- ก่อนดูเรื่องนี้ได้อ่านเรื่องย่อและดูตัวอย่างมาก็พอจะอนุมานคร่าว ๆ ว่าหนังมันจะดำเนินเรื่องไปอย่างไรและจะจบลงแบบไหนบวกกับตัวหนังได้รับคำวิจารณ์ที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศปี 2024 ที่ผ่านมานี้ด้วยทำให้ยิ่งอยากดูมากเข้าไปอีกจนพอได้มาดูกับตาจริงก็เป็นไปอย่างที่คาดหวังแต่ประหลาดใจอยู่อย่างคือไม่คิดว่ามันจะมาเร็วกว่านี้จนเราถึงกับอารมณ์ค้างไปชั่วขณะ เพราะ การเล่าไปเรื่อยเปื่อยมันทำให้เราเสพ Details ระหว่างทางที่แทรกไปด้วยสัญญะต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่ได้ไปนั่งจับผิดหรือไปคาดเดาตลอดเวลาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ซึ่งไอ้ความที่เล่าไปข้างหน้าตามใจฉันข้อดีอีกอย่างคือมันสามารถเล่นทีเผลอตอนไหนก็ได้กับคนดูอย่างเราที่กำลัง Joint ไปกับวิธีการทำอาหารมากหน้าหลายเมนูก็ดีหรือความคลั่งรักของโดแดงที่อยากจะข้ามเส้นความสัมพันธ์กับอูซินี่ใจจะขาดก็ดีได้โดยไม่ทันตั้งตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็โดนผู้กำกับพูดใกล้หน้าแล้วยิ้มอ่อนตามว่าโดนกูเล่นให้แล้ว
- เปิดฉากมาด้วยเทคนิคสุดเจริญตาด้วยการถ่ายภาพตัวละครกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารด้วยความขะมักเขม้นราวกับอยู่ในรายการแชมป์กระทะเหล็กโดยมีโจทย์จากลูกค้ามาว่าวันนี้กูอยากกินอันนี้พวกไปทำมาให้กูกินหน่อย ขณะเดียวกันก็เป็นการแนะนำไปในตัวว่าใครเป็นใคร มีหน้าที่อะไร ด้วยวิธีการถ่ายแบบ Long Take จะช่วยทำให้การเล่ามีมิติขึ้นราวกับว่าเป็นกรรมการยืนคุมตัวละครทำอาหารอย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้กลิ่นความ Romance จาง ๆ ระหว่าง โดแดง กับ อูซินี่ ผ่านภาษากายเป็นระยะ ถ้าไม่บอกว่าตัวละครแต่ละคนมี Relationship อย่างไรก็คงคิดว่าเหมือนนั่งดูครอบครัวสุขสันต์กำลังทำอาหารกันอยู่ในบ้านเล็กแต่ระหว่างนั้นก็สงสัยอยู่ว่าเด็กสาว 2 คนที่เป็นลูกมือ อย่าง ไวโอเลต กับ พอลลีน เป็นใคร ? มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ โดแดง กับ อูซินี่ จนพอมีการพูดคุยปฎิสัมพันธ์กันก็เข้าใจว่าเป็นแบบนี้ ๆ ไอ้เราก็มโนไปว่า โดแดง แอบกินเด็กไว้เป็นนางสนมหรือเปล่าวะ ? ซึ่งพอรู้คำตอบแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มโนไว้
- หลังจาก Long Take โชว์กระทะเหล็กชวนน้ำลายสอจบลงยอมรับอีกว่าเผลอวูบไปชั่วพริบตาด้วยความที่ยังไม่มีจุดกระตุ้นต่อมปมด้วยแต่ไม่นานรีบดึงสติขึ้นมาปรากฎว่าถึงตอนที่ อูซินี่นั่งคุยกับพอลลีน บนโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นก็จูนติดต่อไปได้โดยไม่รู้สึกง่วงอีกเลย เพราะหนังจะค่อย ๆ ไปโฟกัสที่ความสัมพันธ์ของโดแดงกับอูซินี่ ค่อย ๆ เขยิบไปข้างหน้าจากการรุกของโดแดงที่อยากข้ามเส้นความเป็นเจ้านาย-ลูกน้องที่ทำงานร่วมกันอยู่ด้วยกันมานานจนกลายเป็นคู่ชีวิตเพราะต่างฝ่ายก็เอาใจลงไปเล่นแล้วเช่นกัน ขณะเดียวกัน Part ทำอาหารก็ยัง Continue ต่อเพียงแต่ถูกทำหน้าที่เป็นส่วน Support ให้กับตัวละครขับเคลื่อนไปแค่นั้น
