1. แรกเริ่มเดิมทีเคยเป็นพยาบาลอยู่ที่ประเทศไทย จับพลัดจับผลู มาทำงาน Nurse IT ที่บริษัท IT แห่งนึง เป็น Business analyst ช่วงนั้นสนุกมากกก ได้ทำงานที่ชอบ ใน field ที่ชอบ แต่พอทำได้สักพัก (5ปี) มี deal งานจาก เยอรมนี เป็นพยาบาลบ้านพักผู้สูงวัย (ขอไม่เรียกว่าชราละกันนะ ) จึงถามแฟนว่าควรไปไหม ด้วยว่าดีลงานดูเหมือนหลอกเรา เพราะโรงพยาบาลนั้น จัดการทุกอย่างให้ตั้งแต่ เรียนภาษา เอกสาร และ ตั๋วเครื่องบิน (ค่าดำเนินการวีซ่าเราจ่ายเอง

2.พอได้ลองสัมภาษณ์ก็ดูน่าเชื่อถือ และน่าสนใจมาก ด้วยว่าก่อนจะมาทำ IT เราเคยทำเกี่ยวกับ ผู้ป่วย dementia เคยโดนฝึก (ตอนเป็น first Jobber) ให้ไปดูแลในส่วนของ Nursery (เก็บไว้เล่าโพสต์หน้า) ผู้สูงวัย เหมือนโดนให้ใจเย็นลง (เพราะเป็นคนใจร้อนมากกก) จนมีประสบการณ์ เราก็อยากลองทำบ้างและยิ่งเป็นต่างประเทศเราจึงคว้าโอกาสนี้ไว้ อีกอย่าง เราทำไม่ผ่าน Agency จึงไม่เสียค่ามัดจำใดๆ


3. เมื่อเป็นการดีลกันเสร็จจะมีหนังสือสัญญาทำงาน เราก็โอเค เซ็นรับทราบในระหว่างนี้ เขาก็ส่งการเมล์มาเพื่อแจ้งว่าจะมีการเรียนภาษากับสถาบันหนึ่ง


4.ในระหว่างเรียนเขาก็จะขอเอกสารที่จำเป็นต่อการเทียบวุฒิและ การขอวีซ่าให้ผู้ทำงาน ซึ่งแน่นอนว่าประเทศโลกที่สามอย่างไทย ที่ไม่อยู่ในสหภาพยุโรป (และกลุ่มเศรษฐกิจยุโรป) นั้นเทียบได้เพียงครึ่ง (แต่ก็ถือว่าขอได้แต่มีเงื่อนไข)

5.เอกสารนี่หนึ่งในความวุ่นวายมากๆเลยค่ะ ความเยอะแยะของการตรวจสอบเนี่ย (แต่เชื่อเถอะว่า เหนื่อยตอนนี้ เข้าไปแบบไม่ใช่ผีน้อย ไม่โดดวีมันดีกว่าเยอะค่ะ)และเอกสารทุกอันนั้น
*จำเป็นต้องรับรองนิติกรณ์เอกสารจากกงศุล* (ตึกMBKอยู่ตรงข้ามกับที่ทำพาสปอร์ตนั่นละ)
ทุกอย่างที่พูดมาเราดำเนินการเองหมดในไทยนะ แต่นายจ้างเขาก็ดำเนินการให้ในเยอรมนี

6.มาถึงช่วงยากสุดละ การสอบ (ขอเล่าย่อยในโพสต์ถัดไปเพราะมหากาพย์มาก) รักชีวิตอย่าคิดเรียนเยอรมัน ชีวิตเรามีเวลาสั้นเกินกว่าจะเรียนอ่ะ แต่ก็สนุกดี(กัดฟัน) สอบถึงสามรอบ กว่าจะผ่าน เพราะใช้คะแนน 60% ขึ้นไปค่ะ 
ใช่ค่ะ เหมือนกับไปสอบสภาใหม่ ตอนนั้นแบบ กะแค่กระดาษใบเดียวทำไมถึงจะทำไม่ได้ฟะ

7.เมื่อผลสอบผ่านแล้ว ก็แจ้งลาออกจากที่เก่า และดำเนินการเอกสารเพื่อยื่นขอวีซ่าระยะยาวแบบพยาบาล (มีวีซ่านี้โดยเฉพาะเลยนะ) 
ซึ่งกำลังรอผลอยู่ค่ะ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า 2 เดือน(มากสุด) ก็รอดูผลกันต่อไป