สวัสดี🙏🙏สมาชิกทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ วันนี้เราจะเเชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองโดยตรงอย่างละเอียดเพื่ออาจจะเป็นแง่มุมกับใครที่กำลังอาจเผชิญกับปัญหานี้อยู่ หากอ่านแล้วไม่ถูกใจความคิดของเราหรือเห็นต่างก็ขออภัยด้วยนะคะ🙏🙏🙏🙏🙏
เหตุเกิดช่วงกลางปี 2566 ช่วงเวลา 19.20 น. พ่อเราปั่นจักรยานตัดข้ามทางแยกร่วมในพื่นที่ชุมชนเพื่อกับบ้าน ได้มีรถเก๋งทางตรงขับมาชน "
คู่กรณีเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันสามีเป็นทหารมีญาติเป็นอดีตสท.และผู้ใหญ่บ้าน)" และสุดท้ายพ่อเราเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา เมื่อไปติดต่อแจ้งเหตุที่สภ.ร้อยเวรได้เอาภาพวิดีโอหลักฐานจากกล้องหน้ารถว่าพ่อเราปั่นจักรยานตัดหน้ากระทันหัน ซึ่งเมื่อเห็นนั้นเราก็ไม่ได้มีความคิดจะเรียกร้องอะไร แต่กลับคิดว่าคงได้จ่ายค่าซ่อมรถให้ฝั่งนั้นแน่!! ช่วงจัดศพคู่กรณีได้มาร่วมงานคืนแรกซึ่งเค้าทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา แสดงอาการไม่พอใจอย่างชัดเจนสวดเสร็จก็กลับไม่ได้มีการพูดคุยใดๆกับทางเรา หลังจากนั้นวันที่ได้ทำพิธีเผาศพเสร็จสิ้นแล้วกำลังจะเก็บของเตรียมตัวปิดศาลาและกลับบ้านฝั่งคู่กรณีขับรถเข้ามาพร้อมทั้งยื่นซอง ให้ 3,000 บาท ได้บอกกับแม่ของเราว่านี่ซองช่วยทำบุญ จากนั้นก็เดินตรงมายังกลุ่มชาวบ้านที่มีญาติของฝั่งคู่กรณีนั่งอยู่ ซึ่งญาติของคู่กรณีที่เป็นอดีตส.ทได้พูดกับชาวบ้านว่า "เขาจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นเพราะว่าพ่อของเราได้ขี่จักรยานย้อนศร มาตัดหน้าเขาทำให้เขาเดือดร้อนรถเขาเองก็เสียหายจะให้รับผิดชอบอะไร" เมื่อเราได้ยินดังนั้นเรารู้สึกแย่มากรู้สึกเสียใจและรู้สึกโกรธ ซึ่งชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์วันที่ชนได้เข้ามาพูดคุยกับเราว่าอย่าได้กลัวในพื้นที่ของเรานั้นทางแยกทุกแยกมีกล้องวงจรปิดให้ไปขอกล้องวงจรปิดจากเทศบาล และก็ได้มีพี่คนหนึ่งเป็นคนนำเราไปเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดที่เทศบาลและจากหลักฐานในกล้องวงจรปิดที่เทศบาลพบว่า
1.พ่อของเราปั่นจักรยานมาทางตรงเลนเดียวกับรถยนต์ไม่ได้ปั่นย้อนศรอย่างที่เขาพูด
2.พ่อไม่ได้ตัดหน้าระยะกระชั้นชิดเพียงแต่ไม่ชิดขวาไม่ได้ให้สัญญาณว่าจะข้าม
3.คู่กรณีได้เพิ่มความเร็วจากทางโค้งก่อนถึงทางแยกร่วมโดยที่ไม่ชะลอความเร็ว ซึ่งในขณะที่ชนพ่อเราได้ปั่นเข้ามาถึงทางแยกก่อน และได้ชนบริเวณล้อหลังของจักรยานนอกจากจะไม่เบรคขณะที่ชนยังลากไปไกลอีก 10 เมตร หากเป็นสัญชาตญาณของคนขับนั้นเหมือนเป็นการละสายตาจากถนนทำให้มองไม่เห็นคนข้ามถนน