- จุดเด่นคือ ภาพจัดแสงโทน Bossa Blossom ได้สบายตาเข้ากับบ้านของโดแดงที่เปิดเป็นร้านอาหารไว้ต้อนรับลูกค้าหรือสหายที่แวะเวียนเม้ามอยหอยสังข์ มีบริเวณหน้าบ้านทำแปลงเป็นสวนผักผสมกับปลูกดอกไม้เหมือนเดินอยู่ในโลกเทพนิยายยังไงยังงั้น ดังนั้นตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที ไม่ว่ากล้องจะเลื่อนไปดูมุมไหนในบ้านหรือแวะไปดูโดแดงกับอูซินี่ออกไปดีลกับลูกค้า เราจะเห็นตัวละครหลักเหล่านี้ กลับมาประกอบ Activity อยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ว่าจะทำอาหาร , กินข้าว , แอบมองอูซินี่อาบน้ำ หรือ จงใจเปิดประตูห้องนอนให้โดแดงย่องเข้ามากลางดึก เหมือนสร้างเป็นโลกส่วนตัวของโดแดงไว้ให้คนที่เขารักอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวจริง ๆ แต่ความเอื้อเฟื้อต่อกันมันอบอุ่นเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันจนผมนึกถึงเรื่อง Shoplifters (2018) ลอยขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นได้ชัดคือการตัดข้ามไปอีกฉากดื้อ ๆ ตามใจฉันที่เจอกันอีกแล้วในหนังสไตล์นี้บอกเลยว่าไม่อยากชินกับวิธีนี้แต่เข้าใจว่าคงอยากให้อิสระแก่ผู้กำกับ Anh Hung Tran ใส่อัตลักษณ์ความเป็นฝรั่งเศสจากประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมเต็มที่ภาพรวมที่ดูจึงออกมาได้ดีทีเดียวทั้งที่เป็นคนเวียตนามแต่ปัญหาหลักคืออยากเสพ Moment นั้นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยข้ามไปอีกฉากก็ได้ ไม่ใช่อยู่ ๆ นึกจะตัดก็ตัดมันจึงทำให้ Details บางอย่างหล่นหายไปเช่นกัน
- สรุป ชอบและดีต่อใจสมการรอคอยตามที่คาดหวัง ดูง่าย ย่อยง่าย เป็นหนังรักที่ไม่ปรุงเครื่องให้โดดไปทางรสใดรสหนึ่งแต่จะแทรกความเป็น Drama กับบรรยากาศข้างทางลงไปช่วยดึงรสให้กลมกล่อมพอดีแถมได้เคมีที่เข้าขากันของ 2 นักแสดงนำอย่าง เฮีย Benoit Magimel กับ เจ๊ Juliette Binouche ที่ช่วยทำให้เราซึมไปกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่มีให้กันไปทีละนิดเหมือนว่านั่งดูพวกเขากลับมาคบกันอีกครั้งทั้งที่เลิกไปแล้วส่วน 2 สาวลูกมืออย่าง Galatea Bellugi และ Bonnie Chagneau-Ravoire ทำหน้าที่ Support เรื่องแถมเป็นพยานรักสื่อใจให้แก่ทั้งคู่ได้ดี ภาษาที่ใช้แต่ละคำหรือภาษากายจะมีความพรรณนาโอ้ลมโวหารแต่อยู่ใน Way ที่ไม่เลี่ยนฝืดคอและไม่น้ำเน่าจนอยากอาเจียน ขณะเดียวกันก็ต้องใช้วิจารณญาณในการตีความพอสมควร เพราะ มันเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมความเป็นมาของระบบชนชั้นในสังคมฝรั่งเศสในสมัยนั้นโดยมี อาหาร เป็นสื่อกลางเหมือนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไปในตัว ส่วนช่วงท้ายก็เป็นไปตามหนังสไตล์นี้ในการเปิดพื้นที่ให้คนดูคิดตามอัธยาศัยต่อจากสิ่งที่เห็นด้วยการปล่อยให้กล้องค่อย ๆ หมุนภาพตรงหน้าเป็นวงกลมไปช้า ๆ แล้วให้เราจ้องมองภาพตรงหน้าตามเหมือนกับถูกสะกดจิตถือว่าเป็นตัวช่วยในการบรรยายหรือสรุปเรื่องราวแทนคำพูดได้ลึกซึ้งและงดงามเลยทีเดียว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.92 The Taste of Things : สูตรรัก ยอดนักปรุง
