คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 31
- ด้านงานภาพ การออกแบบ และโปรดักชั่น
ฉากหลังในเรื่องเป็นทะเลทราย แทบทั้งเรื่อง นี่เป็นความยากที่จะให้หนังมีชีวิตชีวา
แต่ Dune สามารถนำเสนอภาพที่สวยงามของทะเลทรายแต่แฝงด้วยอันตรายในทุกย่างก้าว ออกมาอย่างมีเสน่ห์
การลงทุนไปถ่ายทำในทะเลทรายจริงๆ ทำให้ได้ภาพที่สมจริง ได้อารมณ์
การใช้มุมกล้อง การจัดแสง และการย้อมสีในบางฉากเพื่อช่วยในการเล่าอารมณ์ของเรื่องราว ได้ดี
ขอชมในเรื่องการออกแบบชุดที่สมเหตุสมผล คอสตูมเรื่องนี้ด้วย การออกแบบชุดที่เหมาะสมของแต่ละเผ่า
โดยเฉพาะชุดทะเลยทรายที่ต้องพอดีตัว ดังนั้นแต่ละคนจะมีชุดทะเลทรายของตัวเองทุกคน
ยานแมลงปอ Ornithopter ผมชอบมาก มันเมคเซนต์สำหรับในทะเลทรายที่มีพายุทรายตลอดเวลา
การที่มันสามารถร่อนได้ หุบปีกได้ ทำให้ลดความเสียหายจากพายุทะเลทรายได้ (ในภาคแรกเราเห็นแล้ว)
(แมลงปอทรายสีแดงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้ด้วย นี่อาจจะเป็นแรงบรรดาลใจในการออกแบบหรือเปล่าไม่รู้)
เนื่องจากไปถ่ายทำในทะเลทรายจริงๆ หลายฉากทีมงานก็ไม่ได้ใช้ CGI แต่เลือกที่จะสร้างขึ้นมาจริงๆ
อย่างพวกตัวยาน หาวิธีการทำให้ทรายสะเทือน หรือฉากทรายดูดที่ก็สร้างจากกลไก ไม่ใช่ CGI
ในเรื่องถึงไม่เห็นภาพที่ดูหลอกตา ทำให้หนังดูสมูทมาก
ฉากขี่หนอนทราย ก็ทำออกมาได้สมจริง ยิ่งใหญ่ ทำเอานึกถึงฉาก "โทรุคมัคโต" ใน อวตาร์ ตอนที่พระเอกได้ขี่ โทรุค
แต่ฉากขี่หนอนปู่นั้นสมจริง และยิ่งใหญ่กว่า น่าเสียดายที่น่าจะมีฉาก ชูบทของหนอนปูให้ยิ่งใหญ่หน่อย
- ดนตรีประกอบ
ถือว่างานเสียงเรื่องนี้ สุดยอดมาสเตอร์พลีส ดนตรีอลังการงานสร้างมาก การใช้เสียงประกอบฉากที่มาถูกเวลา
แม้ว่าบางทีจะดูเกร่อไปหน่อย แต่ก็บีบอารมณ์ได้ โดยเฉพาะกับตัวเอกอย่าง พอล อะเทรดีส ที่ต้องอยู่ในความกดดัน
หนังเรื่องนี้ใช้เสียงได้เก่งมาก ส่วนด้านแอคชั่นเสียงเอฟเฟกช่วงระเบิดภูเขา เผาเมือง ก็ตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน
ผมดูโรงที่เป็น Dolby ATMOS เสียงมาครบรอบด้านเลย แนะนำว่าเลือกโรงที่รองรับ ATMOS หรือเป็น IMAX ยิ่งดี
DUNE คงเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ไปตัดหน้า โนแลนด์ ดึง Hans Zimmer มาทำดนตรีให้ เพราะตา ซิมเมอร์เป็นแฟนบอยของ
ดุนตั้งแต่สมัยเป็นนิยาย รวมทั้งเอาเพลง Eclipse ของ Pink Floyd มาใช้ประกอบภาพยนต์ ซึ่งอยู่ในอัลบัมอัมตะ
The Dark Side of the Moon ที่ขึ้นหิ้ง ทำด้านเสียงยิ่งทรงพลัง
- บทภาพยนต์ และการเล่าเรื่อง
Dune แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) แต่งตั้งแต่ปี 1965 (ผมยังไม่เกิดเลย)
นิยายเรื่องนี้มีจิตนาการที่ล้ำสุดๆ นิยายที่เขียนขึ้นเกินครึ่งศตวรรษ (59 ปีที่แล้ว)
ในยุคที่คนเพิ่งรู้จักคอมพิวเตอร์ เรื่องของ Ai ยิ่งเป็นเรื่องที่คนยุคนั้นจิตนาการแทบไม่ได้
