ความ Loser ของเราใน Ep.นี้ เริ่มมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ( ช่วงโควิด )
เราออกจากงานที่เป็นลูกจ้างของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง เงินเดือนสุดท้ายคือประมาณ 12,000 บาท ในวัย 35 ปี
ด้วยความที่งานเราเป็นสัญญาจ้าง ตอนลาออกมาจึงไม่ได้มีการจ่ายค่าชดเชยใดๆให้ และเราไม่มีเงินเก็บ
จังหวะนั้น โควิดกำลังหนัก เรามีแค่เงินเดือนก้อนสุดท้าย กับหอพักหญิงชั้นดาดฟ้า ไม่มีแอร์ ที่เราเช่าอยู่เดือนละ2,000บาท
ก่อนหน้านั้น เราใช้หอพักแค่เก็บของ ส่วนมากเรานอนที่ทำงาน ( ต้องเข้ากะเลยมีที่นอนให้ ) เพราะมีแอร์
พอล็อคดาวน์ เราจึงต้องขังตัวเองอยู่ในห้องนั้น นอนเหงื่อท่วมทั้งๆที่มีพัดลมอยู่ตัวนึง
ตอนนั้นเราหางานใหม่ยังไม่ได้ และมาเจอกับพี่คนนึงเป็นหัวหน้าหน่วยอาวุโสบริษัทประกันแห่งหนึ่ง แกจึงชวนเราเข้าสู่วงการตัวแทนประกันชีวิต
เราผู้ซึ่งไม่เคยสนใจงานนี้ แต่เพราะตกงาน จึงลองเปิดใจดู
ตอนเข้ามาอบรม มาเจอผู้คนที่นั่น เราอายมากกกก เพราะสภาพเราคือ โกโรโกโสสุดๆ
ผู้คนที่นั่นทั้งตัวแทนเก่า ทั้งคนมา Open House คือ ดูดี ดูฉลาด ดูรวย และคนที่มาอบรมในช่วงนั้นส่วนมาก เป็นแอร์-สจ๊วต , นักบิน , ถ้าอยู่บริษัทเอกชนก็จะมีตำแหน่งงานดีๆ ระดับซีเนียร์ขึ้นไป , ข้าราชการก็ระดับ ผอ.โรงเรียน
แต่สภาพเราคือ ไม่ได้เลย มันบ่ได้เลยหญิง แต่ยอมรับว่าที่เรามา เพราะพี่เขาบอกว่ามีอาหารเลี้ยง ( เราเป็นคนเห็นแก่กินจริงๆ )
ตอนนั้นเราคิดว่า ที่นั่นไม่เหมาะกับเราอย่างแรง ด้วยอะไรหลายๆอย่าง เราจึงพยายามเฟดตัวออกมา
แต่หัวหน้าก็มาคุยจนเราไปเข้าโครงการที่รับเงินเดือนของเขาได้
เราผู้ซึ่งไม่เคยทำงานขายมาก่อน แล้วต้องมาขายประกัน ( จริงๆเขามีชื่อเรียกสวยๆกว่านั้น ) มันก็ไม่คุ้นกับงานขาย หรือ consult แต่ก็ขาย
แต่ตอนนั้นเราใจสู้มาก เราสามารถออกตลาดไปคุยกับคนวันละ 30 คนก็ทำมาแล้ว ( แต่ทำได้ไม่กี่วัน )
เรายอมปรับการแต่งตัว ไม่ได้จะให้ดูรวย แต่ให้ดูเรียบร้อยและน่าเชื่อถือ จะเรียกว่าสร้างภาพก็ใช่ เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นเพื่อพบเจอผู้คน ซึ่งก็ช่วยได้นิดนึง
แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างรวมกัน ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้เลย
เอาจริงๆ เราก็พอมองเห็นได้ว่าอะไรในตัวเราที่มันไม่ได้
อันดับแรก เราไม่พยายามขายคนรู้จัก เราแค่ประกาศให้เขารู้ว่าเราทำ
แต่จะไม่ไปเปิดอกคุยจริงจัง หรือเปิดประเด็นคุยเรื่องประกัน ถ้าเขาไม่เอ่ยขึ้นมาก่อน
อันดับสอง เราเป็นคนเปิดตัว หรือหาลีดจากคนแปลกหน้าเก่งมาก แต่ก่อนเราไม่อายเลยที่จะเดินขายแบบ Knock-Door
แต่ปัญหาของเราคือ เราเก็บลีดหรือ เปิดลูกค้าครั้งแรกเก่ง แต่เราไม่ค่อยตามลูกค้า หรือไปต่อในระดับที่ลูกค้ายอมนั่งคุยกับเรายาวๆไม่ได้
เรารู้สึกมีปัญหากับการพูดอธิบายเรื่องประกัน เพราะรายละเอียดมันเยอะมากกก และเวลาลูกค้ายิงคำถามมาเรามักจะตอบไม่ได้
เราเลยจิตใจหดหู่กลัวการขายประกันและโดนปฏิเสธอยู่เสมอ จนความมั่นใจในตัวเองลดลงๆ ทุกวัน