4.ทางที่ชนเป็นทางแยกร่วมในพื้นที่ชุมชน มีตลาด ทางม้าลาย โรงเรียนและธนาคารมีป้ายบอกชัดเจนว่าให้ชะลอความเร็ว
หลังจากที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝั่งจึงได้เรียกฝั่งเราและคู่กรณีไปรับทราบข้อกล่าวหาและทำการตกลงเจรจาค่าเสียหายซึ่งฝั่งคู่กรณีเสนอเงินช่วยเหลือที่ 10,000 บาทพร้อมกับคำพูดท้าทายว่ให้ไปฟ้องศาลเขาพร้อมสู้และได้แสดงท่าทีคุกคามข่มขู่จนมีปากเสียงกันบนโรงพักมันทำให้เราตัดสินใจที่จะสู้บนชั้นศาล
หลังจากวันนั้นเรามีทนายความเพื่อเตรียมที่จะว่าความให้กับฝั่งเรา และก่อนวันที่สารวัตรจะนัดไปพิมพ์ลายนิ้วมือฝั่งคู่กรณีได้ให้ทนายของบริษัทพรบ.เข้ามาพูดคุยเจรจาเสนอเงินช่วยเหลือให้เราเต็มจำนวน 500,000 บาท พร้อมบอกกับเราว่าคดีประมาทร่วมหากไปสู้บนชั้นศาลก็ไม่ได้อะไรดีไม่ดีอาจโดนฟ้องแย้งให้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับฝั่งคู่กรณีด้วยซึ่งเราก็ได้พูดตอบกลับไปว่า "ที่เราสู้เพราะอยากได้ความเป็นธรรมให้กับพ่อไม่ได้จะอยากได้เงิน ในเมื่อลูกความของคุณพร้อมสู้เราก็จัดให้ และหากว่าศาลตัดสินแล้วฝั่งเราผิดจริงก็ยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้กับฝั่งคุณ" วันที่ศาลนัดคุ้มครองสิทธิครั้งแรก ก่อนเข้าห้องทนายฝั่งเขาขอเจรจาจบที่ 550,000 คือประกัน 500,000 บาทบวกกับฝั่งคู่กรณีเพิ่มให้อีก 50,000 บาท เราเลยบอกไปว่าหากคิดว่าฝั่งเราอยากได้เงินงั้นขอจบที่ 800,000 บาทคือฝั่งประกัน 500,000บวกกับคู่กรณีจ่ายอีก 350,000 บาทก็จะยอมจบให้ สุดท้ายคู่กรณีไม่ยอมจ่ายจึงปฏิเสธข้อกล่าวหาและพร้อมต่อสู้คดีและไม่ประสงค์ชดใช้ค่าเสียหาย ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือพรบ.มาเห็นสำนวนที่ศาลว่าเป็นประมาทร่วมพรบ.จึงปฏิเสธการจ่ายเงินทดแทน "
ซึ่งเราก็ไม่ซีเรียสค่ะอย่างที่บอกสู้เพื่อความเป็นธรรมส่วนเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรไม่ได้ก็ไม่เอาไม่คิดจะรับตั้งแต่แรก)" จากนั้นเราก็รอวันนัดสืบพยานซึ่งฝั่งเราอัยการเป็นคนนำสืบและให้เราเข้าเป็นโจกท์ร่วม
ล่าสุด วันที่ 6 มีนาคม 2567 ศาลโทรมาให้เราไปไกล่เกลี่ยอีกครั้ง ตอนแรกเราจะไม่ไปแต่ทนายบอกว่าควรไปเพราะศาลท่านอาจตำหนิเราได้ว่าไม่ให้ความร่วมมือ เราเลยยอมสละเวลางานไป ระหว่างรอศาลทนายคู่กรณีได้เข้ามาพูดคุยกับเราว่าวันนี้เขาจะยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ซึ่งหากเราไม่ยอมหรือเรียกมาไปเขาคงไม่มีให้และคงยอมให้ศาลตัดสินจำคุก!!!