เฮอร์เบิร์ต สามารถพาเราข้ามไปหลังยุค AI เข้าควบคุมมนุษย์ และทำให้มนุษย์ต้องตัดขาดจาก AI
มาพึ่งพาการพัฒนา อัพเกร็ดมนุษย์เอง (ซึ่งเป็นแนวคิดที่โคตรแปลก)
การพาเราก้าวข้ามปืนเลเซอร์ที่นิยาย SiFi เรื่องไหนๆ ก็มี แม้แต่สตาร์วอลส์
แต่ดูนทำให้เราต้องกลับมาใช้ดาบธรรมดา ในการต่อสู้กันอีกครั้ง เพราะเมื่ออาวุธพัฒนา
ชุดเกราะ (Holtzman Effect) ก็พัฒนาด้วยเหมือนกัน ดังนั้นปืนเลเซอร์ ลูกกระสุน จึงใช้ไม่ได้
เอาเป็นว่า อ่านครั้งแรกตอนอายุสิบกว่าขวบ อึ้งไปเหมือนกัน แต่เป็นหนังแล้วมันเท่ห์จริงๆ
อีกความยากคือ ด้วยนิยายยุคนั้น มีความสละสลวยด้านภาษา เต็มไปด้วยรายละเอียด สร้างภาพเหนือจิตนาการ
ไม่ต่างจาก Lord Of The Ring ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบบ่อยๆ
นั่นเพราะการใช้ศัพท์แสง ที่มีความประณีตในการเล่าเรื่อง ต้องจินตนาการตามเนื้อเรื่อง
นั่นทำให้การทำออกมาเป็นภาพยนต์ โดยยังเคารพนิยาย นั้น ทำได้ยากจนหลายโปรเจคล้มเลิกทำไม่สำเร็จ
ผู้กับกับอย่าง เดอนี วีลเนิฟว์ สามารถนำเสนอออกมาได้ค่อนข้างใกล้เคียงกับหนังสือ (แม้ว่าจะมีดัดแปลงบ้าง)
เส้นเรื่องนั้นอาจจะไม่ซับซ้อนเท่ากับนิยาย แต่ก็ยังคงรักษาสมดุลของเรื่องราวการเมืองที่ค่อยๆ คลายปมถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เจตจำนง และความต่างด้านวัฒนะธรรมของแต่ละเผ่า
เบเนเจสเซริตผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังโดยอ้างตัวเป็นผู้รักษาสมดุล ผู้กำกับทิ้งประเด็นต่างๆ ในตอนต้น และตามเก็บประเด็นต่างๆ ในตอนจบ
ในตอนท้ายของ Part II ได้เผยปรัชญาว่า บางครั้งสังคมไม่ได้ต้องการผู้นำที่สมบูรณ์แบบ (พ่อของพอล) แต่ต้องการผู้นำที่ เข้าใจและสามารถนำจิตวิญาณของผู้คนได้ เราจะเห็น พอล อะเทรดีส ค่อยๆ อัพเลเวล เติบโต และเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องทำชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทุกครั้ง ก็แฝงด้วยความกลัว ของพอลเอง กลัวที่จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
การได้มาซึ่งพลัง อาจจะต้องแลกมาด้วยความสูญเสียบางอย่าง
สไปรซ์ ที่เป็นต้นเหตุของการแก่งแย่งครอบครองเพื่ออำนาจตน เป็นตัวเร่งให้ พอล เติบโตอย่างรวดเร็ว
เราจะเห็น พอล เหมือนเด็กหนุ่ม ที่ยังไม่รู้จักการเมือง การใช้ชีวิต มองโลกอย่างซื่อตรงในภาคแรก
แต่เมื่อพลังถูกปลุกขึ้น มันยังปลุกความคิดให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในภาค 2
ทั้งการผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ความสูญเสีย การแก้แค้น ที่เร่งให้เค้าต้องพัฒนาตัวเอง
ความรักและความขัดแย้งที่ผสมกัน ทั้ง พอล กับ แม่ (และน้องสาว) เหมือนจะมีเป้าหมายเดียวกัน
แต่สุดท้าย แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง และวิธีการของตัวเอง ที่จะไปถึงจุดหมาย