ลูกค้าที่เราได้มา มักจะมาจากการที่หัวหน้าหามาให้ และมีน้อยมาก ที่เป็นเพื่อนเราที่ทักมาซื้อเอง ส่วนครอบครัวเราไม่มีใครซื้อกับเราเลย ( พ่อแม่เราไม่อยู่แล้ว เหลือแต่น้องชาย น้าๆ และลูกหลานเขา ) เราก็ไม่ได้ไปเร้าหรือเขา
ทั้งหมดนี้ ทำให้เรารับรู้หลังจากทำงานนี้ไประยะหนึ่ง ว่าตรงนี้คงไม่ใช่ที่ของเรา แต่เรายังโอเคกับงานขายประกันอยู่ เราจึงคิดจะเปลี่ยนบริษัท เพราะรู้สึกว่าเราอาจจะโง่ หรือ ดูไม่ดีพอที่จะขายกลุ่มลูกค้าของบริษัทนี้ได้ และเราไม่สามารถทำตัวและพูดจาให้ดูพรีเมียมได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ของสำนักงานเรา มีความพรีเมียมแบบนั้นจริงๆ พวกเขาไม่ใช่แค่แต่งตัวให้ดูรวยแต่เปลือก หรือดีแต่พูดแล้วไปหลอกลูกค้า แต่พวกเขาส่วนมากฉลาด ดูดี มีความรู้จริงๆ แบบ จริงๆ นั่นทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองกาก และไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว เราจบโครงการที่จ่ายเงินเดือนในเดือนที่ 4 เพราะเราไม่สามารถหาลูกค้าต่อได้ และที่รอดมาได้ 3 เดือนแรกก็คือลูกค้าที่หัวหน้าหามาให้ทั้งหมด
พอเรารู้สึกว่าที่ตรงนี้ไม่น่าจะใช่ที่ของเราแล้ว เราจึงเริ่มไปทำความรู้จักกับหัวหน้าค่ายอื่นอีก2 ค่าย ซึ่งค่ายแรก เป็นตัวแทนเก่าของบริษัทที่เราสังกัด แล้วไปได้ดิบได้ดีในที่ใหม่ เราจึงเหมือนคุยภาษาเดียวกันเข้าใจสภาวะเดียวกัน ตอนนั้นเราอยากย้ายค่ายมาก จึงมาบอกหัวหน้าที่ปัจจุบันให้ย้ายไปด้วยกัน ( เราติดหัวหน้าเรา ไม่อยากไปคนเดียว ) แต่หัวหน้าเราไม่ยอมย้ายเพราะเขาจงรักภักดีกับบริษัทและลูกค้าในมือแบบขั้นสุด และช่วงนั้น แกก็เสนอให้เงินเดือนเราและจ่ายประกันสังคมให้เรา เพื่อให้ทำงานนี้ต่ออย่างสบายใจ แค่ให้เข้าเรียนเวลาที่มีคลาสอบรมใหม่ๆ ให้ Service ลูกค้าให้ดี ช่วยงานแกนิดหน่อย ( นิดเดียวจริงๆ ) และสอบ IC license ให้ได้ เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเรามี license นี้การทำงานของเราจะง่ายขึ้น
ดังนั้นนอกจากจะเสนอให้เงินเดือนเราแล้ว หัวหน้าเราจึง Sponsor เราทุกอย่างเกี่ยวกับการเรียนและสอบ license นี้ซึ่งกว่าเราจะสอบให้ผ่านได้ ก็เป็นครั้งที่ 6 เราร้องไห้เลยตอนที่ผ่าน เพราะมันยากสำหรับเรามากจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาเราก็คิดว่าเราต้องทำงานง่ายมากขึ้นแน่ๆ เราพยายามเข้าคลาส ทำแบบ แต่เราไม่เคยลงทุนพวกหุ้น ตราสารหนี้ตราสารทุนอะไรเลย และพอสอบเสร็จเราก็ลืมที่เคยอ่านๆมา หมดหม้อ ทำให้เราไม่สามารถพูดคุยเรื่อง Unitlink ได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างเช่นตัวแทนคนอื่นๆ ที่เขามีประการณ์เรื่องการลงทุน หรือกองทุนเป็นอย่างดี
ทิ้งเวลาไปนาน หัวหน้าเราก็จ่ายเงินเดือนให้เราไปเรื่อยๆ โดยไม่กดดันอะไรเลย และแทบไม่ได้อะไรจากเราเป็นรูปแบบของรายได้เลย ส่วนเราเอง ก็เหมือนติดสบาย เพราะหัวหน้าสปอยล์มาซะขนาดนี้ เรายอมรับว่าตัวเองพบลูกค้าน้อย และมีความหวังว่า เราจะไปสะดุดขาคนมีตังค์สักคนและพูด 2 คำแล้วเขาซื้อเบี้ยใหญ่เลย เรามีความคิดนี้อยู่ในหัวตลอด
แต่ทุกอย่างที่ดูดี มันมีความพินาศทางการเงินของเราอยู่เบื้องหลัง.......