ทนายไม่อยากให้เป็นแบบนั้นตอนนี้เขาสำนึกผิดแล้วขอให้เราเห็นได้มั้ยเขามีภาระมีลูกที่ต้องเลี้ยงดูบลาๆๆๆ
ซึ่งเราได้ยินแบบนั้นก็ทำเฉย ไม่แม้แต่จะมอง พอเข้าไปในห้องศาล
ศาลถามเราว่าประสงค์จะให้เขาชดใช้เท่าไหร่และพอจะประนีประนอมยอมกันได้มั้ย เราจึงขอพูดตรงๆกับศาลว่า อันที่จริงแล้วเราไม่ได้อยากได้เงิน แต่ที่มาสู้เพราะความโกรธล้วนๆเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคู่กรณีไม่เคยไปม่เคยเยียวยา ไม่เคยหันมาคุยกับเราดีๆเลยไม่เคยได้ยินแม้แต่คำว่าขอโทษ แต่กลับไปคุยกับชาวบ้านว่าตัวเองไม่ผิดไม่ต้องรับผิดชอบและท้าให้เราฟ้องด้วย ศาลท่านก็ได้จดบันทึกทุกคำที่เราพูด และเรียกคู่กรณีมาคุยกันต่อหน้า ซึ่งเราเห็นหน้าคู่กรณีวันนั้นคือเขาร้องไห้ตลอดเวลาหน้าตาเขาซีดเซียวและผอมมากเราเห็นแบบนั้นก็อดสงสารไม่ได้เขามากัน 2 คนแม่ลูกและศาลสั่งให้เขายกมือไหว้ขอโทษและพูดขอความเห็นใจจากเรา เราได้ฟังคำขอโทษนั้น จึงพูดได้ต่อหน้าศาลว่า ทำไมพึ่งคิดได้ ทำไมพึ่งขอโทษ ทั้งๆที่จริงเราไม่ต้องมานั่งกันตรงจุดๆนี้ถ้าคุณมาคุยกับเราดีๆตั้งแต่แรก ไม่มีเงินเราก็ไม่ได้คิดจะเรียกร้องอะไรเลยแต่สิ่งที่คุณทำคือการซ้ำเต็มความเจ็บปวดของเรา ตลอดมาเราไม่เคยบอกว่าคุณผิดหรือพ่อเราถูกและเราก็ไม่รับคำขอโทษวันนี้ด้วยเพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าคำขอโทษมันมาจากใจคุณจริงๆรึเปล่า สุดท้ายเรายอมใจอ่อนค่ะ เราเรียก 200,000 เขาจ่ายไหวที่ 150,000 บาท แล้วยอมจบให้เสร็จแยกย้ายไปใช้กรรมของใครของมัน
เราเชื่อนะว่าหลายๆคนอาจมองว่าเราโง่ที่ปฏิเสธเงินมากแต่รับเอาเงินน้อยแต่สำหรับเรามันคุ้มค่ะอย่างน้อยก็ได้ให้บทเรียนอะไรหลายๆอย่าง มุมมองของเราคือเงินเราหาได้แต่พ่อเรามีแค่คนเดียวจะเอาชีวิตเขาไปแลกกับเงินไม่ได้ หากรับเงินมาแล้วจบที่ชั้นตำรวจ คู่กรณีคงดูถูกว่าเราอยากได้เงิน แต่เราสู้เพื่อความถูกต้องและเชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมทั้ง2 ฝ่ายต่อให้ต้องสู้แล้วไม่ได้อะไรหรือต้องชดใช้ให้เขาก็จะสู้ให้รู้กันไปเลยดีกว่ามาคิดได้ทีหลังว่า รู้งี้.......
