วันดับสูญ บทที่ 5 เจนจิรา

กระทู้สนทนา
5. เจนจิรา
 
         “ต่อจากนี้ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น จะเดินเล่น กินข้าว อาบน้ำ หรือทำอะไรก็ตาม จนกว่าจะถึงวันที่ทางเรากลับมารับคุณอีกหน ขอให้สวมอุปกรณ์ชิ้นนี้ไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามถอดมันออกเด็ดขาดครับ ดอกเตอร์วิวัฒน์”

         เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ยังคงมีความเคลือบแคลงสงสัย ชายชราก็รับรู้ได้ในทันทีว่าคู่สนทนากำลังนึกลังเล และยังไม่ไว้วางใจมากพอที่จะสวมใส่เครื่องมือปริศนาเข้ากับข้อมือของตนเอง

         “แม้จะไม่ได้มีค่ามากมายอะไรนัก แต่ผมขอรับรองด้วยเกียรติที่พอจะมีบ้างของตัวเอง ว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ใช่อาวุธที่จะใช้ทำอันตรายใครต่อใคร ดังนั้น ขอให้เชื่อใจว่ามันปลอดภัยทั้งกับคุณ ผม หรือใครก็ตามที่อยู่รอบ ๆ ตัวของคุณครับ”

         และในหลายครั้งหลายกรณี ที่แค่คำพูดตรงไปตรงมาแต่แสดงให้เห็นได้ถึงความจริงใจสักประโยค เพื่อช่วยสร้างความมั่นอกมั่นใจให้อีกฝ่าย ก็เป็นอะไรง่าย ๆ ที่มักช่วยคลี่คลายความตึงเครียดในสถานการณ์ทำนองนี้ได้เป็นอย่างดี

         “หลัก ๆ แล้วเราจะใช้มันเพื่อติดต่อสื่อสารกับคุณ อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกออกแบบมาให้ป้องกันการดักฟัง รวมถึงการติดตาม แกะรอยโดยเทคโนโลยีของโลกในยุคปัจจุบันทุกรูปแบบ ต่อจากนี้ทางเราจะพูดคุยกับคุณผ่านอุปกรณ์ตัวนี้เท่านั้น”

         โทมัสหยุดจังหวะไปหน่อยหนึ่ง คล้ายกำลังคิดตรึกตรองว่าควรจะต้องอธิบายไปถึงตรงไหน ก่อนที่จะตัดสินใจพูดต่อ

         “นอกจากนี้มันยังใช้ระบุพิกัดของตำแหน่งที่อยู่ของคุณ เพื่อให้ทางเราติดตามตัวคุณได้อย่างถูกต้องแม่นยำในทุกเวลาทุกสถานที่ รวม ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากสมาร์ตโฟนทุกวันนี้ที่เพิ่มระบบป้องกันตัวขั้นสูงเข้ามานั่นละครับ”

         การแบไต๋จนหมดเปลือกหรือพูดข้อมูลที่มากเกินความจำเป็น คือสิ่งที่ชายชราไม่อยากและไม่ต้องการทำ แต่ก็แน่นอนเช่นกันว่าการอธิบายแต่เพียงผิวเผินที่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายเชื่อและคลายใจลงได้ ก็ไม่อาจทำให้บรรลุวัตถุประสงค์และไม่ใช่เรื่องดีที่ควรทำเลยสักนิด

         และขณะนี้สีหน้าของวิวัฒน์ก็บ่งบอกว่าเขากำลังเป็นอย่างที่ว่ามา...ซึ่งนั่นก็ทำให้โทมัสที่จากเดิมตั้งใจจะยุติบทสนทนาไว้แต่เพียงเท่านี้ ต้องเปลี่ยนแผนและตัดสินใจให้ข้อมูลเพิ่มไปอีกหน่อย เพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับและรู้สึกพอใจได้