- ก่อนดูเรื่องนี้ได้อ่านเรื่องย่อและดูตัวอย่างมาก็พอจะอนุมานคร่าว ๆ ว่าหนังมันจะดำเนินเรื่องไปอย่างไรและจะจบลงแบบไหนบวกกับตัวหนังได้รับคำวิจารณ์ที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศปี 2024 ที่ผ่านมานี้ด้วยทำให้ยิ่งอยากดูมากเข้าไปอีกจนพอได้มาดูกับตาจริงก็เป็นไปอย่างที่คาดหวังแต่ประหลาดใจอยู่อย่างคือไม่คิดว่ามันจะมาเร็วกว่านี้จนเราถึงกับอารมณ์ค้างไปชั่วขณะ เพราะ การเล่าไปเรื่อยเปื่อยมันทำให้เราเสพ Details ระหว่างทางที่แทรกไปด้วยสัญญะต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่ได้ไปนั่งจับผิดหรือไปคาดเดาตลอดเวลาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ซึ่งไอ้ความที่เล่าไปข้างหน้าตามใจฉันข้อดีอีกอย่างคือมันสามารถเล่นทีเผลอตอนไหนก็ได้กับคนดูอย่างเราที่กำลัง Joint ไปกับวิธีการทำอาหารมากหน้าหลายเมนูก็ดีหรือความคลั่งรักของโดแดงที่อยากจะข้ามเส้นความสัมพันธ์กับอูซินี่ใจจะขาดก็ดีได้โดยไม่ทันตั้งตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็โดนผู้กำกับพูดใกล้หน้าแล้วยิ้มอ่อนตามว่าโดนกูเล่นให้แล้ว
- เปิดฉากมาด้วยเทคนิคสุดเจริญตาด้วยการถ่ายภาพตัวละครกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารด้วยความขะมักเขม้นราวกับอยู่ในรายการแชมป์กระทะเหล็กโดยมีโจทย์จากลูกค้ามาว่าวันนี้กูอยากกินอันนี้พวกไปทำมาให้กูกินหน่อย ขณะเดียวกันก็เป็นการแนะนำไปในตัวว่าใครเป็นใคร มีหน้าที่อะไร ด้วยวิธีการถ่ายแบบ Long Take จะช่วยทำให้การเล่ามีมิติขึ้นราวกับว่าเป็นกรรมการยืนคุมตัวละครทำอาหารอย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้กลิ่นความ Romance จาง ๆ ระหว่าง โดแดง กับ อูซินี่ ผ่านภาษากายเป็นระยะ ถ้าไม่บอกว่าตัวละครแต่ละคนมี Relationship อย่างไรก็คงคิดว่าเหมือนนั่งดูครอบครัวสุขสันต์กำลังทำอาหารกันอยู่ในบ้านเล็กแต่ระหว่างนั้นก็สงสัยอยู่ว่าเด็กสาว 2 คนที่เป็นลูกมือ อย่าง ไวโอเลต กับ พอลลีน เป็นใคร ? มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ โดแดง กับ อูซินี่ จนพอมีการพูดคุยปฎิสัมพันธ์กันก็เข้าใจว่าเป็นแบบนี้ ๆ ไอ้เราก็มโนไปว่า โดแดง แอบกินเด็กไว้เป็นนางสนมหรือเปล่าวะ ? ซึ่งพอรู้คำตอบแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มโนไว้
- หลังจาก Long Take โชว์กระทะเหล็กชวนน้ำลายสอจบลงยอมรับอีกว่าเผลอวูบไปชั่วพริบตาด้วยความที่ยังไม่มีจุดกระตุ้นต่อมปมด้วยแต่ไม่นานรีบดึงสติขึ้นมาปรากฎว่าถึงตอนที่ อูซินี่นั่งคุยกับพอลลีน บนโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นก็จูนติดต่อไปได้โดยไม่รู้สึกง่วงอีกเลย เพราะหนังจะค่อย ๆ ไปโฟกัสที่ความสัมพันธ์ของโดแดงกับอูซินี่ ค่อย ๆ เขยิบไปข้างหน้าจากการรุกของโดแดงที่อยากข้ามเส้นความเป็นเจ้านาย-ลูกน้องที่ทำงานร่วมกันอยู่ด้วยกันมานานจนกลายเป็นคู่ชีวิตเพราะต่างฝ่ายก็เอาใจลงไปเล่นแล้วเช่นกัน ขณะเดียวกัน Part ทำอาหารก็ยัง Continue ต่อเพียงแต่ถูกทำหน้าที่เป็นส่วน Support ให้กับตัวละครขับเคลื่อนไปแค่นั้น