ประสบการณ์ สู้คดีประมาทร่วม(มีผู้เสียชีวิต) รถยนต์ชนจักรยาน!!
เหตุเกิดช่วงกลางปี 2566 ช่วงเวลา 19.20 น. พ่อเราปั่นจักรยานตัดข้ามทางแยกร่วมในพื่นที่ชุมชนเพื่อกับบ้าน ได้มีรถเก๋งทางตรงขับมาชน "คู่กรณีเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันสามีเป็นทหารมีญาติเป็นอดีตสท.และผู้ใหญ่บ้าน)" และสุดท้ายพ่อเราเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา เมื่อไปติดต่อแจ้งเหตุที่สภ.ร้อยเวรได้เอาภาพวิดีโอหลักฐานจากกล้องหน้ารถว่าพ่อเราปั่นจักรยานตัดหน้ากระทันหัน ซึ่งเมื่อเห็นนั้นเราก็ไม่ได้มีความคิดจะเรียกร้องอะไร แต่กลับคิดว่าคงได้จ่ายค่าซ่อมรถให้ฝั่งนั้นแน่!! ช่วงจัดศพคู่กรณีได้มาร่วมงานคืนแรกซึ่งเค้าทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา แสดงอาการไม่พอใจอย่างชัดเจนสวดเสร็จก็กลับไม่ได้มีการพูดคุยใดๆกับทางเรา หลังจากนั้นวันที่ได้ทำพิธีเผาศพเสร็จสิ้นแล้วกำลังจะเก็บของเตรียมตัวปิดศาลาและกลับบ้านฝั่งคู่กรณีขับรถเข้ามาพร้อมทั้งยื่นซอง ให้ 3,000 บาท ได้บอกกับแม่ของเราว่านี่ซองช่วยทำบุญ จากนั้นก็เดินตรงมายังกลุ่มชาวบ้านที่มีญาติของฝั่งคู่กรณีนั่งอยู่ ซึ่งญาติของคู่กรณีที่เป็นอดีตส.ทได้พูดกับชาวบ้านว่า "เขาจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นเพราะว่าพ่อของเราได้ขี่จักรยานย้อนศร มาตัดหน้าเขาทำให้เขาเดือดร้อนรถเขาเองก็เสียหายจะให้รับผิดชอบอะไร" เมื่อเราได้ยินดังนั้นเรารู้สึกแย่มากรู้สึกเสียใจและรู้สึกโกรธ ซึ่งชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์วันที่ชนได้เข้ามาพูดคุยกับเราว่าอย่าได้กลัวในพื้นที่ของเรานั้นทางแยกทุกแยกมีกล้องวงจรปิดให้ไปขอกล้องวงจรปิดจากเทศบาล และก็ได้มีพี่คนหนึ่งเป็นคนนำเราไปเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดที่เทศบาลและจากหลักฐานในกล้องวงจรปิดที่เทศบาลพบว่า
1.พ่อของเราปั่นจักรยานมาทางตรงเลนเดียวกับรถยนต์ไม่ได้ปั่นย้อนศรอย่างที่เขาพูด
2.พ่อไม่ได้ตัดหน้าระยะกระชั้นชิดเพียงแต่ไม่ชิดขวาไม่ได้ให้สัญญาณว่าจะข้าม
3.คู่กรณีได้เพิ่มความเร็วจากทางโค้งก่อนถึงทางแยกร่วมโดยที่ไม่ชะลอความเร็ว ซึ่งในขณะที่ชนพ่อเราได้ปั่นเข้ามาถึงทางแยกก่อน และได้ชนบริเวณล้อหลังของจักรยานนอกจากจะไม่เบรคขณะที่ชนยังลากไปไกลอีก 10 เมตร หากเป็นสัญชาตญาณของคนขับนั้นเหมือนเป็นการละสายตาจากถนนทำให้มองไม่เห็นคนข้ามถนน