         “หากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดขึ้นกับคุณ เครื่องมือตัวนี้จะเริ่มทำการเก็บเซลล์และเลือดของคุณเอาไว้โดยอุปกรณ์พิเศษในตัวเครื่อง จากนั้นพิกัดที่มันส่งมาก็จะทำให้พวกเราตามมาเก็บเศษเสี้ยวของชีวิตของคุณไว้ได้ทัน”

         นี่สินะ ประโยชน์ที่แท้จริงของเจ้านี่ ที่ไม่ว่าต่อให้ในอนาคตชีวิตของเขาจะลงเอยอย่างไร แต่ในท้ายที่สุดเขาก็จะยังคงเป็นผู้ที่ได้ถูกรับเลือกอยู่ดีไม่เปลี่ยนแปลง

         มันคือคำตอบที่ฟังแล้วสอดคล้องลงตัว สมเหตุสมผลกับการกระทำใด ๆ ของอีกฝ่ายที่ดูออกจะยุ่งยากจนเกินควรที่สุด และมันก็ทำให้วิวัฒน์ยอมรับจนสวมสมาร์ทวอตช์จากต่างดาวเรือนนี้ได้เสียที

         “ขอบคุณที่ยอมเข้าใจครับ ดอกเตอร์ พวกเราไม่ต้องการความผิดพลาดใด ๆ อีก แม้แค่เหตุสุดวิสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม”

         โทมัสพ่นลมหายใจออกทางปากอย่างโล่งอก ในที่สุดเป้าหมายทุกอย่างในวันนี้ก็บรรลุได้เสียที

         “ถึงแม้เวลาจะมีไม่มากนัก แต่มันก็นานพอที่จะเหลือให้คุณได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้อย่างเต็มที่ ใช้เวลาที่มีนับจากนี้ตามต้องการให้คุ้มค่าที่สุด แล้วหลังจากนั้นก็ทิ้งความอาลัยอาวรณ์ที่เหลือทั้งหมดไว้บนโลกใบนี้เถอะครับ”
 

         “เอาละ...เด็ก ๆ ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว คนที่ทำเสร็จแล้วให้เอาอุปกรณ์ของตัวเองไปล้างแล้วนำมาตากไว้ในตะกร้าใบนี้นะ ล้างหน้าล้างมือให้สะอาดด้วยล่ะ เรียบร้อยแล้วก็ไปรอกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารได้เลยนะครับ”

         วิวัฒน์ที่ในชั่วโมงเรียนนี้พาเหล่าเด็กนักเรียนตัวน้อยชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ให้ออกมาหัดทำการเกษตรเบื้องต้น โดยใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างช้อนส้อมพรวนดิน อยู่ที่ตรงบริเวณแปลงเกษตรของโรงเรียน

         เขายืนรอจนกระทั่งเด็กคนท้ายสุดจัดการกับตัวเอง และผ่านเข้าไปภายในบริเวณโรงอาหารเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็พอดีกับเสียงกริ่งหมดเวลาเรียนที่ดังขึ้น จึงค่อยเคลื่อนย้ายตะกร้าซึ่งบรรจุอุปกรณ์ที่ยังเปียกชื้นจากการล้างทำความสะอาดเมื่อสักครู่ ไปตากผึ่งไว้ที่บนชั้นวางตรงหน้าอาคารเก็บอุปกรณ์

         ตรวจสอบด้วยสายตาคร่าว ๆ ว่าไม่มีอะไรตกหล่นหลงลืมไปแล้ว ก็พาตัวเองกลับเข้าอาคารเรียนบนชั้นสอง โดยไม่ลืมที่จะซื้อขนมปังไส้หมูหยองสองชิ้น และนมเปรี้ยวอีกสองขวดจากร้านค้ามอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ที่ขี่มาจอดขายอยู่ตรงนอกประตูรั้วโรงเรียนสำหรับเป็นมื้อเที่ยงติดมือไปด้วย

         ห้องพักครูซึ่งตามปกติในช่วงเวลานี้ไม่ควรจะมีครูคนใดอยู่ที่นี่แล้ว ทว่าวันนี้กลับยังมีครูเจนจิรา ที่ยังคงนั่งอยู่แต่เพียงลำพังในห้อง ที่ตรงโต๊ะทำงานของตัวเธอเอง ซึ่งแน่นอนว่าวิวัฒน์รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