----- ย้อนกลับมาช่วงก่อนที่เราจะมาทำงานประกัน เราตกงาน และไม่มีเงินเลยอยู่พักนึง ------
ช่วงนั้นเราไปกู้หนี้ยืมสินมา เพื่อประทังให้ชีวิตรอด ทั้งญาติ ทั้งเพื่อน ทุกคนให้มากให้น้อย แต่ก็หยิบยื่นให้เรามาตั้งแต่หลักพัน จนถึงหลักหมื่น รวมๆคือหลักแสน
จริงๆ เรามีโฉนดที่ดินอยู่แปลงนึง เป็นมรดกของยายเรา แต่ราคาประเมิณที่ตรงนั้นต่ำมาก แบบมากๆ และเราเอาไปเข้าลีซซิ่งได้จำนำออกมาแค่ 80,000 บาท เราเอาไปโปะหนี้บางส่วน และพาตัวเองย้ายมาอยู่คอนโดชื่อดังโครงการนึง เราตั้งปณิธานว่าเราจะไม่ปล่อยให้ตัวเองทนร้อนแบบนั้นอีกแล้ว
ส่วนเรื่องเงินเดือนที่ได้รับจากหัวหน้าบ.ประกัน มันเป็นจำนวนไม่มาก เท่าเงินเดือนเด็กจบใหม่ ( ตอนหลังแกเพิ่มให้5,000 ) แต่ถือว่าจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องให้เราด้วยซ้ำ แต่เขาก็ให้เพราะอยากให้ช่วงแรกของอาชีพนี้เราประคองตัวเองได้ เขาคาดหวังให้เราดูแลลูกค้าดีๆ ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยและมีลูกน้องในทีม มาสืบอาชีพนี้ต่อ ( คนนอกอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกัน แต่เราสัมผัสได้ถึงความเมตตาของหัวหน้าที่มีต่อเราจริงๆ ) แต่เอาจริงๆ เงินเท่านี้ มันไม่พอค่าใช้จ่ายเรา เรามีหนี้ที่หมุนจ่ายอยู่ ซึ่งพอชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ขอยืมเขาเพิ่มอีก ซึ่งเขาก็ให้ตลอด งงมั้ย ? รู้จักกันไม่นานแต่ให้กันขนาดนี้ แถมไม่กดดันอะไรเรื่องยอดขายเลย พอเราโค้ดจะขาด แกก็ไปหาลูกค้ามาปิดให้เรา ค่าคอมเราก็เก็บเอง....
แต่หนี้ของเรามันก็ไม่ได้รับการสะสาง เราคิดว่าเราจะเจอลูกค้ารายใหญ่ที่จะทำให้เรา ปลดหนี้ได้เร็วๆ แต่สำหรับเรามันไม่ง่ายเลย แถมตัวเราเองก็เฉื่อยและพยายามน้อยกว่าสิ่งที่สมควรจะได้รับ
เรารู้สึกว่าเราคงอยู่กับอาชีพนี้ไม่ได้จริงๆ แต่หัวหน้าเรา ยังพูดให้ความหวังเราเสมอ ว่ามันเป็นไปได้ เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ( ทั้งๆที่มันเข้าเนื้อเขาไปเยอะแล้วเนี่ยนะ ? )
จนวันนึง เพื่อนเราเสนองานประจำมาให้เรา เงินเดือนเกือบครึ่งแสน หักค่าใช้จ่ายแล้วยังเหลือโปะหนี้ ถึงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการจ่ายหนี้ แต่เราก็รู้สึกเหมือนโผล่พ้นน้ำ หลังจากที่ดำน้ำเหมือนขาดออกซิเจนมานาน เรารู้สึกโอเคกับงานประจำมากกว่า
เราจึงขอหัวหน้ากลับไปทำงานประจำ เพื่อลดภาระที่ไม่เกิดประโยชน์ ( สักที ) ของเขา เขาไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ยอม เราขอให้เขาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายช่วง 2 เดือนแรกระหว่างทำงานประจำ แกช่วยมา 1.5 เดือน
แต่ชะตาของเรา เราทำงานประจำ มีความสุขเรื่องเงิน เพราะรู้สึกมีเงินของตัวเองแล้ว และได้จ่ายหนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ความเครียดในที่ทำงานเราเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องเพื่อนร่วมงาน
เราลาออกหลังทำงานประจำมาได้เกือบ 7 เดือน กลับมาตกงานอีกครั้ง