4.ทางที่ชนเป็นทางแยกร่วมในพื้นที่ชุมชน มีตลาด ทางม้าลาย โรงเรียนและธนาคารมีป้ายบอกชัดเจนว่าให้ชะลอความเร็ว
หลังจากที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝั่งจึงได้เรียกฝั่งเราและคู่กรณีไปรับทราบข้อกล่าวหาและทำการตกลงเจรจาค่าเสียหายซึ่งฝั่งคู่กรณีเสนอเงินช่วยเหลือที่ 10,000 บาทพร้อมกับคำพูดท้าทายว่ให้ไปฟ้องศาลเขาพร้อมสู้และได้แสดงท่าทีคุกคามข่มขู่จนมีปากเสียงกันบนโรงพักมันทำให้เราตัดสินใจที่จะสู้บนชั้นศาล
หลังจากวันนั้นเรามีทนายความเพื่อเตรียมที่จะว่าความให้กับฝั่งเรา และก่อนวันที่สารวัตรจะนัดไปพิมพ์ลายนิ้วมือฝั่งคู่กรณีได้ให้ทนายของบริษัทพรบ.เข้ามาพูดคุยเจรจาเสนอเงินช่วยเหลือให้เราเต็มจำนวน 500,000 บาท พร้อมบอกกับเราว่าคดีประมาทร่วมหากไปสู้บนชั้นศาลก็ไม่ได้อะไรดีไม่ดีอาจโดนฟ้องแย้งให้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับฝั่งคู่กรณีด้วยซึ่งเราก็ได้พูดตอบกลับไปว่า "ที่เราสู้เพราะอยากได้ความเป็นธรรมให้กับพ่อไม่ได้จะอยากได้เงิน ในเมื่อลูกความของคุณพร้อมสู้เราก็จัดให้ และหากว่าศาลตัดสินแล้วฝั่งเราผิดจริงก็ยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้กับฝั่งคุณ" วันที่ศาลนัดคุ้มครองสิทธิครั้งแรก ก่อนเข้าห้องทนายฝั่งเขาขอเจรจาจบที่ 550,000 คือประกัน 500,000 บาทบวกกับฝั่งคู่กรณีเพิ่มให้อีก 50,000 บาท เราเลยบอกไปว่าหากคิดว่าฝั่งเราอยากได้เงินงั้นขอจบที่ 800,000 บาทคือฝั่งประกัน 500,000บวกกับคู่กรณีจ่ายอีก 350,000 บาทก็จะยอมจบให้ สุดท้ายคู่กรณีไม่ยอมจ่ายจึงปฏิเสธข้อกล่าวหาและพร้อมต่อสู้คดีและไม่ประสงค์ชดใช้ค่าเสียหาย ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือพรบ.มาเห็นสำนวนที่ศาลว่าเป็นประมาทร่วมพรบ.จึงปฏิเสธการจ่ายเงินทดแทน "ซึ่งเราก็ไม่ซีเรียสค่ะอย่างที่บอกสู้เพื่อความเป็นธรรมส่วนเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรไม่ได้ก็ไม่เอาไม่คิดจะรับตั้งแต่แรก)" จากนั้นเราก็รอวันนัดสืบพยานซึ่งฝั่งเราอัยการเป็นคนนำสืบและให้เราเข้าเป็นโจกท์ร่วม
ล่าสุด วันที่ 6 มีนาคม 2567 ศาลโทรมาให้เราไปไกล่เกลี่ยอีกครั้ง ตอนแรกเราจะไม่ไปแต่ทนายบอกว่าควรไปเพราะศาลท่านอาจตำหนิเราได้ว่าไม่ให้ความร่วมมือ เราเลยยอมสละเวลางานไป ระหว่างรอศาลทนายคู่กรณีได้เข้ามาพูดคุยกับเราว่าวันนี้เขาจะยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ซึ่งหากเราไม่ยอมหรือเรียกมาไปเขาคงไม่มีให้และคงยอมให้ศาลตัดสินจำคุก!!!