         เพราะเดิมทีวิชาเกษตรที่ชายหนุ่มเพิ่งสอนเด็ก ๆ เสร็จเรียบร้อยไปนั้น เป็นวิชาที่ครูเจนจิราผู้นี้รับผิดชอบ แต่ในช่วงเปลี่ยนชั่วโมงเรียนก่อนเริ่มวิชา ก็กลับเกิดเหตุขึ้นนิดหน่อย

         ครูสาวที่กำลังหอบเอาสมุดการบ้านของนักเรียน จากชั่วโมงเรียนที่เพิ่งสอนเสร็จกลับไปยังห้องพักครู เกิดกะระยะก้าวขึ้นบันไดผิดจนพลาดหกล้ม ข้อเท้าพลิกบาดเจ็บขึ้นมา

         ในโรงเรียนไม่มีห้องพยาบาล เขาซึ่งอยู่ในเหตุการณ์พอดีจึงช่วยพยุงพาให้มานั่งพักที่ห้องพักครู หาขวดใส่น้ำเย็นไว้ให้ใช้ประคบ เพื่อลดความเจ็บปวดและอาการบวม สุดท้ายก็ออกปากอาสาช่วยสอนวิชาเกษตรแทนให้ เนื่องจากเป็นชั่วโมงว่างของตนเองพอดี

         “เป็นอย่างไรบ้างครับ ครูเจน” เขาเดินเข้าไปหา เอ่ยปากถามไถ่พร้อมยื่นขนมปังและนมเปรี้ยวในมือชุดหนึ่งให้ “นี่ครับ”

         “ขอบคุณค่ะ ครูวัฒน์” หญิงสาวยื่นมือไปรับมื้อเที่ยงมาไว้กับตัว รอยยิ้มหวานใสที่แตะแต้มขึ้นอย่างไร้จริตมารยา ช่วยให้ใบหน้าซึ่งในยามปกติดูเรียบ ๆ ไร้จุดโดดเด่นเกิดสะดุดตา มีเสน่ห์ขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด

         เธอหมุนเก้าอี้ที่กำลังนั่งอยู่ ให้ร่างเล็กของตัวเองประจันหน้าตรงกันกับเขา เอี้ยวตัวบิดขาหน่อยหนึ่งเพื่อให้ผู้ถามได้เห็นตรงส่วนข้อเท้าซ้าย “บวมแค่นิดหน่อยเองค่ะ ถ้าไม่ลุกเดินหรือขยับมาก นั่งอยู่เฉย ๆ อย่างนี้ก็ไม่ค่อยเจ็บแล้วละ...ว่าแต่ครูล่ะคะ ไปสอนเกษตรให้เด็ก ๆ มา เป็นอย่างไรบ้าง”

         นึกไปถึงสีหน้าตื่นเต้นดีใจและความกระตือรือร้น สนุกสนานที่ได้จับได้ใช้เครื่องไม้เครื่องมือพรวนดินของนักเรียนตัวน้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา “สนุกดีครับ เด็ก ๆ ก็น่ารักมาก ตั้งอกตั้งใจขุดดินกันน่าดูเลย”

         “ใช่ไหมล่ะค่ะ” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยร่องรอยของความสุขขึ้นอีกหน่อย ด้วยเพราะไม่ได้รู้สึกต่างอะไรไปจากเขาสักนิด

         สายตาสอดส่ายมองหา หยิบยางรัดผมสีดำบนโต๊ะขึ้นมา มัดรวบเส้นผมสลวยสีดำสนิทของเธอเอง ซึ่งยาวเลยบ่าไปเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทาง "มาค่ะ ครูวัฒน์ กินขนมปังกับนมเปรี้ยวนี่กันดีกว่า เจนหิวแล้ว”

         “ดีเหมือนกันครับ ผมก็หิวแล้วเหมือนกัน”

