ขอเล่าเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์นะครับ
ย้อนไปประมาณ 25 ปี ผมอยู่ต่างจังหวัด ทำงานบริษัทเอกชน เงินเดือนก็ 30,000 กว่าบาท
ณ ตอนนั้นก็ถือว่ารายได้ค่อนข้างสูง ทำงานได้ ปี สองปี ผมก็แต่งงาน และมีลูก
ผมเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ชอบดื่ม ชอบเล่นการพนัน ซึ่งก็คือเล่นหวย เดือนนึงก็ 2 งวด ( ผมเล่นหวยอย่างเดียว ไม่แทงบอล ไม่เล่นการพนันอย่างอื่น )
แรกๆก็เล่นหลักร้อย หลักพัน แน่นอนว่าการถูกหวยมันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเราเสียซะส่วนใหญ่ ก็เลยเกิดอาการอยากได้ทุนคืน ก็ต้องแทงหนักขึ้น
จากหลักร้อย หลักพัน เป็นหลักหมื่นต่องวด
แค่การเป็นคนชอบเที่ยวชอบดื่ม ( ผมดื่มสัปดาห์นึงไม่ต่ำกว่า 5 วัน ) มันก็ทำให้แทบจะไม่เหลือเงินเก็บอยู่แล้ว
ยังต้องมาหน้ามืดแทงหวยเพื่อให้ได้เงินคืนอีก ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มสร้างหนี้ก้อนใหญ่ไปแล้วเพื่อเอาเงินมาหมุนจ่ายค่าหวย นั่นก็คือการสมัครบัตรเครดิต ยื่นกู้สินเชื่อแทบทุกแบงค์ จากที่เคยเป็นหนี้หลักหมื่น จากการผ่อนของ ตอนนี้เริ่มกลายเป็นหลักแสน หลายแสน และเริ่มเป็นหลักล้าน
และจุดสูงสุดคือ เงินเดือน 30000 กว่าบาท กับการแบกหนี้สูงสุดคือ 3.2 ล้านบาท
เป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้นอกระบบที่ต้องจ่ายรายวัน หนี้เพื่อนฝูง รถยนต์ก็รีไฟแนนส์ เอาเงินมาหมุน รีแล้วรีอีก
นั่นคือช่วงที่ผมต้องแบกความเครียด แทบทุกวันต้องมีเจ้าหน้าที่จากแบงค์โทรมาทวงถามการชำระล่าช้า
ก่อนนี้ผมเลือกวิธีการชำระขั้นต่ำ แล้วกดเงินสดออกมาใช้ หมุนอยู่แบบนี้ทุกเดือน
ผมยังเล่นหวย ทั้งๆที่เครดิตจากเจ้ามือหวยก็แทบไม่เหลือ เพราะผมก็จ่ายแบบงวดชนงวด แถมหลายครั้งก็จ่ายช้าเพราะหมุนเงินไม่ทัน
ความกดดันจากการถูกโทรมาทวงนี้ทุกวัน วันละหลายทาง มันทำให้ผมแทบไม่อยากกลับบ้าน
เลิกงานแล้ว ต้องขับรถไปหามุมเงียบๆ นั่งคิด นั่งกลุ้มอยู่คนเดียว ทางออกในตอนนั้นของผม ผมคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ให้จบได้ ผมต้องถูกหวยครั้งใหญ่ให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่า ผมไม่เคยถูกหวยแบบหนักๆเลย
ผมเก็บปัญหานี้ไว้คนเดียว ภรรยาไม่รู้ แต่เขาก็สังเกตได้ว่าผมเครียดหนักมานานแล้ว เวลาเขาถามก็ได้แต่บอกว่าเครียดเรื่องงาน
เราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเงิน ผมพยายามเจียดเงินให้เขาใช้บ้าง แล้วเลือกที่จะอด บางวัน ผมเหลือเงินใช้แค่ 20 บาท ต้องไปซื้อมาม่ามากินตอนเที่ยง
หนักสุดคือ ต้องเอาล้ออะไหล่ของรถไปขาย เพื่อให้ได้เงินมาซื้อของให้ลูก
หยิบยืมใครก็ไม่ได้ เพราะเครดิตเสียมากๆ
สุขภาพก็แย่ลง ทั้งความเครียด ทั้งการดื่มแบบถี่ๆ
กว่าจะหลับลงได้แต่ละวัน มันช่างยากเย็น ไหนจะระแวงว่าจะมีใครโทรมาทวงเงิน ทุกคืนหลัง 2 ทุ่ม ผมจะปิดมือถือ เพื่อขอนอนโดยไม่ผวา
ผมต้องแบกปัญหาแบบนี้ไว้ประมาณ 5-6 ปี
.