ทนายไม่อยากให้เป็นแบบนั้นตอนนี้เขาสำนึกผิดแล้วขอให้เราเห็นได้มั้ยเขามีภาระมีลูกที่ต้องเลี้ยงดูบลาๆๆๆ
ซึ่งเราได้ยินแบบนั้นก็ทำเฉย ไม่แม้แต่จะมอง พอเข้าไปในห้องศาล
ศาลถามเราว่าประสงค์จะให้เขาชดใช้เท่าไหร่และพอจะประนีประนอมยอมกันได้มั้ย เราจึงขอพูดตรงๆกับศาลว่า อันที่จริงแล้วเราไม่ได้อยากได้เงิน แต่ที่มาสู้เพราะความโกรธล้วนๆเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคู่กรณีไม่เคยไปม่เคยเยียวยา ไม่เคยหันมาคุยกับเราดีๆเลยไม่เคยได้ยินแม้แต่คำว่าขอโทษ แต่กลับไปคุยกับชาวบ้านว่าตัวเองไม่ผิดไม่ต้องรับผิดชอบและท้าให้เราฟ้องด้วย ศาลท่านก็ได้จดบันทึกทุกคำที่เราพูด และเรียกคู่กรณีมาคุยกันต่อหน้า ซึ่งเราเห็นหน้าคู่กรณีวันนั้นคือเขาร้องไห้ตลอดเวลาหน้าตาเขาซีดเซียวและผอมมากเราเห็นแบบนั้นก็อดสงสารไม่ได้เขามากัน 2 คนแม่ลูกและศาลสั่งให้เขายกมือไหว้ขอโทษและพูดขอความเห็นใจจากเรา เราได้ฟังคำขอโทษนั้น จึงพูดได้ต่อหน้าศาลว่า ทำไมพึ่งคิดได้ ทำไมพึ่งขอโทษ ทั้งๆที่จริงเราไม่ต้องมานั่งกันตรงจุดๆนี้ถ้าคุณมาคุยกับเราดีๆตั้งแต่แรก ไม่มีเงินเราก็ไม่ได้คิดจะเรียกร้องอะไรเลยแต่สิ่งที่คุณทำคือการซ้ำเต็มความเจ็บปวดของเรา ตลอดมาเราไม่เคยบอกว่าคุณผิดหรือพ่อเราถูกและเราก็ไม่รับคำขอโทษวันนี้ด้วยเพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าคำขอโทษมันมาจากใจคุณจริงๆรึเปล่า สุดท้ายเรายอมใจอ่อนค่ะ เราเรียก 200,000 เขาจ่ายไหวที่ 150,000 บาท แล้วยอมจบให้เสร็จแยกย้ายไปใช้กรรมของใครของมัน
เราเชื่อนะว่าหลายๆคนอาจมองว่าเราโง่ที่ปฏิเสธเงินมากแต่รับเอาเงินน้อยแต่สำหรับเรามันคุ้มค่ะอย่างน้อยก็ได้ให้บทเรียนอะไรหลายๆอย่าง มุมมองของเราคือเงินเราหาได้แต่พ่อเรามีแค่คนเดียวจะเอาชีวิตเขาไปแลกกับเงินไม่ได้ หากรับเงินมาแล้วจบที่ชั้นตำรวจ คู่กรณีคงดูถูกว่าเราอยากได้เงิน แต่เราสู้เพื่อความถูกต้องและเชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมทั้ง2 ฝ่ายต่อให้ต้องสู้แล้วไม่ได้อะไรหรือต้องชดใช้ให้เขาก็จะสู้ให้รู้กันไปเลยดีกว่ามาคิดได้ทีหลังว่า รู้งี้.......