สวัสดีค่ะ เราอยากแชร์ประสบการณ์จากครอบครัวเรามาให้ทุกคนฟัง เราอยากรู้ว่าครอบครัวอื่นเป็นแบบเราไหม คือเรื่องมีอยู่ว่า
เราเกิดมาในครอบครัวนึงซื่งมีญาติลูกพี่ลูกน้องเยอะมาก บ้านติดๆกันโตมาด้วยกัน เรามีพี่ชาย 1 คน เราเป็นลูกสาวคนเล็ก เราแต่งงานมีครอบครัวตั้งแต่วัยเรียนขึ้น ม.ปลาย และได้อยู่กินกันมา 10 ปี มีลูก 2 คน เมื่อปี2565 เราทนนิสัยของสามีไม่ไหว ทั้งตบตีจนตาเขียว ตัวเขียวไปทำงานทุกวัน ด่าทอดูถูกพ่อแม่เราและตัวเราด้วยถ้อยคำที่รุนแรง วันนั้นก็เป็นวันที่เราทนไม่ไหวเพราะโดนตบตีเกือบทุกวัน เช้ารุ่งขึ้นเราจึงหนีออกมาโดยไม่บอกใครและไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งครอบครัวเรา เมื่อสามีกลับมาบ้านรู้ว่าเราหนีจึงโทรไปบอกครอบครัวเรา ญาติพี่น้องเราทุกคนว่าเราหนีไปกับผู้ชาย ร้องไห้แสดงความสงสาร เมื่อครอบครัวเรารุ้จึงติดต่อเรามาเราจึงเล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เราโดนทุบตี แม้กระทั่งตอนเราท้องลูกคนที่ 2 เราโดนทุบตีจนหน้าบวมเราก็เล่าให้พวกญาติๆและแม่เราฟังทั้งหมด แต่ทุกคนไม่ได้ช่วยอะไรเลย หลังจากที่หนีมาเราก็มาขออยู่กับเพื่อนสนิท และญาติๆเราพยายามให้เราคืนดีกับสามีเพราะสงสารลูก ถามว่าเราสงสารไหม เราสงสารลูกมากแต่ในระยะเวลา10ปีที่อยู่กินกันมา ตบตีไม่ต่ำกว่า 50 รอบ และรุนแรงทุกรอบลูกๆเห็นหมด เราจึงไม่กลับเมื่อเราไม่มีเงินเพราะหนีออกมาตัวเปล่าเราจึงขอยืมญาติ แต่ญาติเรากลับมองว่าเรามีชู้เอาเงินเลี้ยงผู้ชายจนหมด เชื่อจากคำพูดใส่ร้ายจากสามี ช่วงนั้นต้องกินวันละ 60 บาท ยอมอดข้าวเช้าเพื่อกินมื้อกลางวัน 25 บาท ที่เหลือกินช่วงเย็นเป็นแบบนี้ทุกวัน ญาติพี่น้องไม่มีมาสนใจ จนครบ1 เดือน สามีเปิดตัวแฟนใหม่ ใส่ร้ายเราหนักกว่าเดิม และญาติพี่น้องเชื่อฟังคำพูดเขาทั้งหมด (นิสัยสามีคนนี้เป็นผู้ชายช่างพูดช่างจาและประจบเอาใจให้ทุกคนเชื่อถือ) ตอนนั้นเราไม่มีเงินและไปยืมน้า แต่กลับถูกด่ากลับด้วยถ้อยคำที่เเรง ตอนนั้นความรู้สึกเราเหมือนหมาตัวนึงเลยก็ว่าได้ มันเคว้งไม่มีแม้แต่คนปรึกษาไม่มีแม้แต่คนคอยรับฟัง จนเราเป็น แพนิค อาการแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปตรวจที่ รพ. พบว่าเป็นทั้งแพนิค และโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ตอนนั้นโดนไล่ออกจากงาน เพราะเป็นแพนิคบ่อย พ่อเราจึงให้ญาติมารับ ก็นั่นล่ะมารับแบบไม่เต็มใจ ต้องมีค่าจ้างค่าเสียเวลาค่าน้ำมัน แต่เราก็เข้าใจจึงให้ไป หลังกลับมาอยู่ที่บ้าน