ซึ่งเราเริ่มเห็นความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งความรัก กับสิ่งที่ต้องทำ เส้นทางที่ต้องเลือก
อาจจะต้องแลกกับความเจ็บปวด ความซับซ้อนมากมายที่อยู่ในนิยาย ถูกถ่ายทอดออกมา
ได้อย่างมีชั้นเชิง เป็นขั้นเป็นตอน ดังนั้น ไม่แปลกที่บางคนจะหลับ 555+
DUNE เป็นหนังที่ดีไหม - ใช่ ดูน เป็นหนังที่ดี คู่ควรที่จะเสียเงินไปดูในโรง แม้ว่าคุณไม่ใช่แฟนนิยาย
แต่แค่งานภาพและเสียงก็คุ้มค่าแล้ว
DUNE ไม่เหมาะกับใคร - ถ้าคุณสนุกกับหนัง ไมเคิล เบย์ ชอบหนังฮีโร่มาร์เวล หรือคาดหวังว่า
จะเป็นการผจลภัยที่สนุกสนามแบบสตาร์วอล คุณอาจจะต้องคิดใหม่ และเตรียมใจก่อนเข้าไปดู DUNE
ดูน ไม่ใช่หนังที่สูงส่งหรือดูยากอะไรขนาดนั้น แต่ความสนุกของมันไม่ได้อยู่ที่ฉากแอคชั่น
บทบู้ล้างผลาน เอฟเฟกอลังการ หรือการปล่อยพลังที่น่าน่าตื่นเต้น แต่มันเป็นหนังที่ต้องทำความเข้าใจระดับนึง
ไม่อย่างนั้นคุณจะเข้าไปหลับคาโรงเปล่าๆ แล้วออกมาบ่นว่าหนังไม่เห็นสนุก
มันก็เหมือนคุณชอบกินส้มตำปูปลาร้า แต่ดันไปเข้าร้านโอมากาเสะ แล้วบอกไม่อร่อยนั่นแหล่ะ
ฉากหลังในเรื่องเป็นทะเลทราย แทบทั้งเรื่อง นี่เป็นความยากที่จะให้หนังมีชีวิตชีวา
แต่ Dune สามารถนำเสนอภาพที่สวยงามของทะเลทรายแต่แฝงด้วยอันตรายในทุกย่างก้าว ออกมาอย่างมีเสน่ห์
การลงทุนไปถ่ายทำในทะเลทรายจริงๆ ทำให้ได้ภาพที่สมจริง ได้อารมณ์
การใช้มุมกล้อง การจัดแสง และการย้อมสีในบางฉากเพื่อช่วยในการเล่าอารมณ์ของเรื่องราว ได้ดี
ขอชมในเรื่องการออกแบบชุดที่สมเหตุสมผล คอสตูมเรื่องนี้ด้วย การออกแบบชุดที่เหมาะสมของแต่ละเผ่า
โดยเฉพาะชุดทะเลยทรายที่ต้องพอดีตัว ดังนั้นแต่ละคนจะมีชุดทะเลทรายของตัวเองทุกคน
ยานแมลงปอ Ornithopter ผมชอบมาก มันเมคเซนต์สำหรับในทะเลทรายที่มีพายุทรายตลอดเวลา
การที่มันสามารถร่อนได้ หุบปีกได้ ทำให้ลดความเสียหายจากพายุทะเลทรายได้ (ในภาคแรกเราเห็นแล้ว)
(แมลงปอทรายสีแดงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้ด้วย นี่อาจจะเป็นแรงบรรดาลใจในการออกแบบหรือเปล่าไม่รู้)
เนื่องจากไปถ่ายทำในทะเลทรายจริงๆ หลายฉากทีมงานก็ไม่ได้ใช้ CGI แต่เลือกที่จะสร้างขึ้นมาจริงๆ
อย่างพวกตัวยาน หาวิธีการทำให้ทรายสะเทือน หรือฉากทรายดูดที่ก็สร้างจากกลไก ไม่ใช่ CGI
ในเรื่องถึงไม่เห็นภาพที่ดูหลอกตา ทำให้หนังดูสมูทมาก
ฉากขี่หนอนทราย ก็ทำออกมาได้สมจริง ยิ่งใหญ่ ทำเอานึกถึงฉาก "โทรุคมัคโต" ใน อวตาร์ ตอนที่พระเอกได้ขี่ โทรุค
แต่ฉากขี่หนอนปู่นั้นสมจริง และยิ่งใหญ่กว่า น่าเสียดายที่น่าจะมีฉาก ชูบทของหนอนปูให้ยิ่งใหญ่หน่อย
- ดนตรีประกอบ
ถือว่างานเสียงเรื่องนี้ สุดยอดมาสเตอร์พลีส ดนตรีอลังการงานสร้างมาก การใช้เสียงประกอบฉากที่มาถูกเวลา
แม้ว่าบางทีจะดูเกร่อไปหน่อย แต่ก็บีบอารมณ์ได้ โดยเฉพาะกับตัวเอกอย่าง พอล อะเทรดีส ที่ต้องอยู่ในความกดดัน