.
.
วันนึง ลูกผมต้องสอบวิชาพละ นั่นคือกระโดดเชือก เขาทำไม่เป็น แต่ผมทำเป็น ผมเลยต้องทำหน้าที่สอน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะทำได้
ในเวลาหลายวันที่ผมสอนกระโดดเชือกให้ลูก นอกจากที่ลูกจะสามารถทำได้แล้ว ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือ ผมฟิตขึ้น น้ำหนักลดลง 5-6 โล
( ผมอ้วนบวมเพราะเที่ยว และดื่ม ) แน่ะนอนว่านี่ไม่ใช้กระทู้ลดน้ำหนัก เพราะสิ่งที่ผมได้อีกอย่างที่มันเปลี่ยนชีวิตผม คือ สติ
น้ำหนักผมค่อยๆลด ความฟิตผมค่อยๆมากขึ้น ผมเริ่มกลับมามองตัวเอง
ปัญหามันยังต้องแบกอยู่แน่นอน แต่จะแบกแบบเครียด อ้วน สุขภาพแย่ หรือจะแบกแบบฟิตๆ
การที่ผมฟิตขึ้นที่ละนิด มันทำให้ผมเริ่มสะกิดใจว่าการแก้ปัญหา มันต้องค่อยๆแก้ ค่อยๆลด
ผมเริ่มมามองที่หนี้สิน ที่กระจัดกระจายอยู่ รวมรวมความกล้า เล่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับพ่อ และขอเอาบ้านเข้าแบงค์เอาเงินมาแก้ปัญหา
หนี้ 3 ล้านกว่า กู้ได้ ล้าน 7 แสน เหลือหนี้อีกประมาณ 1.5 ล้าน พยายามประหยัด และหารายได้เพิ่มด้วยการขายของออนไลน์ ซึ่งก็ช่วยได้ระดับนึง
ในแต่ละปีเงินเดือนก็ขึ้นมาทุกปี ถึงจะเครียดขนาดไหน ผมก็ทำงานอย่างเต็มที่
ผมคิดง่ายๆ ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ เลิกเล่นหวย เลิกเที่ยว เลิกดื่มเด็ดขาด แล้วยังขายของออนไลน์ ( ซื้อมาขายไปนิดๆหน่อยๆ )
และเงินเดือน ที่เพิ่มขึ้นทุกปี + โบนัส
ผมใช้เวลาค่อยๆแก้ปัญหานี้ 6 ปี
ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ก็ถึงวันที่ ยอดหนี้ของผม = 0 บาท นั่นรวมถึงปิดหนี้บ้านที่เอาเข้าแบงค์ด้วย
และที่สำคัญ ณ.วันนั้น ผมยังมีเงินเก็บอีกประมาณ 1 แสนกว่าๆ
มันช่างโล่ง ยกภูเขาออกจากอก มันเป็นแบบนี้สินะ
จนถึงทุกวันนี้ ผมไม่สร้างหนี้อีกเลย หนี้ก็ยังเป็น 0 บาท อยู่เหมือนเดิม
แต่ยอดเงินเก็บเพิ่มขึ้นน่าจะ 30 เท่า ของตอนนั้น
ผมไม่ได้จะมาโม้ หรือมาอวดอะไร เพราะคนที่เขาวางแผนชีวิตดีๆ ใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท เขาไปโลดกว่าผมเยอะมาก
แต่สิ่งที่ผมจะสื่อ คือ ตลอดเวลาที่ผมเครียดแบกปัญหาไว้
ไม่มีสักครั้งที่ผมจะคิดสั้น ไม่มีสักครั้งที่ผมจะตัดสายเจ้าหนี้ทิ้ง นอกจากปิดมือถือตอนจะนอน
อย่าไปหวังฟลุ๊คลมๆแล้งๆแก้ปัญหา
ลองค่อยๆแก้ปัญหาดู ถ้าคุณเริ่มทำ มันจะค่อยๆดีขึ้นทีละนิด อย่างแน่นอน
ตัวเลขไม่เคยหลอกใคร
ขออภัยที่เล่าไม่เก่ง แต่จะยินดีมาก หากโพสต์นี้จะทำให้หลายๆคนกลับมามีไฟในการแก้ปัญหาครับ
ชีวิตเกือบพังเพราะการพนัน และการกลับมาลุกขึ้นใหม่
ย้อนไปประมาณ 25 ปี ผมอยู่ต่างจังหวัด ทำงานบริษัทเอกชน เงินเดือนก็ 30,000 กว่าบาท
ณ ตอนนั้นก็ถือว่ารายได้ค่อนข้างสูง ทำงานได้ ปี สองปี ผมก็แต่งงาน และมีลูก
ผมเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ชอบดื่ม ชอบเล่นการพนัน ซึ่งก็คือเล่นหวย เดือนนึงก็ 2 งวด ( ผมเล่นหวยอย่างเดียว ไม่แทงบอล ไม่เล่นการพนันอย่างอื่น )
แรกๆก็เล่นหลักร้อย หลักพัน แน่นอนว่าการถูกหวยมันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเราเสียซะส่วนใหญ่ ก็เลยเกิดอาการอยากได้ทุนคืน ก็ต้องแทงหนักขึ้น
จากหลักร้อย หลักพัน เป็นหลักหมื่นต่องวด
แค่การเป็นคนชอบเที่ยวชอบดื่ม ( ผมดื่มสัปดาห์นึงไม่ต่ำกว่า 5 วัน ) มันก็ทำให้แทบจะไม่เหลือเงินเก็บอยู่แล้ว
ยังต้องมาหน้ามืดแทงหวยเพื่อให้ได้เงินคืนอีก ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มสร้างหนี้ก้อนใหญ่ไปแล้วเพื่อเอาเงินมาหมุนจ่ายค่าหวย นั่นก็คือการสมัครบัตรเครดิต ยื่นกู้สินเชื่อแทบทุกแบงค์ จากที่เคยเป็นหนี้หลักหมื่น จากการผ่อนของ ตอนนี้เริ่มกลายเป็นหลักแสน หลายแสน และเริ่มเป็นหลักล้าน
และจุดสูงสุดคือ เงินเดือน 30000 กว่าบาท กับการแบกหนี้สูงสุดคือ 3.2 ล้านบาท
เป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้นอกระบบที่ต้องจ่ายรายวัน หนี้เพื่อนฝูง รถยนต์ก็รีไฟแนนส์ เอาเงินมาหมุน รีแล้วรีอีก
นั่นคือช่วงที่ผมต้องแบกความเครียด แทบทุกวันต้องมีเจ้าหน้าที่จากแบงค์โทรมาทวงถามการชำระล่าช้า
ก่อนนี้ผมเลือกวิธีการชำระขั้นต่ำ แล้วกดเงินสดออกมาใช้ หมุนอยู่แบบนี้ทุกเดือน
ผมยังเล่นหวย ทั้งๆที่เครดิตจากเจ้ามือหวยก็แทบไม่เหลือ เพราะผมก็จ่ายแบบงวดชนงวด แถมหลายครั้งก็จ่ายช้าเพราะหมุนเงินไม่ทัน
ความกดดันจากการถูกโทรมาทวงนี้ทุกวัน วันละหลายทาง มันทำให้ผมแทบไม่อยากกลับบ้าน
เลิกงานแล้ว ต้องขับรถไปหามุมเงียบๆ นั่งคิด นั่งกลุ้มอยู่คนเดียว ทางออกในตอนนั้นของผม ผมคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ให้จบได้ ผมต้องถูกหวยครั้งใหญ่ให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่า ผมไม่เคยถูกหวยแบบหนักๆเลย
ผมเก็บปัญหานี้ไว้คนเดียว ภรรยาไม่รู้ แต่เขาก็สังเกตได้ว่าผมเครียดหนักมานานแล้ว เวลาเขาถามก็ได้แต่บอกว่าเครียดเรื่องงาน
เราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเงิน ผมพยายามเจียดเงินให้เขาใช้บ้าง แล้วเลือกที่จะอด บางวัน ผมเหลือเงินใช้แค่ 20 บาท ต้องไปซื้อมาม่ามากินตอนเที่ยง
หนักสุดคือ ต้องเอาล้ออะไหล่ของรถไปขาย เพื่อให้ได้เงินมาซื้อของให้ลูก
หยิบยืมใครก็ไม่ได้ เพราะเครดิตเสียมากๆ
สุขภาพก็แย่ลง ทั้งความเครียด ทั้งการดื่มแบบถี่ๆ
กว่าจะหลับลงได้แต่ละวัน มันช่างยากเย็น ไหนจะระแวงว่าจะมีใครโทรมาทวงเงิน ทุกคืนหลัง 2 ทุ่ม ผมจะปิดมือถือ เพื่อขอนอนโดยไม่ผวา
ผมต้องแบกปัญหาแบบนี้ไว้ประมาณ 5-6 ปี
.