ก็ได้พ่อ พ่อเราดีไม่เหมือนคนอื่นแต่เรามีเรื่องเครียดเราไม่ค่อยปรึกษาพ่อ เพราะพ่ออารมณ์ร้อน เราได้งานที่คลีนิคแห่งนึง เราก็ทำงานปกติ และได้รับลูกมาอยู่ด้วยทั้ง2คน พ่อเขาไม่เคยส่งเสียลูกแม้แต่บาทเดียว เราทำงานส่งลูกเรียนคนเดียว เงินเดือนที่ได้มันไม่พอค่าใช้จ่าย เดือนชนเดือน ไม่มีเก็บ เงินกินก็เหมือนเดิมวันละ 60 บาท จนมาวันนึงเราไม่มีเงินให้ลูกไป รร. ขาด 10 บาท เราจึงแบกหน้าไปขอยาย 10 บาท เราก็ระอายใจนะเงินแค่นี้หาให้ลูกไม่ได้ ยายก็ให้ลูกเรามา และเราก็ไปทำงานปกติ และเย็นวันนั้น พี่สาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทักมาด่าเราด้วยถ้อยคำที่เเรง ว่าขอเงินยายทำไม..ก็รู้ว่ายายไม่มีตัง ด่าเรานู่นนี่นั่นสารพัด เราบอกว่าเงินแค่ 10 บาทนะ ต้องด่าขนาดนี้เลยหรอ หลังจากนั้นแม่เราทักมาอีก ว่าเงินไปไหนหมดทำงานยังไงไม่มีเงินให้ลูก ตอนนั้นเราน้อยใจมากถึงมากที่สุด เงินเพียงแค่นี้ต้องด่าเราขนาดนี้ไหม เราทำงานไปน้ำตาไหลไป พยายามกลั้นแล้วแต่มันไหลออกมาเอง วันกลับมาเราตัดสินใจจบชีวิตด้วยการ ผูกคอตายปัญหาจะได้จบ แต่พ่อพังประตูช่วยได้ทัน หลังจากนั้นมา 1 เดือนกว่า ปี 2566 มิ.ย เราจึงย้ายมาคลีนิคชลบุรี เหมือนเดิม เดือนเงินได้น้อย แถมยังโดนเพื่อนร่วมงานถูกถูกสารพัด และไม่มีเงินโด้กดดัน อีกรอบ และไม่ผ่านงานเพราะเพื่อนร่วมงานไม่ชอบขี้หน้าจึงโปรโหมดให้เราไม่ผ่าน เราไม่มีทางไปแล้วตอนนั้นช่วงกลางเดือนเงินหมด ตกงาน เงินไม่มีกินข้าว และเพื่อนเราก็ตกงานเหมือนกันจึงย้ายมาอยู่กับเรา เร่าไม่มีทางไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่รับช่วงนั้นงานหายากมาก และอีก 10 วันค่าใช้จ่ายก็จะมาแล้ว ลูก รถ ค่าห้อง เราเครียดมาก เราไม่มีแม้แต่เงินกิน จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะญาติพี่น้องรอเหยียบซ้ำเติมอยู่ เราไม่มีทางเลือกเรากับเพื่อนตัดสินใจ ไปพัทยาเพื่อหางานบาร์ทำ เราไม่ได้อยากทำแต่มันต้องทำเพราะเรากลัววาาลูกเราจะอด ทำได้ 3 วันมีเงินเริ่มส่งให้ลูกเเละมีใช้จ่ายมีกินและเริ่มมีเก็บ เราปิดบังทุกคนว่าเราทำงานที่ไหนอะไรยังไง ไม่มีใครรู้ จนได้มาเจอแฟนต่างชาติคนฮ่องกง ดูแลดีใส่ใจเราดีมาก เราจึงพามาทั่บ้านและลาออกจากงานภายในระยะเวลาทำงาน 3 เดือน เขารักและดูแลส่งเสียลูกเราเป็นอย่างดี แต่!!!! เรื่องไม่จบแค่นั้นค่ะ เราบอกญาติพ่อแม่เราว่าเราจะแต่งงานและสินสอด 4 แสน ทุกคนเชื่อไหมสินสอดเจ้ากรรม ยังแค่บอกว่าจะแต่ง ญาติพี่น้องเถียงกันเรื่องสินสอด