- จุดเด่นคือ ภาพจัดแสงโทน Bossa Blossom ได้สบายตาเข้ากับบ้านของโดแดงที่เปิดเป็นร้านอาหารไว้ต้อนรับลูกค้าหรือสหายที่แวะเวียนเม้ามอยหอยสังข์ มีบริเวณหน้าบ้านทำแปลงเป็นสวนผักผสมกับปลูกดอกไม้เหมือนเดินอยู่ในโลกเทพนิยายยังไงยังงั้น ดังนั้นตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที ไม่ว่ากล้องจะเลื่อนไปดูมุมไหนในบ้านหรือแวะไปดูโดแดงกับอูซินี่ออกไปดีลกับลูกค้า เราจะเห็นตัวละครหลักเหล่านี้ กลับมาประกอบ Activity อยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ว่าจะทำอาหาร , กินข้าว , แอบมองอูซินี่อาบน้ำ หรือ จงใจเปิดประตูห้องนอนให้โดแดงย่องเข้ามากลางดึก เหมือนสร้างเป็นโลกส่วนตัวของโดแดงไว้ให้คนที่เขารักอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวจริง ๆ แต่ความเอื้อเฟื้อต่อกันมันอบอุ่นเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันจนผมนึกถึงเรื่อง Shoplifters (2018) ลอยขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นได้ชัดคือการตัดข้ามไปอีกฉากดื้อ ๆ ตามใจฉันที่เจอกันอีกแล้วในหนังสไตล์นี้บอกเลยว่าไม่อยากชินกับวิธีนี้แต่เข้าใจว่าคงอยากให้อิสระแก่ผู้กำกับ Anh Hung Tran ใส่อัตลักษณ์ความเป็นฝรั่งเศสจากประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อมเต็มที่ภาพรวมที่ดูจึงออกมาได้ดีทีเดียวทั้งที่เป็นคนเวียตนามแต่ปัญหาหลักคืออยากเสพ Moment นั้นให้เสร็จก่อนแล้วค่อยข้ามไปอีกฉากก็ได้ ไม่ใช่อยู่ ๆ นึกจะตัดก็ตัดมันจึงทำให้ Details บางอย่างหล่นหายไปเช่นกัน
- สรุป ชอบและดีต่อใจสมการรอคอยตามที่คาดหวัง ดูง่าย ย่อยง่าย เป็นหนังรักที่ไม่ปรุงเครื่องให้โดดไปทางรสใดรสหนึ่งแต่จะแทรกความเป็น Drama กับบรรยากาศข้างทางลงไปช่วยดึงรสให้กลมกล่อมพอดีแถมได้เคมีที่เข้าขากันของ 2 นักแสดงนำอย่าง เฮีย Benoit Magimel กับ เจ๊ Juliette Binouche ที่ช่วยทำให้เราซึมไปกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่มีให้กันไปทีละนิดเหมือนว่านั่งดูพวกเขากลับมาคบกันอีกครั้งทั้งที่เลิกไปแล้วส่วน 2 สาวลูกมืออย่าง Galatea Bellugi และ Bonnie Chagneau-Ravoire ทำหน้าที่ Support เรื่องแถมเป็นพยานรักสื่อใจให้แก่ทั้งคู่ได้ดี ภาษาที่ใช้แต่ละคำหรือภาษากายจะมีความพรรณนาโอ้ลมโวหารแต่อยู่ใน Way ที่ไม่เลี่ยนฝืดคอและไม่น้ำเน่าจนอยากอาเจียน ขณะเดียวกันก็ต้องใช้วิจารณญาณในการตีความพอสมควร เพราะ มันเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมความเป็นมาของระบบชนชั้นในสังคมฝรั่งเศสในสมัยนั้นโดยมี อาหาร เป็นสื่อกลางเหมือนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไปในตัว ส่วนช่วงท้ายก็เป็นไปตามหนังสไตล์นี้ในการเปิดพื้นที่ให้คนดูคิดตามอัธยาศัยต่อจากสิ่งที่เห็นด้วยการปล่อยให้กล้องค่อย ๆ หมุนภาพตรงหน้าเป็นวงกลมไปช้า ๆ แล้วให้เราจ้องมองภาพตรงหน้าตามเหมือนกับถูกสะกดจิตถือว่าเป็นตัวช่วยในการบรรยายหรือสรุปเรื่องราวแทนคำพูดได้ลึกซึ้งและงดงามเลยทีเดียว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้