และด้วยความที่งานเป็นสัญญาจ้าง เราจึงมีแค่เงินเดือนเดือนสุดท้ายมาใช้ต่อชีวิต อีกเช่นเคย
เราวางแผนจะขายอาหารออนไลน์ ลงทุนไปเกือบครึ่งนึงของเงินที่มี แต่พอขายได้ 3 วัน เราก็หยุด เพราะขายไม่ได้เลยและเราต้องกินของเหลือเองทั้งหมด เพราะเราไม่อยากให้ลูกค้าต้องกินอาหารที่วัตถุดิบที่ค้างนาน เราจัดการเรื่องของเหลือไม่ได้ และถ้าซื้อของใหม่มาทุนเราก็จม เราเลยหยุด เรากลับมาขายประกันเพราะทั้ง Code ทั้ง License ของเรายังครบ แต่เราก็ยังมีความเฉื่อยในการหาลูกค้าใหม่ เราขุดลีดเก่าๆมาโทร ก็ยังได้รับการปฏิเสธอยู่เสมอ
ช่วงนั้นหัวหน้าประกันชวนเราให้ไปเป็นเลขาเค้า แต่เค้าบอกเราว่าเค้าจ่ายเงินเดือนเราไหวที่ x บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่างานประจำที่เราเคยได้ เราปฏิเสธเขาไป ใจหนึ่งเพราะคิดว่าจะรองานบริษัทที่ให้เงินได้มากกว่า และอีกใจเราไม่อยากติดหนี้บุญคุณเขา หากว่าเราทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่เหมือนครั้งที่แล้ว
หลังจากปฏิเสธเขาไป เราก็พยายามสมัครงาน แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท จนถึงวันที่เงินเราหมด เรากลับไปหาหัวหน้าตอนนั้นแกบอกว่าแกได้เลขาแล้ว เราเลยเปลี่ยนเป็นขอยืมเงินจากแกแทน เรารู้ว่าแกไม่โอเคเท่าไหร่ แต่แกก็ให้ เราคิดว่าคงยืมเงินจากแกไม่นาน เราคงได้งานเงินเดือนดีๆ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด
จากที่คิดว่าจะตกงานไม่เกิน 1-2 เดือน จนถึงตอนนี้ เราไม่มีงานประจำทำมาแล้ว 8 เดือน มี 3 เดือน ที่เราไปทำงานที่ไม่มีเงินเดือน แต่เราก็หาเงินจากตรงนั้นได้น้อยมากๆ และเหนื่อยสุดๆ เงินที่ได้หลักๆ ตอนนี้ คือการขอยืมจากหัวหน้าที่งานประกัน แกเองก็ให้เท่าที่จะให้ได้ มีบางช่วงที่แกปฏิเสธเรา เราก็ต้องไปถามเพื่อน ถามญาติ ซึ่งบางคนก็ไม่ให้เราแล้ว และไม่คุยกับเราไปเลย
เราอยู่ในภาวะที่เหมือนคนจมน้ำแล้วมีสาหร่ายพันขาเต็มไปหมด ช่วงไหนได้เงินมาก็เหมือนได้โผล่พ้นน้ำให้หายใจอีกไม่กี่วันเงินหมดก็กลับมาจมน้ำต่อ
งานออฟฟิซเงินดีที่เรารอ ก็เงียบ ถ้าจะลดเงินเดือนให้น้อยลง ก็เท่ากับว่าเราเอาเวลาไปจมอยู่ที่บริษัท โดยที่เราอาจจะแค่พออยู่รอด หรือเกือบรอดแต่ไม่รอดไปเดือนนึง โดยที่ไม่ได้คืนหนี้ให้กับใครเลย และมันมีจำนวนมากเกินไป 5 ปีจะใช้หนี้หมดมั้ยก็ไม่รู้ ถ้ายังทำงานเงินเดือนน้อย ขึ้นทีละนิดอยู่ ( ถึงขายประกันไปด้วย ก็ไม่ได้ดูแลหรือหาลูกค้าเต็มที่อยู่ดี )
นี่เป็นชุดความคิดที่เรามีตอนนี้ และเลือกอยู่กับงานประกัน 100% ที่เรายังให้ความหวังลมๆแล้งๆกับตัวเอง ว่าสักวันรายได้มันจะดีกว่านี้ ในขณะที่คนรอบข้าง รวมถึงหัวหน้าเองก็แทบจะตัดหางปล่อยวัดเราแล้ว
ส่วนงานออนไลน์อื่นๆ เราก็สนใจแต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เรารู้สึกสมเพชตัวเองในสภาพนี้ อีก 2-3 วัน เราต้องขอยืมเงินใครสักคนอีกแล้ว
ด่าได้แต่อย่าแรงนะคะ ขอบคุณค่ะ
------- ใครเอาเรื่องของเราไปใช้ในเชิงพานิช ถ้าไม่มาคุยกันก่อน จับได้เราฟ้องนะคะ ยิ่งร้อนๆเงินอยู่ หุหุ -------
เป็น Loser ในวัยจะ40 ตกงาน หนี้เยอะ คนรอบข้างระอา ขายประกันก็ไม่มีใครซื้อ