หนังเรื่องนี้ใช้เสียงได้เก่งมาก ส่วนด้านแอคชั่นเสียงเอฟเฟกช่วงระเบิดภูเขา เผาเมือง ก็ตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน
ผมดูโรงที่เป็น Dolby ATMOS เสียงมาครบรอบด้านเลย แนะนำว่าเลือกโรงที่รองรับ ATMOS หรือเป็น IMAX ยิ่งดี
DUNE คงเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ไปตัดหน้า โนแลนด์ ดึง Hans Zimmer มาทำดนตรีให้ เพราะตา ซิมเมอร์เป็นแฟนบอยของ
ดุนตั้งแต่สมัยเป็นนิยาย รวมทั้งเอาเพลง Eclipse ของ Pink Floyd มาใช้ประกอบภาพยนต์ ซึ่งอยู่ในอัลบัมอัมตะ
The Dark Side of the Moon ที่ขึ้นหิ้ง ทำด้านเสียงยิ่งทรงพลัง
- บทภาพยนต์ และการเล่าเรื่อง
Dune แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) แต่งตั้งแต่ปี 1965 (ผมยังไม่เกิดเลย)
นิยายเรื่องนี้มีจิตนาการที่ล้ำสุดๆ นิยายที่เขียนขึ้นเกินครึ่งศตวรรษ (59 ปีที่แล้ว)
ในยุคที่คนเพิ่งรู้จักคอมพิวเตอร์ เรื่องของ Ai ยิ่งเป็นเรื่องที่คนยุคนั้นจิตนาการแทบไม่ได้
เฮอร์เบิร์ต สามารถพาเราข้ามไปหลังยุค AI เข้าควบคุมมนุษย์ และทำให้มนุษย์ต้องตัดขาดจาก AI
มาพึ่งพาการพัฒนา อัพเกร็ดมนุษย์เอง (ซึ่งเป็นแนวคิดที่โคตรแปลก)
การพาเราก้าวข้ามปืนเลเซอร์ที่นิยาย SiFi เรื่องไหนๆ ก็มี แม้แต่สตาร์วอลส์
แต่ดูนทำให้เราต้องกลับมาใช้ดาบธรรมดา ในการต่อสู้กันอีกครั้ง เพราะเมื่ออาวุธพัฒนา
ชุดเกราะ (Holtzman Effect) ก็พัฒนาด้วยเหมือนกัน ดังนั้นปืนเลเซอร์ ลูกกระสุน จึงใช้ไม่ได้
เอาเป็นว่า อ่านครั้งแรกตอนอายุสิบกว่าขวบ อึ้งไปเหมือนกัน แต่เป็นหนังแล้วมันเท่ห์จริงๆ
อีกความยากคือ ด้วยนิยายยุคนั้น มีความสละสลวยด้านภาษา เต็มไปด้วยรายละเอียด สร้างภาพเหนือจิตนาการ
ไม่ต่างจาก Lord Of The Ring ที่ถูกนำไปเปรียบเทียบบ่อยๆ
นั่นเพราะการใช้ศัพท์แสง ที่มีความประณีตในการเล่าเรื่อง ต้องจินตนาการตามเนื้อเรื่อง
นั่นทำให้การทำออกมาเป็นภาพยนต์ โดยยังเคารพนิยาย นั้น ทำได้ยากจนหลายโปรเจคล้มเลิกทำไม่สำเร็จ
ผู้กับกับอย่าง เดอนี วีลเนิฟว์ สามารถนำเสนอออกมาได้ค่อนข้างใกล้เคียงกับหนังสือ (แม้ว่าจะมีดัดแปลงบ้าง)
เส้นเรื่องนั้นอาจจะไม่ซับซ้อนเท่ากับนิยาย แต่ก็ยังคงรักษาสมดุลของเรื่องราวการเมืองที่ค่อยๆ คลายปมถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เจตจำนง และความต่างด้านวัฒนะธรรมของแต่ละเผ่า
เบเนเจสเซริตผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังโดยอ้างตัวเป็นผู้รักษาสมดุล ผู้กำกับทิ้งประเด็นต่างๆ ในตอนต้น และตามเก็บประเด็นต่างๆ ในตอนจบ
ในตอนท้ายของ Part II ได้เผยปรัชญาว่า บางครั้งสังคมไม่ได้ต้องการผู้นำที่สมบูรณ์แบบ (พ่อของพอล) แต่ต้องการผู้นำที่ เข้าใจและสามารถนำจิตวิญาณของผู้คนได้ เราจะเห็น พอล อะเทรดีส ค่อยๆ อัพเลเวล เติบโต และเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องทำชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทุกครั้ง ก็แฝงด้วยความกลัว ของพอลเอง กลัวที่จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
