะครับ”
อันที่จริงอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเธอ ทุเลาลงมากจนเกือบจะเป็นปกติตั้งแต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมาแล้ว แต่ด้วยเพราะเขาอยากให้หายสนิทจริง ๆ เลยต้องระมัดระวังและประคับประคอง ดูอาการกันต่อไปอีกครึ่งเดือนจนแน่ใจว่าหายสนิทจริง ๆ
นานเป็นเดือนขนาดนี้ ก็นึกว่าเขาจะลืมไปเสียแล้ว ว่าเคยพูดอะไรเอาไว้...เหลียวหันมองใบหน้าของเขา ที่กำลังตั้งอกตั้งใจกับสภาพการจราจรตรงหน้า ก็อมยิ้มด้วยรู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ กับความใส่ใจที่ได้รับ
“มองแล้วยิ้มแบบนี้ ที่หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าครับ” วิวัฒน์ที่สังเกตเห็นสีหน้าของหญิงสาว เอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีและมีรอยยิ้มในคำพูด
“ปะ...เปล่าค่ะ คือเจนแค่คิดว่า ไม่ได้เห็นครูวัฒน์ขับรถมานานแล้วน่ะค่ะ” ทำเอาต้องพูดอะไรก็ได้ที่พอจะนึกออกไปก่อนเพื่อแก้เก้อ นึกเขินอายจนต้องตำหนิตัวเองในใจว่าไปเผลอจ้องนานขนาดไหน เขาถึงได้รู้ตัวแล้วทักกลับมาแบบนี้ “นึกว่าครูวัฒน์ขายรถคันนี้ไปแล้วเสียอีก”
“ผมไม่ค่อยชอบขับรถน่ะครับ ชอบเดินมากกว่า” ชายหนุ่มหัวเราะหึ ๆ และตอบกลับคำถามของเธอ “อีกอย่างโรงเรียนก็อยู่ใกล้กับที่พักแค่นั้นด้วย เดินสะดวกกว่า ไม่เปลืองค่าน้ำมัน แถมยังแวะหาอะไรกินระหว่างทางได้ง่ายกว่าด้วยครับ”
“จริงค่ะ” ตอบสั้น ๆ แล้วก็หัวเราะแหะ ๆ ตัดจบการสนทนาในหัวข้อแปลก ๆ นี้ไปจนได้ในที่สุด
ตลอดระยะเวลาที่ได้รู้จักกัน เจนจิราเคยเห็นวิวัฒน์ขับรถยนต์คันนี้เพียงแค่สองครั้งเท่านั้น แน่นอนว่าหนึ่งในสองครั้งที่กล่าวก็คือครั้งนี้ ส่วนอีกครั้งนั้นน่าจะสักประมาณหกถึงเจ็ดปีก่อน ซึ่งก็คือวันที่เธอได้พบกับเขาเป็นครั้งแรกนั่นเอง
วันที่จู่ ๆ รถแปลกถิ่นที่เดินทางมาถึง ก็เข้ามาจอดอยู่ภายในบริเวณของโรงเรียน วินาทีที่เธอซึ่งกำลังสอนวิชาพละให้แก่เด็ก ๆ ในชั้นเรียนอยู่บริเวณนั้นพอดี ได้พบและสบสายตากับเขา
สีหน้าเฉยชาซีดเซียวของชายแปลกหน้า คล้ายกับว่าอดหลับอดนอนมานานจนแทบไม่อาจครองสติไว้ได้ มันทั้งหดหู่และดูอมทุกข์อย่างเหลือประมาณ แววตาคู่นั้นของเขาดูช่างเลื่อนลอยอีกทั้งยังเคลือบแฝงไปด้วยห้วงแห่งความหม่นเศร้า เหมือนดั่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนั้นแหลกสลายไปหมดแล้ว
ราวความสาหัสสากรรจ์ทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้ถาโถมเข้าใส่ คล้ายใบมีดนับร้อยนับพันแห่งความหดหู่สิ้นหวัง จู่โจมทิ่มแทงและกรีดลึกลงไปให้ต้องเจ็บปวดทรมานอย่างไม่จบสิ้น
และความรู้สึกเหล่านี้ที่เธอรับรู้ได้จากเขาในชั่วขณะนั้น ก็กลับกลายเป็นการรับรู้ที่มีต่อเขา ต่อตัวตนของเขา เป็นสิ่งที่ติดแน่นฝังตรึงจนไม่อาจสลัดให้หลุด หรือลืมเลือนไปได้เลยจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
เมื่อไม่มีที่ให้พักอาศัยเธอจึงแนะนำที่พักของป้าแป้นให้ เมื่อไม่มีที่ดื่มที่กินเธอจึงพาไปหาอะไรใส่ท้องที่ร้านของลุงอ่ำ และเมื่อไม่มีที่ไป ไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือจะทำอะไรต่อ เธอก็พาไปหาครูใหญ่ ซึ่งทำให้เขาได้ช่วยงานที่โรงเรียนในฐานะครูผู้ช่วย ก่อนที่จะได้บรรจุเป็นครูประจำชั้นในที่สุด
จนถึงเวลานี้เขาเปลี่ยนไปจากวันนั้นมาก เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น พูดคุยบ่อยและเก่งขึ้น ยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ในดวงตาฉายให้เห็นแววแห่งความสุขสงบและสดใสขึ้น แม้จะไม่ได้มากจนถึงขนาดกลายเป็นคนละคน แต่เขาก็เป็นวิวัฒน์คนใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมในทางที่ดี
เจนจิราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า จากคนแปลกหน้าที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยในตอนนั้น คนที่เธอบังเอิญเห็นและยื่นมือให้ความช่วยเหลือในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะพัฒนาความสัมพันธ์จนสนิทสนมกันถึงระดับที่เป็นอยู่ขนาดนี้ได้