เราออกจากงานที่เป็นลูกจ้างของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง เงินเดือนสุดท้ายคือประมาณ 12,000 บาท ในวัย 35 ปี
ด้วยความที่งานเราเป็นสัญญาจ้าง ตอนลาออกมาจึงไม่ได้มีการจ่ายค่าชดเชยใดๆให้ และเราไม่มีเงินเก็บ
จังหวะนั้น โควิดกำลังหนัก เรามีแค่เงินเดือนก้อนสุดท้าย กับหอพักหญิงชั้นดาดฟ้า ไม่มีแอร์ ที่เราเช่าอยู่เดือนละ2,000บาท
ก่อนหน้านั้น เราใช้หอพักแค่เก็บของ ส่วนมากเรานอนที่ทำงาน ( ต้องเข้ากะเลยมีที่นอนให้ ) เพราะมีแอร์
พอล็อคดาวน์ เราจึงต้องขังตัวเองอยู่ในห้องนั้น นอนเหงื่อท่วมทั้งๆที่มีพัดลมอยู่ตัวนึง
ตอนนั้นเราหางานใหม่ยังไม่ได้ และมาเจอกับพี่คนนึงเป็นหัวหน้าหน่วยอาวุโสบริษัทประกันแห่งหนึ่ง แกจึงชวนเราเข้าสู่วงการตัวแทนประกันชีวิต
เราผู้ซึ่งไม่เคยสนใจงานนี้ แต่เพราะตกงาน จึงลองเปิดใจดู
ตอนเข้ามาอบรม มาเจอผู้คนที่นั่น เราอายมากกกก เพราะสภาพเราคือ โกโรโกโสสุดๆ
ผู้คนที่นั่นทั้งตัวแทนเก่า ทั้งคนมา Open House คือ ดูดี ดูฉลาด ดูรวย และคนที่มาอบรมในช่วงนั้นส่วนมาก เป็นแอร์-สจ๊วต , นักบิน , ถ้าอยู่บริษัทเอกชนก็จะมีตำแหน่งงานดีๆ ระดับซีเนียร์ขึ้นไป , ข้าราชการก็ระดับ ผอ.โรงเรียน
แต่สภาพเราคือ ไม่ได้เลย มันบ่ได้เลยหญิง แต่ยอมรับว่าที่เรามา เพราะพี่เขาบอกว่ามีอาหารเลี้ยง ( เราเป็นคนเห็นแก่กินจริงๆ )
ตอนนั้นเราคิดว่า ที่นั่นไม่เหมาะกับเราอย่างแรง ด้วยอะไรหลายๆอย่าง เราจึงพยายามเฟดตัวออกมา
แต่หัวหน้าก็มาคุยจนเราไปเข้าโครงการที่รับเงินเดือนของเขาได้
เราผู้ซึ่งไม่เคยทำงานขายมาก่อน แล้วต้องมาขายประกัน ( จริงๆเขามีชื่อเรียกสวยๆกว่านั้น ) มันก็ไม่คุ้นกับงานขาย หรือ consult แต่ก็ขาย
แต่ตอนนั้นเราใจสู้มาก เราสามารถออกตลาดไปคุยกับคนวันละ 30 คนก็ทำมาแล้ว ( แต่ทำได้ไม่กี่วัน )
เรายอมปรับการแต่งตัว ไม่ได้จะให้ดูรวย แต่ให้ดูเรียบร้อยและน่าเชื่อถือ จะเรียกว่าสร้างภาพก็ใช่ เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นเพื่อพบเจอผู้คน ซึ่งก็ช่วยได้นิดนึง
แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างรวมกัน ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้เลย
เอาจริงๆ เราก็พอมองเห็นได้ว่าอะไรในตัวเราที่มันไม่ได้
อันดับแรก เราไม่พยายามขายคนรู้จัก เราแค่ประกาศให้เขารู้ว่าเราทำ
แต่จะไม่ไปเปิดอกคุยจริงจัง หรือเปิดประเด็นคุยเรื่องประกัน ถ้าเขาไม่เอ่ยขึ้นมาก่อน
อันดับสอง เราเป็นคนเปิดตัว หรือหาลีดจากคนแปลกหน้าเก่งมาก แต่ก่อนเราไม่อายเลยที่จะเดินขายแบบ Knock-Door
แต่ปัญหาของเราคือ เราเก็บลีดหรือ เปิดลูกค้าครั้งแรกเก่ง แต่เราไม่ค่อยตามลูกค้า หรือไปต่อในระดับที่ลูกค้ายอมนั่งคุยกับเรายาวๆไม่ได้
เรารู้สึกมีปัญหากับการพูดอธิบายเรื่องประกัน เพราะรายละเอียดมันเยอะมากกก และเวลาลูกค้ายิงคำถามมาเรามักจะตอบไม่ได้
เราเลยจิตใจหดหู่กลัวการขายประกันและโดนปฏิเสธอยู่เสมอ จนความมั่นใจในตัวเองลดลงๆ ทุกวัน