การได้มาซึ่งพลัง อาจจะต้องแลกมาด้วยความสูญเสียบางอย่าง
สไปรซ์ ที่เป็นต้นเหตุของการแก่งแย่งครอบครองเพื่ออำนาจตน เป็นตัวเร่งให้ พอล เติบโตอย่างรวดเร็ว
เราจะเห็น พอล เหมือนเด็กหนุ่ม ที่ยังไม่รู้จักการเมือง การใช้ชีวิต มองโลกอย่างซื่อตรงในภาคแรก
แต่เมื่อพลังถูกปลุกขึ้น มันยังปลุกความคิดให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในภาค 2
ทั้งการผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ความสูญเสีย การแก้แค้น ที่เร่งให้เค้าต้องพัฒนาตัวเอง
ความรักและความขัดแย้งที่ผสมกัน ทั้ง พอล กับ แม่ (และน้องสาว) เหมือนจะมีเป้าหมายเดียวกัน
แต่สุดท้าย แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง และวิธีการของตัวเอง ที่จะไปถึงจุดหมาย
ซึ่งเราเริ่มเห็นความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งความรัก กับสิ่งที่ต้องทำ เส้นทางที่ต้องเลือก
อาจจะต้องแลกกับความเจ็บปวด ความซับซ้อนมากมายที่อยู่ในนิยาย ถูกถ่ายทอดออกมา
ได้อย่างมีชั้นเชิง เป็นขั้นเป็นตอน ดังนั้น ไม่แปลกที่บางคนจะหลับ 555+
DUNE เป็นหนังที่ดีไหม - ใช่ ดูน เป็นหนังที่ดี คู่ควรที่จะเสียเงินไปดูในโรง แม้ว่าคุณไม่ใช่แฟนนิยาย
แต่แค่งานภาพและเสียงก็คุ้มค่าแล้ว
DUNE ไม่เหมาะกับใคร - ถ้าคุณสนุกกับหนัง ไมเคิล เบย์ ชอบหนังฮีโร่มาร์เวล หรือคาดหวังว่า
จะเป็นการผจลภัยที่สนุกสนามแบบสตาร์วอล คุณอาจจะต้องคิดใหม่ และเตรียมใจก่อนเข้าไปดู DUNE
ดูน ไม่ใช่หนังที่สูงส่งหรือดูยากอะไรขนาดนั้น แต่ความสนุกของมันไม่ได้อยู่ที่ฉากแอคชั่น
บทบู้ล้างผลาน เอฟเฟกอลังการ หรือการปล่อยพลังที่น่าน่าตื่นเต้น แต่มันเป็นหนังที่ต้องทำความเข้าใจระดับนึง
ไม่อย่างนั้นคุณจะเข้าไปหลับคาโรงเปล่าๆ แล้วออกมาบ่นว่าหนังไม่เห็นสนุก
มันก็เหมือนคุณชอบกินส้มตำปูปลาร้า แต่ดันไปเข้าร้านโอมากาเสะ แล้วบอกไม่อร่อยนั่นแหล่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
ใครที่ดู Dune : Part Two แล้วรู้สึกยังไงบ้าง รีวิวกันหน่อยครับ
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงการแสดงที่โดดเด่นของ Timothée Chalamet และ Zendaya ที่มีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและการพัฒนาตัวละครที่ลึกซึ้ง โดยรวมแล้ว "Dune: Part Two" ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ไซไฟที่ยิ่งใหญ่และเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของปี 2024 ซึ่งเป็นการต่อยอดจากภาคแรกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และยังคงความตื่นเต้นและความสนุกสนานให้กับแฟนๆ ของซีรีส์นี้
ใครที่ดู Dune : Part Two แล้วรู้สึกยังไงบ้าง
รีวิวกันหน่อยครับ