แม่เราก่อนเลย เราบอกว่าจะให้แม่และพ่อคนละครึ่ง เพราะพ่อแม่แยกทางกัน แม่ร้องไห้จะให้พ่อเราทำไมนู่นนี้นั่น ส่วนพี่สาวที่เป็นญาติกันบอกว่า เราต้องให้ยายด้วยเพราะยายก็เลี้ยงดูเรามา ฝั่งยายก็บอกว่า พ่อแม่เราก็ติดหนี้จากการยืมยายเพื่อให้พี่ชายไป ตปท. และตอนนี้ยังไม่คืน ส่วนพ่อเราเรายังไม่บอกเพราะพ่อเป็นคนไม่เรื่องเยอะ มีแต่แม่กับยาย ใส่ร้ายพ่อเราสารพัด เราคิดว่า นี่ขนาดยังไม่แต่งนะเนี่ย เรารู้เลยว่าญาติพี่น้องและแม่หวังอะไรจากเรา ตอนเราล้มทุกคนซ้ำเราลุก เรามีทุกคนเข้าหา จนทุกวันนี้เราย้ายมาอยู่กับแฟนที่ฮ่องกง แฟนส่งเสียเลี้ยงดูลูกเรา และให้เงินพ่อเรา เพราะสงสารพ่อทำงานหนักอายุเริ่มเยอะ นี่คือเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตเราที่เจอมา ทำให้เรารู้ว่า ที่พึ่งสุดท้ายที่คิดว่าครอบครอบ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่ เราไม่ได้โชคดีแบบนั้น เราเคยคิดหากเราตายเราขอแค่ชาตินี้ชาติเดียวที่เกิดมาไม่ขอเกิดเป็นลูกใครอีก ไม่ขอเกิดเป็นญาติพี่น้องใครอีก หรือไม่เกิดมาเลยยิ่งดี หรือถ้าเกิดก็ขอแค่มีพ่อกับลูกๆก็พอ เรื่องราวชีวิตเราอาจจะยาวไปหน่อยแต่เราอยากระบายจริงๆ เราไม่มีใครรับฟังปัญหา เราทำได้แค่ร้องไห้เงียบๆคนเดียวและพิมพ์มันออกมา
ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนสำหรับทุกคน
เราเกิดมาในครอบครัวนึงซื่งมีญาติลูกพี่ลูกน้องเยอะมาก บ้านติดๆกันโตมาด้วยกัน เรามีพี่ชาย 1 คน เราเป็นลูกสาวคนเล็ก เราแต่งงานมีครอบครัวตั้งแต่วัยเรียนขึ้น ม.ปลาย และได้อยู่กินกันมา 10 ปี มีลูก 2 คน เมื่อปี2565 เราทนนิสัยของสามีไม่ไหว ทั้งตบตีจนตาเขียว ตัวเขียวไปทำงานทุกวัน ด่าทอดูถูกพ่อแม่เราและตัวเราด้วยถ้อยคำที่รุนแรง วันนั้นก็เป็นวันที่เราทนไม่ไหวเพราะโดนตบตีเกือบทุกวัน เช้ารุ่งขึ้นเราจึงหนีออกมาโดยไม่บอกใครและไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งครอบครัวเรา เมื่อสามีกลับมาบ้านรู้ว่าเราหนีจึงโทรไปบอกครอบครัวเรา ญาติพี่น้องเราทุกคนว่าเราหนีไปกับผู้ชาย ร้องไห้แสดงความสงสาร เมื่อครอบครัวเรารุ้จึงติดต่อเรามาเราจึงเล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เราโดนทุบตี แม้กระทั่งตอนเราท้องลูกคนที่ 2 เราโดนทุบตีจนหน้าบวมเราก็เล่าให้พวกญาติๆและแม่เราฟังทั้งหมด แต่ทุกคนไม่ได้ช่วยอะไรเลย หลังจากที่หนีมาเราก็มาขออยู่กับเพื่อนสนิท และญาติๆเราพยายามให้เราคืนดีกับสามีเพราะสงสารลูก ถามว่าเราสงสารไหม