         ที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะซึ่งมีเขาและเธอนั่งอยู่ด้วยกัน เธอส่งยิ้มให้และเขาก็ส่งยิ้มตอบ แล้วมื้อเที่ยงอันแสนสุขสงบก็เริ่มต้นขึ้นในแบบนี้ คุยกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง หยอกล้อเฮฮากันบ้าง ไปตามประสาคนที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี

         ด้วยอารมณ์ที่ต่างคนต่างกำลังเป็น ด้วยสัมผัสที่ต่างคนต่างเข้าถึง ด้วยความรู้สึกที่ต่างคนต่างก็กำลังรับรู้ได้ในแบบของแต่ละคนเอง

         ซึ่งแน่นอนว่า...ทั้งเจนจิราและวิวัฒน์เอง ต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายจะคิดและรู้สึกอย่างไร หากไม่มีใครที่เป็นฝ่ายเริ่มต้น และเผยสิ่งที่อยู่ในใจนั้นออกมาก่อนด้วยตัวเอง

         ครูชายหญิงทั้งสองใช้เวลาไม่นานกับการจัดการมื้อเที่ยงง่าย ๆ มื้อนี้ ตรวจสอบเก็บกวาดบริเวณโดยรอบที่เพิ่งใช้มันเป็นโต๊ะและห้องอาหารชั่วคราวเรียบร้อย จนวิวัฒน์กลับไปประจำที่ยังโต๊ะของตนเองแล้ว

         ครูบุญชัย ครูผู้มีอาวุโสที่สุดในโรงเรียนที่อิ่มท้องจากโรงอาหารเป็นคนแรก ก็พาร่างอันหนาใหญ่ของเขาเองกลับมาถึงห้องพักครูพอดี

         “มา ครูเจน มากินมื้อเที่ยงก่อน ผมซื้อแซนวิชกับน้ำส้มมาให้ นิด ๆ หน่อย ๆ กินกันหิวน่าจะพอไหว” พูดด้วยเสียงอันดังและรอยยิ้มกว้างอย่างคนเปิดเผยตรงไปตรงมา

         มือข้างหนึ่งยกขึ้นปาดเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากกว้าง ส่วนอีกข้างก็ยื่นส่งถุงหูหิ้วพลาสติกที่ถืออยู่ให้ “ให้เจ็บขาอย่างเดียวพอ อย่าให้ต้องเป็นลมเป็นแล้งเพราะอดข้าวอดน้ำไปอีกอย่างล่ะ”

         “ขอบคุณค่ะ ครูชัย” เจนจิรารับถุงใส่ของกินมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า แล้วจึงพูดตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเจื่อนจ๋อย คล้ายคนกำลังรู้สึกและสำนึกผิดเต็มที่ “เดี๋ยวยังไงเจนขอเก็บไว้กินทีหลังนะคะ”

         ได้ฟังคำตอบก็เหลียวมองไปทางอีกคนที่เหลืออยู่ เห็นวิวัฒน์ทำหน้านิ่งไม่สนใจ แต่มุมปากกลับอมยิ้มอยู่หน่อย ๆ ก็รู้ทันที “สงสัยว่าจะโดนตัดหน้า ไม่รู้ละ ผมซื้อมาแล้ว อย่างไรครูเจนก็ต้องกินด้วยนะ”

         “ค่า ครูชัย” เธอตอบลากเสียงยาว นึกตลกจนกลั้นหัวเราะไม่อยู่กับอาการแง่งอนปลอม ๆ ที่ครูรุ่นพี่แกล้งแสดงออกมา

         แล้วเที่ยงนั้นก็กลายเป็นว่า ครูคนอื่นที่พอจะรู้ข่าวการบาดเจ็บของเจนจิรา ต่างก็พร้อมใจกันหอบหิ้วถุงมื้อเที่ยงมาให้ จนสุดท้ายของกินและเครื่องดื่มบนโต๊ะของเธอ ก็มีเยอะแยะเต็มไปหมดจนกินคนเดียวน่าจะไม่ไหวค่อนข้างแน่