.
.
วันนึง ลูกผมต้องสอบวิชาพละ นั่นคือกระโดดเชือก เขาทำไม่เป็น แต่ผมทำเป็น ผมเลยต้องทำหน้าที่สอน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะทำได้
ในเวลาหลายวันที่ผมสอนกระโดดเชือกให้ลูก นอกจากที่ลูกจะสามารถทำได้แล้ว ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือ ผมฟิตขึ้น น้ำหนักลดลง 5-6 โล
( ผมอ้วนบวมเพราะเที่ยว และดื่ม ) แน่ะนอนว่านี่ไม่ใช้กระทู้ลดน้ำหนัก เพราะสิ่งที่ผมได้อีกอย่างที่มันเปลี่ยนชีวิตผม คือ สติ
น้ำหนักผมค่อยๆลด ความฟิตผมค่อยๆมากขึ้น ผมเริ่มกลับมามองตัวเอง
ปัญหามันยังต้องแบกอยู่แน่นอน แต่จะแบกแบบเครียด อ้วน สุขภาพแย่ หรือจะแบกแบบฟิตๆ
การที่ผมฟิตขึ้นที่ละนิด มันทำให้ผมเริ่มสะกิดใจว่าการแก้ปัญหา มันต้องค่อยๆแก้ ค่อยๆลด
ผมเริ่มมามองที่หนี้สิน ที่กระจัดกระจายอยู่ รวมรวมความกล้า เล่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับพ่อ และขอเอาบ้านเข้าแบงค์เอาเงินมาแก้ปัญหา
หนี้ 3 ล้านกว่า กู้ได้ ล้าน 7 แสน เหลือหนี้อีกประมาณ 1.5 ล้าน พยายามประหยัด และหารายได้เพิ่มด้วยการขายของออนไลน์ ซึ่งก็ช่วยได้ระดับนึง
ในแต่ละปีเงินเดือนก็ขึ้นมาทุกปี ถึงจะเครียดขนาดไหน ผมก็ทำงานอย่างเต็มที่
ผมคิดง่ายๆ ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ เลิกเล่นหวย เลิกเที่ยว เลิกดื่มเด็ดขาด แล้วยังขายของออนไลน์ ( ซื้อมาขายไปนิดๆหน่อยๆ )
และเงินเดือน ที่เพิ่มขึ้นทุกปี + โบนัส
ผมใช้เวลาค่อยๆแก้ปัญหานี้ 6 ปี
ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ก็ถึงวันที่ ยอดหนี้ของผม = 0 บาท นั่นรวมถึงปิดหนี้บ้านที่เอาเข้าแบงค์ด้วย
และที่สำคัญ ณ.วันนั้น ผมยังมีเงินเก็บอีกประมาณ 1 แสนกว่าๆ
มันช่างโล่ง ยกภูเขาออกจากอก มันเป็นแบบนี้สินะ
จนถึงทุกวันนี้ ผมไม่สร้างหนี้อีกเลย หนี้ก็ยังเป็น 0 บาท อยู่เหมือนเดิม
แต่ยอดเงินเก็บเพิ่มขึ้นน่าจะ 30 เท่า ของตอนนั้น
ผมไม่ได้จะมาโม้ หรือมาอวดอะไร เพราะคนที่เขาวางแผนชีวิตดีๆ ใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท เขาไปโลดกว่าผมเยอะมาก
แต่สิ่งที่ผมจะสื่อ คือ ตลอดเวลาที่ผมเครียดแบกปัญหาไว้
ไม่มีสักครั้งที่ผมจะคิดสั้น ไม่มีสักครั้งที่ผมจะตัดสายเจ้าหนี้ทิ้ง นอกจากปิดมือถือตอนจะนอน
อย่าไปหวังฟลุ๊คลมๆแล้งๆแก้ปัญหา
ลองค่อยๆแก้ปัญหาดู ถ้าคุณเริ่มทำ มันจะค่อยๆดีขึ้นทีละนิด อย่างแน่นอน
ตัวเลขไม่เคยหลอกใคร
ขออภัยที่เล่าไม่เก่ง แต่จะยินดีมาก หากโพสต์นี้จะทำให้หลายๆคนกลับมามีไฟในการแก้ปัญหาครับ