ลูกค้าที่เราได้มา มักจะมาจากการที่หัวหน้าหามาให้ และมีน้อยมาก ที่เป็นเพื่อนเราที่ทักมาซื้อเอง ส่วนครอบครัวเราไม่มีใครซื้อกับเราเลย ( พ่อแม่เราไม่อยู่แล้ว เหลือแต่น้องชาย น้าๆ และลูกหลานเขา ) เราก็ไม่ได้ไปเร้าหรือเขา
ทั้งหมดนี้ ทำให้เรารับรู้หลังจากทำงานนี้ไประยะหนึ่ง ว่าตรงนี้คงไม่ใช่ที่ของเรา แต่เรายังโอเคกับงานขายประกันอยู่ เราจึงคิดจะเปลี่ยนบริษัท เพราะรู้สึกว่าเราอาจจะโง่ หรือ ดูไม่ดีพอที่จะขายกลุ่มลูกค้าของบริษัทนี้ได้ และเราไม่สามารถทำตัวและพูดจาให้ดูพรีเมียมได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ของสำนักงานเรา มีความพรีเมียมแบบนั้นจริงๆ พวกเขาไม่ใช่แค่แต่งตัวให้ดูรวยแต่เปลือก หรือดีแต่พูดแล้วไปหลอกลูกค้า แต่พวกเขาส่วนมากฉลาด ดูดี มีความรู้จริงๆ แบบ จริงๆ นั่นทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองกาก และไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว เราจบโครงการที่จ่ายเงินเดือนในเดือนที่ 4 เพราะเราไม่สามารถหาลูกค้าต่อได้ และที่รอดมาได้ 3 เดือนแรกก็คือลูกค้าที่หัวหน้าหามาให้ทั้งหมด
พอเรารู้สึกว่าที่ตรงนี้ไม่น่าจะใช่ที่ของเราแล้ว เราจึงเริ่มไปทำความรู้จักกับหัวหน้าค่ายอื่นอีก2 ค่าย ซึ่งค่ายแรก เป็นตัวแทนเก่าของบริษัทที่เราสังกัด แล้วไปได้ดิบได้ดีในที่ใหม่ เราจึงเหมือนคุยภาษาเดียวกันเข้าใจสภาวะเดียวกัน ตอนนั้นเราอยากย้ายค่ายมาก จึงมาบอกหัวหน้าที่ปัจจุบันให้ย้ายไปด้วยกัน ( เราติดหัวหน้าเรา ไม่อยากไปคนเดียว ) แต่หัวหน้าเราไม่ยอมย้ายเพราะเขาจงรักภักดีกับบริษัทและลูกค้าในมือแบบขั้นสุด และช่วงนั้น แกก็เสนอให้เงินเดือนเราและจ่ายประกันสังคมให้เรา เพื่อให้ทำงานนี้ต่ออย่างสบายใจ แค่ให้เข้าเรียนเวลาที่มีคลาสอบรมใหม่ๆ ให้ Service ลูกค้าให้ดี ช่วยงานแกนิดหน่อย ( นิดเดียวจริงๆ ) และสอบ IC license ให้ได้ เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเรามี license นี้การทำงานของเราจะง่ายขึ้น
ดังนั้นนอกจากจะเสนอให้เงินเดือนเราแล้ว หัวหน้าเราจึง Sponsor เราทุกอย่างเกี่ยวกับการเรียนและสอบ license นี้ซึ่งกว่าเราจะสอบให้ผ่านได้ ก็เป็นครั้งที่ 6 เราร้องไห้เลยตอนที่ผ่าน เพราะมันยากสำหรับเรามากจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาเราก็คิดว่าเราต้องทำงานง่ายมากขึ้นแน่ๆ เราพยายามเข้าคลาส ทำแบบ แต่เราไม่เคยลงทุนพวกหุ้น ตราสารหนี้ตราสารทุนอะไรเลย และพอสอบเสร็จเราก็ลืมที่เคยอ่านๆมา หมดหม้อ ทำให้เราไม่สามารถพูดคุยเรื่อง Unitlink ได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างเช่นตัวแทนคนอื่นๆ ที่เขามีประการณ์เรื่องการลงทุน หรือกองทุนเป็นอย่างดี
ทิ้งเวลาไปนาน หัวหน้าเราก็จ่ายเงินเดือนให้เราไปเรื่อยๆ โดยไม่กดดันอะไรเลย และแทบไม่ได้อะไรจากเราเป็นรูปแบบของรายได้เลย ส่วนเราเอง ก็เหมือนติดสบาย เพราะหัวหน้าสปอยล์มาซะขนาดนี้ เรายอมรับว่าตัวเองพบลูกค้าน้อย และมีความหวังว่า เราจะไปสะดุดขาคนมีตังค์สักคนและพูด 2 คำแล้วเขาซื้อเบี้ยใหญ่เลย เรามีความคิดนี้อยู่ในหัวตลอด
แต่ทุกอย่างที่ดูดี มันมีความพินาศทางการเงินของเราอยู่เบื้องหลัง.......