         ที่สุดแล้วก็เลยสรุปตกลงกันว่า สิบห้านาทีที่ว่างในช่วงพักเบรกตอนบ่ายสองโมงครึ่ง ทุกคนจะกลับมากินพร้อมหน้าพร้อมตา คล้ายเป็นปาร์ตี้เล็ก ๆ ระหว่างครูด้วยกันในระยะเวลาสั้น ๆ ตอนนั้น

         เสียงกริ่งแจ้งเตือนแผดดังขึ้น เพื่อให้เด็กนักเรียนและครูได้เตรียมความพร้อมในช่วงห้านาทีสุดท้าย ก่อนที่เวลาเข้าเรียนตอนบ่ายโมงจะเดินทางมาถึง เพื่อนและรุ่นพี่ร่วมงานเน้นย้ำถามไถ่ โดยถ้าหากเจนจิรายังไม่ไหว คนที่ยังว่างจะได้เข้าสอนให้แทน

         “เจนไม่เป็นอะไรมากแล้ว นั่งสอนบ้าง ยืนสอนบ้าง สลับ ๆ กันไป สบายมากค่ะ”

         เมื่อผู้ได้รับบาดเจ็บยืนกรานแบบนั้น ทุกคนก็ทำได้แค่ยอมตามใจ และปล่อยให้เธอได้เข้าสอนวิชาที่รับผิดชอบไปตามปกติ

         ว่ากันว่า...เวลาเป็นสัมพัทธภาพกับจิตใจ การรับรู้ในเรื่องเวลาของคนแต่ละคนจึงไม่เหมือนและไม่เท่ากัน มันจะเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าหรือรวดเร็วเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะและความรู้สึกของผู้รับรู้ในชั่วขณะนั้น ๆ

         สำหรับหญิงสาวผู้มองโลกในแง่ดีเป็นปกติเสมอมาอย่างเจนจิรา เวลาของเธอที่ถูกขับเคลื่อนด้วยทัศนคติเชิงบวกคงจะหมุนวนไปอย่างรวดเร็ว ทว่ากับวิวัฒน์ผู้ซึ่งเอาแต่จมอยู่แต่ในห้วงแห่งความเจ็บปวดของอดีต เวลาที่ถูกผลักดันจากความขมขื่นคงจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทุกข์ทรมาน

         แต่ถึงอย่างไรแล้ว สิ่งที่เรียกว่าเวลาก็ไม่เคยหยุดเพื่อรอใคร และมันจะยังคงเดินต่อไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะต้องการให้มาถึงหรือไม่ก็ตาม...แต่มันก็จะมาถึงในที่สุด

         จากบ่ายโมงเป็นบ่ายสองโมงครึ่ง ชั่วครู่ที่ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันภายในห้องพักครู เวลาก็ส่งให้ทุกคนเคลื่อนผ่านไปยังช่วงที่ต้องเข้าสอนอีกครั้งหนึ่ง

         เวลาบ่ายสามโมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาเลิกเรียนเดินทางมาถึง

         และจากตรงนั้นจนมาถึงจุดนี้ที่เวลาประมาณเกือบ ๆ จะหกโมงเย็น ครูที่เหลืออยู่เพียงสองคนภายในโรงเรียนอย่างเจนจิราและวิวัฒน์ ก็ปิดล็อคประตูห้องพักครูและกำลังเดินออกจากอาคารเรียนมาด้วยกัน เพื่อต่างจะกลับไปพักผ่อนยังที่พักของตน

         “เดี๋ยวผมขี่ไปส่งให้ดีกว่าครับ ครูเจน”

         เห็นท่าทียักแย่ยักยันของครูสาวกับมอเตอร์ไซค์ของเธอเอง ที่ดูทุลักทุเลเอาการเพราะข้อเท้าน่าจะยังเจ็บอยู่แล้ว ชายหนุ่มซึ่งตามมาส่งถึงลานจอดรถ จึงเอ่ยปากอาสาทำหน้าที่พาเธอไปส่งให้ถึงบ้าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่