เราสงสารลูกมากแต่ในระยะเวลา10ปีที่อยู่กินกันมา ตบตีไม่ต่ำกว่า 50 รอบ และรุนแรงทุกรอบลูกๆเห็นหมด เราจึงไม่กลับเมื่อเราไม่มีเงินเพราะหนีออกมาตัวเปล่าเราจึงขอยืมญาติ แต่ญาติเรากลับมองว่าเรามีชู้เอาเงินเลี้ยงผู้ชายจนหมด เชื่อจากคำพูดใส่ร้ายจากสามี ช่วงนั้นต้องกินวันละ 60 บาท ยอมอดข้าวเช้าเพื่อกินมื้อกลางวัน 25 บาท ที่เหลือกินช่วงเย็นเป็นแบบนี้ทุกวัน ญาติพี่น้องไม่มีมาสนใจ จนครบ1 เดือน สามีเปิดตัวแฟนใหม่ ใส่ร้ายเราหนักกว่าเดิม และญาติพี่น้องเชื่อฟังคำพูดเขาทั้งหมด (นิสัยสามีคนนี้เป็นผู้ชายช่างพูดช่างจาและประจบเอาใจให้ทุกคนเชื่อถือ) ตอนนั้นเราไม่มีเงินและไปยืมน้า แต่กลับถูกด่ากลับด้วยถ้อยคำที่เเรง ตอนนั้นความรู้สึกเราเหมือนหมาตัวนึงเลยก็ว่าได้ มันเคว้งไม่มีแม้แต่คนปรึกษาไม่มีแม้แต่คนคอยรับฟัง จนเราเป็น แพนิค อาการแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปตรวจที่ รพ. พบว่าเป็นทั้งแพนิค และโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ตอนนั้นโดนไล่ออกจากงาน เพราะเป็นแพนิคบ่อย พ่อเราจึงให้ญาติมารับ ก็นั่นล่ะมารับแบบไม่เต็มใจ ต้องมีค่าจ้างค่าเสียเวลาค่าน้ำมัน แต่เราก็เข้าใจจึงให้ไป หลังกลับมาอยู่ที่บ้าน ก็ได้พ่อ พ่อเราดีไม่เหมือนคนอื่นแต่เรามีเรื่องเครียดเราไม่ค่อยปรึกษาพ่อ เพราะพ่ออารมณ์ร้อน เราได้งานที่คลีนิคแห่งนึง เราก็ทำงานปกติ และได้รับลูกมาอยู่ด้วยทั้ง2คน พ่อเขาไม่เคยส่งเสียลูกแม้แต่บาทเดียว เราทำงานส่งลูกเรียนคนเดียว เงินเดือนที่ได้มันไม่พอค่าใช้จ่าย เดือนชนเดือน ไม่มีเก็บ เงินกินก็เหมือนเดิมวันละ 60 บาท จนมาวันนึงเราไม่มีเงินให้ลูกไป รร. ขาด 10 บาท เราจึงแบกหน้าไปขอยาย 10 บาท เราก็ระอายใจนะเงินแค่นี้หาให้ลูกไม่ได้ ยายก็ให้ลูกเรามา และเราก็ไปทำงานปกติ และเย็นวันนั้น พี่สาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทักมาด่าเราด้วยถ้อยคำที่เเรง ว่าขอเงินยายทำไม..ก็รู้ว่ายายไม่มีตัง ด่าเรานู่นนี่นั่นสารพัด เราบอกว่าเงินแค่ 10 บาทนะ ต้องด่าขนาดนี้เลยหรอ หลังจากนั้นแม่เราทักมาอีก ว่าเงินไปไหนหมดทำงานยังไงไม่มีเงินให้ลูก ตอนนั้นเราน้อยใจมากถึงมากที่สุด เงินเพียงแค่นี้ต้องด่าเราขนาดนี้ไหม เราทำงานไปน้ำตาไหลไป พยายามกลั้นแล้วแต่มันไหลออกมาเอง วันกลับมาเราตัดสินใจจบชีวิตด้วยการ ผูกคอตายปัญหาจะได้จบ แต่พ่อพังประตูช่วยได้ทัน หลังจากนั้นมา 1 เดือนกว่า ปี 2566 มิ.ย เราจึงย้ายมาคลีนิคชลบุรี เหมือนเดิม เดือนเงินได้น้อย แถมยังโดนเพื่อนร่วมงานถูกถูกสารพัด และไม่มีเงินโด้กดดัน อีกรอบ และไม่ผ่านงานเพราะเพื่อนร่วมงานไม่ชอบขี้หน้าจึงโปรโหมดให้เราไม่ผ่าน เราไม่มีทางไปแล้วตอนนั้นช่วงกลางเดือนเงินหมด ตกงาน เงินไม่มีกินข้าว และเพื่อนเราก็ตกงานเหมือนกันจึงย้ายมาอยู่กับเรา เร่าไม่มีทางไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่รับช่วงนั้นงานหายากมาก และอีก 10 วันค่าใช้จ่ายก็จะมาแล้ว ลูก รถ ค่าห้อง เราเครียดมาก เราไม่มีแม้แต่เงินกิน จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะญาติพี่น้องรอเหยียบซ้ำเติมอยู่ เราไม่มีทางเลือกเรากับเพื่อนตัดสินใจ ไปพัทยาเพื่อหางานบาร์ทำ เราไม่ได้อยากทำแต่มันต้องทำเพราะเรากลัววาาลูกเราจะอด ทำได้ 3 วันมีเงินเริ่มส่งให้ลูกเเละมีใช้จ่ายมีกินและเริ่มมีเก็บ เราปิดบังทุกคนว่าเราทำงานที่ไหนอะไรยังไง ไม่มีใครรู้ จนได้มาเจอแฟนต่างชาติคนฮ่องกง ดูแลดีใส่ใจเราดีมาก เราจึงพามาทั่บ้านและลาออกจากงานภายในระยะเวลาทำงาน 3 เดือน เขารักและดูแลส่งเสียลูกเราเป็นอย่างดี แต่!!!! เรื่องไม่จบแค่นั้นค่ะ เราบอกญาติพ่อแม่เราว่าเราจะแต่งงานและสินสอด 4 แสน ทุกคนเชื่อไหมสินสอดเจ้ากรรม ยังแค่บอกว่าจะแต่ง ญาติพี่น้องเถียงกันเรื่องสินสอด แม่เราก่อนเลย เราบอกว่าจะให้แม่และพ่อคนละครึ่ง เพราะพ่อแม่แยกทางกัน แม่ร้องไห้จะให้พ่อเราทำไมนู่นนี้นั่น ส่วนพี่สาวที่เป็นญาติกันบอกว่า เราต้องให้ยายด้วยเพราะยายก็เลี้ยงดูเรามา ฝั่งยายก็บอกว่า พ่อแม่เราก็ติดหนี้จากการยืมยายเพื่อให้พี่ชายไป ตปท. และตอนนี้ยังไม่คืน ส่วนพ่อเราเรายังไม่บอกเพราะพ่อเป็นคนไม่เรื่องเยอะ มีแต่แม่กับยาย ใส่ร้ายพ่อเราสารพัด เราคิดว่า นี่ขนาดยังไม่แต่งนะเนี่ย เรารู้เลยว่าญาติพี่น้องและแม่หวังอะไรจากเรา ตอนเราล้มทุกคนซ้ำเราลุก เรามีทุกคนเข้าหา จนทุกวันนี้เราย้ายมาอยู่กับแฟนที่ฮ่องกง แฟนส่งเสียเลี้ยงดูลูกเรา และให้เงินพ่อเรา เพราะสงสารพ่อทำงานหนักอายุเริ่มเยอะ นี่คือเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตเราที่เจอมา ทำให้เรารู้ว่า ที่พึ่งสุดท้ายที่คิดว่าครอบครอบ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่ เราไม่ได้โชคดีแบบนั้น เราเคยคิดหากเราตายเราขอแค่ชาตินี้ชาติเดียวที่เกิดมาไม่ขอเกิดเป็นลูกใครอีก ไม่ขอเกิดเป็นญาติพี่น้องใครอีก หรือไม่เกิดมาเลยยิ่งดี หรือถ้าเกิดก็ขอแค่มีพ่อกับลูกๆก็พอ เรื่องราวชีวิตเราอาจจะยาวไปหน่อยแต่เราอยากระบายจริงๆ เราไม่มีใครรับฟังปัญหา เราทำได้แค่ร้องไห้เงียบๆคนเดียวและพิมพ์มันออกมา