----- ย้อนกลับมาช่วงก่อนที่เราจะมาทำงานประกัน เราตกงาน และไม่มีเงินเลยอยู่พักนึง ------
ช่วงนั้นเราไปกู้หนี้ยืมสินมา เพื่อประทังให้ชีวิตรอด ทั้งญาติ ทั้งเพื่อน ทุกคนให้มากให้น้อย แต่ก็หยิบยื่นให้เรามาตั้งแต่หลักพัน จนถึงหลักหมื่น รวมๆคือหลักแสน
จริงๆ เรามีโฉนดที่ดินอยู่แปลงนึง เป็นมรดกของยายเรา แต่ราคาประเมิณที่ตรงนั้นต่ำมาก แบบมากๆ และเราเอาไปเข้าลีซซิ่งได้จำนำออกมาแค่ 80,000 บาท เราเอาไปโปะหนี้บางส่วน และพาตัวเองย้ายมาอยู่คอนโดชื่อดังโครงการนึง เราตั้งปณิธานว่าเราจะไม่ปล่อยให้ตัวเองทนร้อนแบบนั้นอีกแล้ว
ส่วนเรื่องเงินเดือนที่ได้รับจากหัวหน้าบ.ประกัน มันเป็นจำนวนไม่มาก เท่าเงินเดือนเด็กจบใหม่ ( ตอนหลังแกเพิ่มให้5,000 ) แต่ถือว่าจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องให้เราด้วยซ้ำ แต่เขาก็ให้เพราะอยากให้ช่วงแรกของอาชีพนี้เราประคองตัวเองได้ เขาคาดหวังให้เราดูแลลูกค้าดีๆ ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยและมีลูกน้องในทีม มาสืบอาชีพนี้ต่อ ( คนนอกอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกัน แต่เราสัมผัสได้ถึงความเมตตาของหัวหน้าที่มีต่อเราจริงๆ ) แต่เอาจริงๆ เงินเท่านี้ มันไม่พอค่าใช้จ่ายเรา เรามีหนี้ที่หมุนจ่ายอยู่ ซึ่งพอชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ขอยืมเขาเพิ่มอีก ซึ่งเขาก็ให้ตลอด งงมั้ย ? รู้จักกันไม่นานแต่ให้กันขนาดนี้ แถมไม่กดดันอะไรเรื่องยอดขายเลย พอเราโค้ดจะขาด แกก็ไปหาลูกค้ามาปิดให้เรา ค่าคอมเราก็เก็บเอง....
แต่หนี้ของเรามันก็ไม่ได้รับการสะสาง เราคิดว่าเราจะเจอลูกค้ารายใหญ่ที่จะทำให้เรา ปลดหนี้ได้เร็วๆ แต่สำหรับเรามันไม่ง่ายเลย แถมตัวเราเองก็เฉื่อยและพยายามน้อยกว่าสิ่งที่สมควรจะได้รับ
เรารู้สึกว่าเราคงอยู่กับอาชีพนี้ไม่ได้จริงๆ แต่หัวหน้าเรา ยังพูดให้ความหวังเราเสมอ ว่ามันเป็นไปได้ เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ( ทั้งๆที่มันเข้าเนื้อเขาไปเยอะแล้วเนี่ยนะ ? )
จนวันนึง เพื่อนเราเสนองานประจำมาให้เรา เงินเดือนเกือบครึ่งแสน หักค่าใช้จ่ายแล้วยังเหลือโปะหนี้ ถึงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการจ่ายหนี้ แต่เราก็รู้สึกเหมือนโผล่พ้นน้ำ หลังจากที่ดำน้ำเหมือนขาดออกซิเจนมานาน เรารู้สึกโอเคกับงานประจำมากกว่า
เราจึงขอหัวหน้ากลับไปทำงานประจำ เพื่อลดภาระที่ไม่เกิดประโยชน์ ( สักที ) ของเขา เขาไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ยอม เราขอให้เขาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายช่วง 2 เดือนแรกระหว่างทำงานประจำ แกช่วยมา 1.5 เดือน
แต่ชะตาของเรา เราทำงานประจำ มีความสุขเรื่องเงิน เพราะรู้สึกมีเงินของตัวเองแล้ว และได้จ่ายหนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ความเครียดในที่ทำงานเราเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องเพื่อนร่วมงาน
เราลาออกหลังทำงานประจำมาได้เกือบ 7 เดือน กลับมาตกงานอีกครั้ง