ลอบมองไปที่ใบหน้าของคนข้าง ๆ อีกครั้ง สบตบโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันรู้สึกตัว เผยยิ้มออกมาให้กับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง ก่อนที่เธอจะย้ายสายตาเปลี่ยนมามองดูอะไรตามสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้จิตใจเปี่ยมสุขของตัวเองได้ล่องลอยออกไปไหนก็ตามที่มันอยากจะไป
ครึ่งชั่วโมงกับอุณหภูมิเย็นฉ่ำสบายตัว เสียงเพลงเบา ๆ คลอเคลียรื่นหู และเรื่องสัพเพเหระที่ต่างสรรหามาคุยกันในรถยนต์ ทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงตลาดน้ำ วนหาที่จอดอยู่ครู่เดียวก็ได้เดินเที่ยวแบบไม่ทันได้เสียเวลา
ตลาดน้ำแห่งนี้มีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่ตลอดแนวของสองฝั่งคลอง ซึ่งแตกแขนงแยกย่อยออกมาจากแม่น้ำสายหลัก ระยะทางโดยรวมจากต้นตลาดไปจนถึงด้านท้ายยาวมากกว่าสองร้อยเมตร
ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์ ของประดับของตั้งโชว์กระจุกกระจิก ขนมไทยโบราณ ของฝากแปลก ๆ ที่ไม่ค่อยมีให้เห็น ของกินเล่นที่ถือเดินไปกินไปได้ หรือแม้แต่ร้านอาหารมีสไตล์ราคาสุดหรู ทุกอย่างทุกราคามีให้เลือกครบจบเพียงที่เดียว
หลายสิบปีก่อนที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งคึกคัก และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาแทบไม่ขาดสาย กิจการล่องเรือไหว้พระเฟื่องฟูจนต้องจองคิวนานเป็นชั่วโมง ร้านอาหารที่ไม่ว่าจะราคาสูงขนาดไหน แต่คนก็ยังแน่นขนัดจนไม่เหลือที่ว่าง
การได้นั่งกินอาหารทะเลสด ๆ ย่างไฟ และปรุงกันใหม่ ๆ ต่อหน้าที่ตรงบันไดริมคลอง นั่งชมบรรยากาศคึกคักของพ่อค้าแม่ขายบนเรือแจว และลูกค้าที่ต่างพยายามแย่งเบียดกันสั่งอาหาร ก็เป็นเสน่ห์และไฮไลท์สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ไม่ว่าใครได้มาเยือนก็ล้วนอยากลอง ต้องการซึมซับบรรยากาศ รับประสบการณ์อันสุนทรีย์ในรูปแบบเฉพาะอย่างนี้กลับไปด้วยสักครั้ง
แต่สมัยนี้เรื่องราวที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ก็เป็นอดีตที่แทบไม่เห็นโอกาสหวนกลับคืนมาให้ได้สัมผัสแล้ว
ระดับน้ำในคลองที่เพิ่มสูงขึ้นจนแทบจะเสมอกันกับทางเดิน ทำให้การนั่งกินตรงบันไดลงคลองไม่สามารถทำได้และต้องจำใจยกเลิกไปโดยปริยาย อุณหภูมิที่สูงขึ้นมากทำให้ผู้ที่ไม่ชอบอากาศร้อนและทนกับการเบียดเสียดไม่ไหว ต้องเบนเข็มและเลือกที่จะเที่ยวยังสถานที่ซึ่งเย็นสบายกว่า อย่างเช่นห้างสรรพสินค้าแทน
นักท่องเที่ยวที่ลดน้อยลงกลับยิ่งบางตาขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่รวมถึงแผงขายของหน้าร้านในหลาย ๆ จุด ซึ่งเคยถูกแย่งชิงเพื่อทำมาค้าขายแบบที่ไม่เคยเว้นช่วงขาดตอน ถูกปล่อยให้ว่างไว้อย่างนั้นอย่างไร้พ่อค้าแม่ค้าเหลียวแล
ร้านอาหาร ที่พัก โฮมสเตย์ ที่เคยเปิดกันอย่างคึกคักและเต็มแทบจะตลอดเวลา ต่างก็ทยอยปิดตัวและล้มหายตายจากกันไป
แม้จะยังมีร้านค้า ที่พัก และโฮมสเตย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ถือว่าน้อยเปิดให้บริการอยู่ แต่ที่นี่ก็ไม่เคยกลับมาคึกคักอย่างเก่า ไม่เป็นที่สนใจและอยู่ในกระแสของการท่องเที่ยวอีกเลย
ทว่านั่นก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนบางคน ที่ไม่ชอบความวุ่นวายและการเบียดเสียดแก่งแย่ง ที่จะมีโอกาสได้มาเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้บ้าง และคนกลุ่มนี้ก็เป็นคนกลุ่มที่ทำให้ที่นี่ยังคงอยู่ ยังสามารถเปิดให้บริการต่อไปได้
และในจำนวนนั้นที่ได้รับประโยชน์อย่างที่ว่า ก็มีเจนจิราและวิวัฒน์รวมอยู่ด้วย
กินหมึกย่างเสียบไม้ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดจัดจ้าน ดับร้อนด้วยไอศกรีมโคนกะทิและไอศกรีมหลอดรสโคล่า เลือกเสื้อของแหล่งท่องเที่ยวให้กับตัวเอง และซื้อขนมไทยโบราณอย่างขนมสัมปันนีห่อใบตอง ขนมหยกมณี ขนมทองเอก ติดไม้ติดมือไปเป็นของฝากคนละอย่างสองอย่าง ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี