‘พิธา’ สลัดคราบ ‘นักรบห้องแอร์’ โชว์เป่าลม-ฉีดน้ำดับไฟป่าแม่วาง จ.เชียงใหม่
https://www.dailynews.co.th/news/3262949/
พบข้อจำกัดน้ำน้อย-ติดปัญหาโลจิสติกส์ ลั่นถ้ามีอำนาจบริหาร จะประกาศ ‘พื้นที่ภัยพิบัติ’ ทันที บอกเดี๋ยวค่อยพัฒนากันไป ยังดีกว่าคนไม่มา หลังครูฝึกให้คะแนน 5 เต็ม 10 ระบุไม่ต้องดับไฟเก่งเท่าเขา แต่พูดภาษาเดียวกับเขาได้ รับปากนำปัญหาสู่สภา
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่เขาทุ่งปี๊ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกล นำโดยนาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล จ.เชียงใหม่ เดินขึ้นเขาทุ่งปี๊ เพื่อร่วมภารกิจดับไฟป่า ตามกำหนดการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 16-17 มี.ค. 2567
โดยเมื่อมาถึง นาย
พิธา ได้ใช้เครื่องมือดับไฟ ซึ่งดัดแปลงมาจากเครื่องพ่นยาฆ่าแมลง เพื่อดับไฟ และเครื่องพ่นลม ในการพ่นใบไม้ เพื่อสร้างเป็นแนวกันไฟ โดยมีอาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงาคอยแนะนำ ท่ามกลางไฟที่ลุกและมีกระแสลมแรงตลอดเวลา
นาย
พิธา กล่าวระหว่างดับไฟว่า วันนี้ได้มาลองใช้เครื่องมือดับไฟ มีหลักการใช้อยู่ แต่ไม่ต้องถึงกับใช้ทักษะเยอะ ต้องควบคุมให้วัตถุเชื้อเพลิงกระจุก อ่านลมเป็น ตนคิดว่าทีมที่กระจุกตัวและเข้าถึงพื้นที่ได้เลย จะต้องมีประมาณ 30 คน น้อยกว่านี้ก็ไม่ได้ มากกว่านี้ก็ช้าไป ถ้ามี 30 คน จะมีคนเป็นม้าเร็ว มีคนที่ลงมือเป็นกองหน้า กองกลาง ตอนนี้พบว่ามีปัญหาโลจิสติกส์ ถ้าเข้าไปถึงพื้นที่ได้ทัน รวดเร็วในขณะที่ไฟยังไม่กระจาย มันจะจบเร็ว แต่ถ้าไปช้า จาก 1 จะกลายเป็น 10 จาก 10 จะกลายเป็น 100 ก็จะต้องไล่ตามปัญหา นอกจากนี้ยังพบว่า น้ำที่ใช้ดับไฟมีอยู่อย่างจำกัด มองว่าวิธีการแก้ปัญหาคือ หากทราบแล้วว่าพื้นที่ไหนไฟไหม้ป่าซ้ำซาก ควรจะมีการบริหารจัดการล่วงหน้า มีสถานีน้ำ
นาย
พิธา ยังเดินไปอีกจุดของเขาทุ่งปี๊ ซึ่งมีไฟไหม้มากกว่า ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ดับไฟ ก่อนจะให้สัมภาษณ์ ว่า มีความยากลำบาก คิดว่าจำนวนคนยังไม่พอ มองว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 กว่า 40% น่าจะเผาจากต่างประเทศ 20% น่าจะเกิดจากไฟป่าในประเทศ และเราแก้ปัญหาไฟป่าได้แค่เพียง 10% เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นต้องดูว่าทีมแบบไหน ที่ทำแล้วมีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วเพิ่มสเกลของทีมให้มาก
“
ภาครัฐควรเติมคน เติมทีม งบก็ขอไป 1,000 ล้านบาท ได้มา 50 ล้านบาทมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ได้มาก็ตำบลละ 1 หมื่นบาท เขาก็ซื้อเครื่องเป่าลม เครื่อง 4,700 บาท ได้แค่ 2 เครื่อง” นายพิธา กล่าว
นาย
พิธา กล่าวต่อว่า ถ้าประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินจะเป็นการดีที่สุด สามารถเอางบกลางมาใช้ได้ ส่วนการลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะช่วยในการออกแบบการแก้ปัญหาหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า พอได้มาเห็นสภาพจริงแล้ว จะมาฉีดน้ำมั่วไม่ได้ นอกจากนี้ ต้องแข่งกับลม แข่งกับเวลา แข่งกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด คิดว่าจำนวนยังไม่พอ เมื่อถามว่าหากมีอำนาจรัฐในมือ สิ่งแรกที่จะทำคืออะไร นายพิธา กล่าวว่า จะประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ หากตัวเลขยังเป็นแบบนี้ ต้องประกาศหยุดเรียน เพิ่มหน้ากาก N95 ให้หาซื้อได้ในราคาที่ย่อมเยาหรือแจกฟรี และมานั่งดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แก้ที่ต้นเหตุดีกว่าปลายเหตุ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องประกาศ ทำเป็นเงื่อนไขให้ชัดเจน
เมื่อถามว่าปีที่แล้วมีการออกมาพูดถึงเรื่องการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของฝุ่น PM 2.5 สาเหตุของปีนี้ยังเป็นแบบเดิมหรือไม่ นาย
พิธา กล่าวว่า เท่าที่ดู จุดความร้อน 40% จะอยู่ที่เมียนมาและกัมพูชา ในประเทศไทยมาจากไฟป่าพื้นที่เกษตรแทบจะไม่มี ตอนนี้ถึงเราเคลียร์พื้นที่ให้ได้มากที่สุด ก็เป็นเพียงแค่ 2% ของพื้นที่ที่มีปัญหา ซึ่งเป็นการเกาถูกที่คัน แต่ยังไม่พอ หลังจากนี้จะนำไปอภิปรายและเข้าสู่กรรมาธิการ สภา
“
ที่บางทีเลือกฉีด บางทีฉีดไป เพราะน้ำมีไม่พอ น้ำมีอยู่อย่างจำกัด ถ้ามีธนาคารน้ำหรือสถานีน้ำวางอยู่ ก็สามารถใช้ได้เต็มที่ สามารถดับไฟได้เร็วมากขึ้น” นายพิธา กล่าว
ทั้งนี้ บางช่วงของการดับไฟ ผู้สื่อข่าวแซวนาย
พิธาว่า วันนี้ครูฝึกให้คะแนนแค่ 5 คะแนน เต็ม 10 นาย
พิธา แซวกลับว่า เดี๋ยวค่อยๆ พัฒนา ยังดีกว่าคนไม่มาสอบ ตนเปรียบเทียบกับตัวเองเป็นนักรบห้องแอร์ เวลาเขามาเสนองบ เราไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องเก่งเท่าเขา แต่พูดภาษาเดียวกับเขาได้
ภายหลังดับไฟเสร็จสิ้น นาย
พิธา ได้ลงมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า โดยนาย
พิธา ได้โค้งคำนับขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน รวมถึงให้กำลังใจในการทำงาน และรับปากว่าจะนำปัญหาที่ได้เจอเข้าสู่สภา
จากนั้น นาย
พิธาร่วมรับประทานอาหารกับ สส. ในพื้นที่ โดยในวงทานข้าว ได้มีการพูดคุยถึงแนวทางการแก้ปัญหาไฟป่าด้วยความเป็นกันเอง จนบางช่วงนายพิธา ได้ถอดเสื้อคลุมออก เผยจนเห็นรอยสักที่อยู่บนแขน สร้างความฮือฮาให้กับอาสาสมัครผู้หญิง.
"พิธา" แวะทักทาย-แจกลายเซ็นแฟนคลับหนังสือ แย้มกำลังเขียนเล่มใหม่ ประมวลเส้นทางชัยชนะเลือกตั้ง จนถึงถูกสกัดกั้นคดียุบพรรค-หุ้นไอทีวี
https://ch3plus.com/news/political/morning/391639
16 มี.ค. 2567 เวลา 16.30 น. นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางเข้าสักการะพระประธานในอุโบสถ วัดฝายหิน ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมเข้ากราบนมัสการพระครูสมุห์ วิษุวัตร วรกิจจฺโจ เจ้าอาวาสวัดฝายหิน โดยเจ้าอาวาสได้มอบหนังสือธรรมะให้ ก่อนที่จะนำเดินไปสักการะเจดีย์บรรจุอัฐิพระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์ (ครูบาฝายหิน) ปฐมสังฆราชของล้านนาไทย ซึ่งเป็นพระมหาเถระผู้ทรงความรู้ในภาษาบาลี มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดฝายหินองค์ที่ 2 เคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่
จากนั้นเจ้าอาวาส ได้นำนาย
พิธา ไปยังวิหารจตุรมุข หรือ วิหาร 4 มุข ที่บันไดเป็นพญานาคเพศผู้และเมีย อยู่ด้านซ้ายขวา นาย
พิธาได้สักการะพระพุทธรูปหยกขาว พร้อมสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส
โอกาสนี้ เจ้าอาวาส ได้กล่าวกับนาย
พิธาว่า "
เขาเป็นสมมติเทพ ชาวบ้านในประเทศไทยเคารพนับถือแต่ไหนแต่ไรมา อาตมาเสียดาย ติดตามข่าวทำไมถึงไป คิดถึงขั้นนั้น แล้วถ้าโยมไม่คิด บริวารเขาคิด"
จากนั้นนาย
พิธา กล่าวตอบว่า "
ครับ พวกเราไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นครับ เราอยากให้พระองค์ท่านมั่นคงสถาพร" ทำให้เจ้าอาวาส กล่าวต่อว่า "
ถ้าคิดอย่างนี้ตั้งแต่แรก สมหวังแล้ว" นายพิธาจึงกล่าวตอบว่า "
ก็คิดอย่างนี้มาโดยตลอด ถ้ามีโอกาสคงต้องอธิบาย แต่เจตนาไม่มีเป็นอื่นแน่นอน"
หลังจากเสร็จสิ้นการกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด นาย
พิธา ได้มาพบปะประชาชนที่มารอขอถ่ายรูป โดยหนึ่งในนั้นเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มาจากชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ แต่งชุดแต่งกายชนเผ่าเรียกร้องให้นาย
พิธาผลักดันกฎหมายชาติพันธุ์ให้สำเร็จ ซึ่งนาย
พิธาตอบตกลงว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การผลักดันในสภา
จากนั้นเวลา 17.30 น. นาย
พิธา เดินทางต่อไปยังร้านเล่า ถนนนิมมานเหมินท์ เพื่อแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับที่ซื้อหนังสือ "
ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน"
นาย
พิธา กล่าวกับแฟนคลับว่า หนังสือนี้ เป็นหนังสือที่เขียนตั้งแต่ตนเรียนการเมืองการปกครอง ตอนนั้นเขียนข้อความบทความนี้ส่งกลับมาให้นิตยสารแพรว 12 ปีมาแล้ว ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศแต่เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเมืองไทย ตนเป็นนักเรียนไทยคนเดียวในมหาวิทยาลัยในคณะที่เรียนอยู่ ก็จะโดนตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เสื้อเหลืองคืออะไร เสื้อแดงคืออะไร เขาต้องการอะไร มีเรื่องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน 2 มาตรฐาน 12 ปีมาแล้ว แต่ทุกอย่างถอยหลัง ตนต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน หวังว่าจะมีความสุขในการตนเขียนหนังสือ ตนกำลังเขียนเล่มใหม่อยู่ เป็นการสรุป 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุบสภาฯ ชนะการเลือกตั้ง จนถึงโดนผลักดันไปเป็นฝ่ายค้าน โดนคดีหุ้นไอทีวี เชื่อว่าจะออกมาเร็วๆ นี้
“ภคมน” ตอก “ลิณธิภรณ์” ให้ฝ่ายค้านหยุดเดินสาย ย้ำ ก้าวไกลมี สส.เชียงใหม่ 7 เขต
https://www.thairath.co.th/news/politic/2771044
“ภคมน” ตอกกลับ “ลิณธิภรณ์” ปมให้ฝ่ายค้านหยุดเดินสาย ย้ำเผื่อลืม ก้าวไกลมี สส.เชียงใหม่ 7 เขต ลั่น แม้แต่ “เศรษฐา” ยังมองว่าเป็นเรื่องดี แนะ ห่วงปัญหาประชาชนให้มากกว่าภาพลักษณ์นายกฯ
วันที่ 16 มีนาคม 2567 นางสาว
ภคมน หนุนอนันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี นางสาว
ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ควรเข้าใจบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้าน ไม่ใช่คิดแต่จะเดินสาย
รองโฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่า ไม่แน่ใจ นางสาว
ลิณธิภรณ์ ไปศึกษาตำราเล่มไหน ถึงกล้าพูดด้วยความเข้าใจผิดๆ ของตัวเองว่าสิ่งที่ นาย
พิธา และพรรคก้าวไกลทำอยู่ในฐานะฝ่ายค้านและผู้แทนราษฎร เป็นการเคลื่อนไหวนอกบทบาทหน้าที่ ในเมื่อผู้แทนราษฎรหรือ สส. มีหน้าที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนราษฎร ต้องพูดแทนราษฎร เราจะตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เสนอแนะรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร หากไม่เคยเห็นปัญหาหน้างานหรือพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การออกเดินสายลงพื้นที่จึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ผู้แทน ที่สำคัญอยากย้ำเผื่อลืม พรรคก้าวไกลมี สส.เชียงใหม่ 7 เขต จากทั้งหมด 10 เขต อาจเป็นความจริงที่แสลงใจ นางสาว
ลิณธิภรณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ การลงพื้นที่ดูปัญหาในช่วงที่ประชาชนยากลำบาก คือรูปธรรมของการทำหน้าที่ผู้แทนที่ประชาชนมอบความไว้วางใจ
“
ตกลงใครกันแน่ไม่เข้าใจบทบาทผู้แทนราษฎร ที่ออกมาบอกให้ฝ่ายค้านหยุดเดินสาย หากคุณเองในฐานะผู้แทนราษฎรใจกว้าง และไม่ขี้ขลาดว่าการลงพื้นที่ของฝ่ายค้านจะทำให้รัฐบาลถูกเปรียบเทียบ ก็อย่าแสดงออกถึงใจที่คับแคบเลย แม้แต่นายกฯ ยังบอกว่าทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลช่วยกันดูแลปัญหา เป็นเรื่องที่ดี ตอนนี้อายุผู้แทนราษฎรดำเนินมาหลายเดือนแล้ว ถ้าคุณลิณธิภรณ์ ยังไม่เข้าใจบทบาทผู้แทนราษฎร ก็น่าเป็นห่วง จึงขอฝากด้วยความห่วงใย ห่วงปัญหาประชาชนให้มากกว่าภาพลักษณ์นายกฯ สักนิด”
JJNY : 5in1 ‘พิธา’ฉีดน้ำดับไฟป่า│"พิธา"แวะทักทายแฟนคลับ│“ภคมน”ตอก“ลิณธิภรณ์”│ชี้ต้นกำเนิดเชื้อโควิด│ไต้หวันเตือนเรือจีน
https://www.dailynews.co.th/news/3262949/
พบข้อจำกัดน้ำน้อย-ติดปัญหาโลจิสติกส์ ลั่นถ้ามีอำนาจบริหาร จะประกาศ ‘พื้นที่ภัยพิบัติ’ ทันที บอกเดี๋ยวค่อยพัฒนากันไป ยังดีกว่าคนไม่มา หลังครูฝึกให้คะแนน 5 เต็ม 10 ระบุไม่ต้องดับไฟเก่งเท่าเขา แต่พูดภาษาเดียวกับเขาได้ รับปากนำปัญหาสู่สภา
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่เขาทุ่งปี๊ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ พรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล จ.เชียงใหม่ เดินขึ้นเขาทุ่งปี๊ เพื่อร่วมภารกิจดับไฟป่า ตามกำหนดการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 16-17 มี.ค. 2567
โดยเมื่อมาถึง นายพิธา ได้ใช้เครื่องมือดับไฟ ซึ่งดัดแปลงมาจากเครื่องพ่นยาฆ่าแมลง เพื่อดับไฟ และเครื่องพ่นลม ในการพ่นใบไม้ เพื่อสร้างเป็นแนวกันไฟ โดยมีอาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงาคอยแนะนำ ท่ามกลางไฟที่ลุกและมีกระแสลมแรงตลอดเวลา
นายพิธา กล่าวระหว่างดับไฟว่า วันนี้ได้มาลองใช้เครื่องมือดับไฟ มีหลักการใช้อยู่ แต่ไม่ต้องถึงกับใช้ทักษะเยอะ ต้องควบคุมให้วัตถุเชื้อเพลิงกระจุก อ่านลมเป็น ตนคิดว่าทีมที่กระจุกตัวและเข้าถึงพื้นที่ได้เลย จะต้องมีประมาณ 30 คน น้อยกว่านี้ก็ไม่ได้ มากกว่านี้ก็ช้าไป ถ้ามี 30 คน จะมีคนเป็นม้าเร็ว มีคนที่ลงมือเป็นกองหน้า กองกลาง ตอนนี้พบว่ามีปัญหาโลจิสติกส์ ถ้าเข้าไปถึงพื้นที่ได้ทัน รวดเร็วในขณะที่ไฟยังไม่กระจาย มันจะจบเร็ว แต่ถ้าไปช้า จาก 1 จะกลายเป็น 10 จาก 10 จะกลายเป็น 100 ก็จะต้องไล่ตามปัญหา นอกจากนี้ยังพบว่า น้ำที่ใช้ดับไฟมีอยู่อย่างจำกัด มองว่าวิธีการแก้ปัญหาคือ หากทราบแล้วว่าพื้นที่ไหนไฟไหม้ป่าซ้ำซาก ควรจะมีการบริหารจัดการล่วงหน้า มีสถานีน้ำ
นายพิธา ยังเดินไปอีกจุดของเขาทุ่งปี๊ ซึ่งมีไฟไหม้มากกว่า ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ดับไฟ ก่อนจะให้สัมภาษณ์ ว่า มีความยากลำบาก คิดว่าจำนวนคนยังไม่พอ มองว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 กว่า 40% น่าจะเผาจากต่างประเทศ 20% น่าจะเกิดจากไฟป่าในประเทศ และเราแก้ปัญหาไฟป่าได้แค่เพียง 10% เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นต้องดูว่าทีมแบบไหน ที่ทำแล้วมีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วเพิ่มสเกลของทีมให้มาก
“ภาครัฐควรเติมคน เติมทีม งบก็ขอไป 1,000 ล้านบาท ได้มา 50 ล้านบาทมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ได้มาก็ตำบลละ 1 หมื่นบาท เขาก็ซื้อเครื่องเป่าลม เครื่อง 4,700 บาท ได้แค่ 2 เครื่อง” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวต่อว่า ถ้าประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินจะเป็นการดีที่สุด สามารถเอางบกลางมาใช้ได้ ส่วนการลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะช่วยในการออกแบบการแก้ปัญหาหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า พอได้มาเห็นสภาพจริงแล้ว จะมาฉีดน้ำมั่วไม่ได้ นอกจากนี้ ต้องแข่งกับลม แข่งกับเวลา แข่งกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด คิดว่าจำนวนยังไม่พอ เมื่อถามว่าหากมีอำนาจรัฐในมือ สิ่งแรกที่จะทำคืออะไร นายพิธา กล่าวว่า จะประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ หากตัวเลขยังเป็นแบบนี้ ต้องประกาศหยุดเรียน เพิ่มหน้ากาก N95 ให้หาซื้อได้ในราคาที่ย่อมเยาหรือแจกฟรี และมานั่งดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แก้ที่ต้นเหตุดีกว่าปลายเหตุ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องประกาศ ทำเป็นเงื่อนไขให้ชัดเจน
เมื่อถามว่าปีที่แล้วมีการออกมาพูดถึงเรื่องการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของฝุ่น PM 2.5 สาเหตุของปีนี้ยังเป็นแบบเดิมหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่ดู จุดความร้อน 40% จะอยู่ที่เมียนมาและกัมพูชา ในประเทศไทยมาจากไฟป่าพื้นที่เกษตรแทบจะไม่มี ตอนนี้ถึงเราเคลียร์พื้นที่ให้ได้มากที่สุด ก็เป็นเพียงแค่ 2% ของพื้นที่ที่มีปัญหา ซึ่งเป็นการเกาถูกที่คัน แต่ยังไม่พอ หลังจากนี้จะนำไปอภิปรายและเข้าสู่กรรมาธิการ สภา
“ที่บางทีเลือกฉีด บางทีฉีดไป เพราะน้ำมีไม่พอ น้ำมีอยู่อย่างจำกัด ถ้ามีธนาคารน้ำหรือสถานีน้ำวางอยู่ ก็สามารถใช้ได้เต็มที่ สามารถดับไฟได้เร็วมากขึ้น” นายพิธา กล่าว
ทั้งนี้ บางช่วงของการดับไฟ ผู้สื่อข่าวแซวนายพิธาว่า วันนี้ครูฝึกให้คะแนนแค่ 5 คะแนน เต็ม 10 นายพิธา แซวกลับว่า เดี๋ยวค่อยๆ พัฒนา ยังดีกว่าคนไม่มาสอบ ตนเปรียบเทียบกับตัวเองเป็นนักรบห้องแอร์ เวลาเขามาเสนองบ เราไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องเก่งเท่าเขา แต่พูดภาษาเดียวกับเขาได้
ภายหลังดับไฟเสร็จสิ้น นายพิธา ได้ลงมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า โดยนายพิธา ได้โค้งคำนับขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน รวมถึงให้กำลังใจในการทำงาน และรับปากว่าจะนำปัญหาที่ได้เจอเข้าสู่สภา
จากนั้น นายพิธาร่วมรับประทานอาหารกับ สส. ในพื้นที่ โดยในวงทานข้าว ได้มีการพูดคุยถึงแนวทางการแก้ปัญหาไฟป่าด้วยความเป็นกันเอง จนบางช่วงนายพิธา ได้ถอดเสื้อคลุมออก เผยจนเห็นรอยสักที่อยู่บนแขน สร้างความฮือฮาให้กับอาสาสมัครผู้หญิง.
"พิธา" แวะทักทาย-แจกลายเซ็นแฟนคลับหนังสือ แย้มกำลังเขียนเล่มใหม่ ประมวลเส้นทางชัยชนะเลือกตั้ง จนถึงถูกสกัดกั้นคดียุบพรรค-หุ้นไอทีวี
https://ch3plus.com/news/political/morning/391639
16 มี.ค. 2567 เวลา 16.30 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางเข้าสักการะพระประธานในอุโบสถ วัดฝายหิน ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมเข้ากราบนมัสการพระครูสมุห์ วิษุวัตร วรกิจจฺโจ เจ้าอาวาสวัดฝายหิน โดยเจ้าอาวาสได้มอบหนังสือธรรมะให้ ก่อนที่จะนำเดินไปสักการะเจดีย์บรรจุอัฐิพระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์ (ครูบาฝายหิน) ปฐมสังฆราชของล้านนาไทย ซึ่งเป็นพระมหาเถระผู้ทรงความรู้ในภาษาบาลี มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดฝายหินองค์ที่ 2 เคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่
จากนั้นเจ้าอาวาส ได้นำนายพิธา ไปยังวิหารจตุรมุข หรือ วิหาร 4 มุข ที่บันไดเป็นพญานาคเพศผู้และเมีย อยู่ด้านซ้ายขวา นายพิธาได้สักการะพระพุทธรูปหยกขาว พร้อมสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส
โอกาสนี้ เจ้าอาวาส ได้กล่าวกับนายพิธาว่า "เขาเป็นสมมติเทพ ชาวบ้านในประเทศไทยเคารพนับถือแต่ไหนแต่ไรมา อาตมาเสียดาย ติดตามข่าวทำไมถึงไป คิดถึงขั้นนั้น แล้วถ้าโยมไม่คิด บริวารเขาคิด"
จากนั้นนายพิธา กล่าวตอบว่า "ครับ พวกเราไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นครับ เราอยากให้พระองค์ท่านมั่นคงสถาพร" ทำให้เจ้าอาวาส กล่าวต่อว่า "ถ้าคิดอย่างนี้ตั้งแต่แรก สมหวังแล้ว" นายพิธาจึงกล่าวตอบว่า "ก็คิดอย่างนี้มาโดยตลอด ถ้ามีโอกาสคงต้องอธิบาย แต่เจตนาไม่มีเป็นอื่นแน่นอน"
หลังจากเสร็จสิ้นการกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด นายพิธา ได้มาพบปะประชาชนที่มารอขอถ่ายรูป โดยหนึ่งในนั้นเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มาจากชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ แต่งชุดแต่งกายชนเผ่าเรียกร้องให้นายพิธาผลักดันกฎหมายชาติพันธุ์ให้สำเร็จ ซึ่งนายพิธาตอบตกลงว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การผลักดันในสภา
จากนั้นเวลา 17.30 น. นายพิธา เดินทางต่อไปยังร้านเล่า ถนนนิมมานเหมินท์ เพื่อแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับที่ซื้อหนังสือ "ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน"
นายพิธา กล่าวกับแฟนคลับว่า หนังสือนี้ เป็นหนังสือที่เขียนตั้งแต่ตนเรียนการเมืองการปกครอง ตอนนั้นเขียนข้อความบทความนี้ส่งกลับมาให้นิตยสารแพรว 12 ปีมาแล้ว ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศแต่เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเมืองไทย ตนเป็นนักเรียนไทยคนเดียวในมหาวิทยาลัยในคณะที่เรียนอยู่ ก็จะโดนตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เสื้อเหลืองคืออะไร เสื้อแดงคืออะไร เขาต้องการอะไร มีเรื่องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน 2 มาตรฐาน 12 ปีมาแล้ว แต่ทุกอย่างถอยหลัง ตนต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน หวังว่าจะมีความสุขในการตนเขียนหนังสือ ตนกำลังเขียนเล่มใหม่อยู่ เป็นการสรุป 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุบสภาฯ ชนะการเลือกตั้ง จนถึงโดนผลักดันไปเป็นฝ่ายค้าน โดนคดีหุ้นไอทีวี เชื่อว่าจะออกมาเร็วๆ นี้
“ภคมน” ตอก “ลิณธิภรณ์” ให้ฝ่ายค้านหยุดเดินสาย ย้ำ ก้าวไกลมี สส.เชียงใหม่ 7 เขต
https://www.thairath.co.th/news/politic/2771044
“ภคมน” ตอกกลับ “ลิณธิภรณ์” ปมให้ฝ่ายค้านหยุดเดินสาย ย้ำเผื่อลืม ก้าวไกลมี สส.เชียงใหม่ 7 เขต ลั่น แม้แต่ “เศรษฐา” ยังมองว่าเป็นเรื่องดี แนะ ห่วงปัญหาประชาชนให้มากกว่าภาพลักษณ์นายกฯ
วันที่ 16 มีนาคม 2567 นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ควรเข้าใจบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้าน ไม่ใช่คิดแต่จะเดินสาย
รองโฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่า ไม่แน่ใจ นางสาวลิณธิภรณ์ ไปศึกษาตำราเล่มไหน ถึงกล้าพูดด้วยความเข้าใจผิดๆ ของตัวเองว่าสิ่งที่ นายพิธา และพรรคก้าวไกลทำอยู่ในฐานะฝ่ายค้านและผู้แทนราษฎร เป็นการเคลื่อนไหวนอกบทบาทหน้าที่ ในเมื่อผู้แทนราษฎรหรือ สส. มีหน้าที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนราษฎร ต้องพูดแทนราษฎร เราจะตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เสนอแนะรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร หากไม่เคยเห็นปัญหาหน้างานหรือพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การออกเดินสายลงพื้นที่จึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ผู้แทน ที่สำคัญอยากย้ำเผื่อลืม พรรคก้าวไกลมี สส.เชียงใหม่ 7 เขต จากทั้งหมด 10 เขต อาจเป็นความจริงที่แสลงใจ นางสาวลิณธิภรณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ การลงพื้นที่ดูปัญหาในช่วงที่ประชาชนยากลำบาก คือรูปธรรมของการทำหน้าที่ผู้แทนที่ประชาชนมอบความไว้วางใจ
“ตกลงใครกันแน่ไม่เข้าใจบทบาทผู้แทนราษฎร ที่ออกมาบอกให้ฝ่ายค้านหยุดเดินสาย หากคุณเองในฐานะผู้แทนราษฎรใจกว้าง และไม่ขี้ขลาดว่าการลงพื้นที่ของฝ่ายค้านจะทำให้รัฐบาลถูกเปรียบเทียบ ก็อย่าแสดงออกถึงใจที่คับแคบเลย แม้แต่นายกฯ ยังบอกว่าทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลช่วยกันดูแลปัญหา เป็นเรื่องที่ดี ตอนนี้อายุผู้แทนราษฎรดำเนินมาหลายเดือนแล้ว ถ้าคุณลิณธิภรณ์ ยังไม่เข้าใจบทบาทผู้แทนราษฎร ก็น่าเป็นห่วง จึงขอฝากด้วยความห่วงใย ห่วงปัญหาประชาชนให้มากกว่าภาพลักษณ์นายกฯ สักนิด”