และด้วยความที่งานเป็นสัญญาจ้าง เราจึงมีแค่เงินเดือนเดือนสุดท้ายมาใช้ต่อชีวิต อีกเช่นเคย
เราวางแผนจะขายอาหารออนไลน์ ลงทุนไปเกือบครึ่งนึงของเงินที่มี แต่พอขายได้ 3 วัน เราก็หยุด เพราะขายไม่ได้เลยและเราต้องกินของเหลือเองทั้งหมด เพราะเราไม่อยากให้ลูกค้าต้องกินอาหารที่วัตถุดิบที่ค้างนาน เราจัดการเรื่องของเหลือไม่ได้ และถ้าซื้อของใหม่มาทุนเราก็จม เราเลยหยุด เรากลับมาขายประกันเพราะทั้ง Code ทั้ง License ของเรายังครบ แต่เราก็ยังมีความเฉื่อยในการหาลูกค้าใหม่ เราขุดลีดเก่าๆมาโทร ก็ยังได้รับการปฏิเสธอยู่เสมอ
ช่วงนั้นหัวหน้าประกันชวนเราให้ไปเป็นเลขาเค้า แต่เค้าบอกเราว่าเค้าจ่ายเงินเดือนเราไหวที่ x บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่างานประจำที่เราเคยได้ เราปฏิเสธเขาไป ใจหนึ่งเพราะคิดว่าจะรองานบริษัทที่ให้เงินได้มากกว่า และอีกใจเราไม่อยากติดหนี้บุญคุณเขา หากว่าเราทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่เหมือนครั้งที่แล้ว
หลังจากปฏิเสธเขาไป เราก็พยายามสมัครงาน แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท จนถึงวันที่เงินเราหมด เรากลับไปหาหัวหน้าตอนนั้นแกบอกว่าแกได้เลขาแล้ว เราเลยเปลี่ยนเป็นขอยืมเงินจากแกแทน เรารู้ว่าแกไม่โอเคเท่าไหร่ แต่แกก็ให้ เราคิดว่าคงยืมเงินจากแกไม่นาน เราคงได้งานเงินเดือนดีๆ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด
จากที่คิดว่าจะตกงานไม่เกิน 1-2 เดือน จนถึงตอนนี้ เราไม่มีงานประจำทำมาแล้ว 8 เดือน มี 3 เดือน ที่เราไปทำงานที่ไม่มีเงินเดือน แต่เราก็หาเงินจากตรงนั้นได้น้อยมากๆ และเหนื่อยสุดๆ เงินที่ได้หลักๆ ตอนนี้ คือการขอยืมจากหัวหน้าที่งานประกัน แกเองก็ให้เท่าที่จะให้ได้ มีบางช่วงที่แกปฏิเสธเรา เราก็ต้องไปถามเพื่อน ถามญาติ ซึ่งบางคนก็ไม่ให้เราแล้ว และไม่คุยกับเราไปเลย
เราอยู่ในภาวะที่เหมือนคนจมน้ำแล้วมีสาหร่ายพันขาเต็มไปหมด ช่วงไหนได้เงินมาก็เหมือนได้โผล่พ้นน้ำให้หายใจอีกไม่กี่วันเงินหมดก็กลับมาจมน้ำต่อ
งานออฟฟิซเงินดีที่เรารอ ก็เงียบ ถ้าจะลดเงินเดือนให้น้อยลง ก็เท่ากับว่าเราเอาเวลาไปจมอยู่ที่บริษัท โดยที่เราอาจจะแค่พออยู่รอด หรือเกือบรอดแต่ไม่รอดไปเดือนนึง โดยที่ไม่ได้คืนหนี้ให้กับใครเลย และมันมีจำนวนมากเกินไป 5 ปีจะใช้หนี้หมดมั้ยก็ไม่รู้ ถ้ายังทำงานเงินเดือนน้อย ขึ้นทีละนิดอยู่ ( ถึงขายประกันไปด้วย ก็ไม่ได้ดูแลหรือหาลูกค้าเต็มที่อยู่ดี )
นี่เป็นชุดความคิดที่เรามีตอนนี้ และเลือกอยู่กับงานประกัน 100% ที่เรายังให้ความหวังลมๆแล้งๆกับตัวเอง ว่าสักวันรายได้มันจะดีกว่านี้ ในขณะที่คนรอบข้าง รวมถึงหัวหน้าเองก็แทบจะตัดหางปล่อยวัดเราแล้ว
ส่วนงานออนไลน์อื่นๆ เราก็สนใจแต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เรารู้สึกสมเพชตัวเองในสภาพนี้ อีก 2-3 วัน เราต้องขอยืมเงินใครสักคนอีกแล้ว
ด่าได้แต่อย่าแรงนะคะ ขอบคุณค่ะ
------- ใครเอาเรื่องของเราไปใช้ในเชิงพานิช ถ้าไม่มาคุยกันก่อน จับได้เราฟ้องนะคะ ยิ่งร้อนๆเงินอยู่ หุหุ -------