ญาติที่เคยมีบุญคุณมาขออาศัยอยู่ที่บ้านแบบไม่มีกำหนดการค่ะ พูดยังไงดีคะ

สวัสดีค่ะ นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกหากผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยด้วยนะคะ

 ยาวหน่อยนะคะ อยากให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ของเราให้มากที่สุดค่ะ

ขอเริ่มเกริ่นช่วงบุญคุณก่อนนะคะ คุณแม่เราช่วงอายุ20-40นั้นได้อาศัยอยู่กับคุณป้าของเราค่ะ ซึ่งคุณแม่เราช่วงอายุ20-30ระหว่างที่อยู่กับคุณป้าก็มีหน้าที่เลี้ยงดูลูกชายของคุณป้าที่พึ่งคลอดควบคู่กับพึ่งคลอดเรา(เราเกิดหลังลูกของคุณป้าแค่3เดือนค่ะ) และทำงานบ้านระหว่างที่คุณป้าออกไปทำงาน คุณป้าเป็นคนตามให้คุณแม่ของเรามาดูแลลูกเขาให้นะคะเพราะคุณป้าต้องทำงาน ซึ่งช่วงนั้นคุณแม่ได้รับเงินจากคุณป้าเป็นค่าตอบแทนด้วยก็เลยตกลงมาค่ะ แล้วก็อยู่กับคุณป้าแบบนั้นจนพอคุณแม่เราอายุประมาณ30คุณป้าก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วก็ให้คุณแม่เราไปเป็นลูกจ้างของเขาค่ะ คุณแม่เราก็โอเคเพราะก็ถือว่าได้ทำงานแล้วก็ไม่ต้องเช่าบ้านเพราะคุณป้าให้นอนที่ร้านไปเลยไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ-ไฟแต่ต้องทำงานทุกวันนะคะไม่มีวันหยุด พอทำไปได้สักพักคุณป้าก็รับลูกจ้างเข้ามาเพิ่มค่ะ แต่!!! จ้างมาได้สักพักไม่มีเงินจ่ายค่าแรงลูกจ้างคนอื่นจึงติดแม่เราไว้ก่อนแล้วเอาเงินค่าแรงส่วนของคุณแม่เราไปจ่ายลูกจ้างก่อนตลอด(จ่ายเป็นรายวันนะคะทำให้แม่เราไม่มีรายได้เลย ได้จากคุณพ่อที่เลิกราไปแล้วเพียงนิดๆหน่อยๆเท่านั้น) ช่วงนั้นเรายังอยู่ประถมค่ะ จำได้ว่าคุณแม่บางวันไม่มีเงินให้เราไปโรงเรียนด้วยซ้ำเราต้องหยุดโรงเรียนแทบอาทิตละ2-3วันเลยค่ะ แรกๆที่คุณป้าไม่จ่ายค่าแรงคุณแม่ก็ไม่ได้อะไรค่ะเพราะมองว่าเขาก็ให้นอนที่ร้านแถมกับข้าวก็ไม่ต้องซื้อ แต่จะได้ทานก็ต่อเมื่อคุณป้ากับลูกๆเขาทานเสร็จแล้วนะคะ จริงๆคุณป้าไม่ได้ฟิกว่าต้องทานทีหลังแต่เขาเป็นคนซื้อมาเพราะงั้นเขาก็จะทานกับลูกๆก่อน ส่วนเรากับคุณแม่แล้วก็น้องสาวก็จะทานตอนที่คุณป้าทานกันเสร็จแล้วค่ะ กลับเข้าเรื่องต่อค่ะ พอนานวันเข้าคุณป้าก็เริ่มจ่ายไม่ไหวแล้วให้ลูกจ้างออกจากงานทำให้เหลือคุณแม่เราทำงานในร้านคนเดียวค่ะ คุณป้าไม่ได้ลงมาช่วยทำด้วยนะคะ(คุณป้าเป็นคนใช้เงินเก่งค่ะ ถึงจะทำธุรกิจเป็นของตัวเองแต่ก็ไม่เคยทำบัญชีเลย) รวมถึงติดค่าแรงคุณแม่รวมหลักแสน คุณแม่เราจึงทนไม่ไหวแล้วเก็บของพาเราและน้องไปอยู่ต่างจังหวัดที่บ้านคุณยายค่ะ แต่คุณยายเขาก็รักคุณป้ามากกว่าคุณแม่เพราะเขาเลี้ยงคุณป้าไม่ได้เลี้ยงคุณแม่ค่ะ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมคุณแม่เราให้กลับไปช่วยธุรกิจคุณป้า(ไล่ให้กลับไปเป็นคนใช้คุณป้าทางอ้อมนั่นแหล่ะค่ะ555) บวกกับคุณป้าพยายามโทรมาขอโทษจะไม่ทำแบบนี้อีกแต่ไม่ได้บอกนะคะว่าจะทยอยคืนค่าแรงที่ค้างไว้เหยียบแสน คงจะเพราะทำคนเดียวไม่ไหวนั่นแหล่ะค่ะเพราะตัวคุณป้าเองแทบไม่เคยแตะงานของตัวเองเลย คุณแม่ที่เป็นคนขี้ใจอ่อนมากๆอยู่แล้วก็กลับมาช่วยคุณป้าค่ะ แต่กลับมาก็สถานการณ์เดิมเลยค่ะ หนักกว่าเดิมอีก ไม่มีรายได้ เบียดเงินกันเองต่างคนต่างมีลูก2คนทั้งคู่ ที่บ้านอยู่กัน6คนค่ะ

จุดเปลี่ยนที่1ค่ะ คุณแม่อายุประมาณ35 คุณแม่เราทนไม่ไหวเหมือนเดิมค่ะเลย"ขอ"คุณป้าไปหาทำงานนอกบ้าน (ขอเรียกร้านที่เรากับแม่และน้องใช้อาศัยว่าบ้านนะคะ) แต่หลังเลิกงานก็จะกลับมาทำงานให้คุณป้าด้วยเหมือนเดิมและจะช่วยจ่ายค่าไฟค่ะ แรกๆคุณป้าไม่คุยกับคุณแม่เราเลยค่ะเพราะเรื่องไปหางานทำนอกบ้าน ซึ่งช่วงที่คุณแม่ไปทำงานนอกบ้านเราก็เข้าม.2-3แล้วค่ะ เราก็เริ่มรู้สึกสงสารคุณแม่ที่ไปทำงานนอกบ้านตั้งแต่เช้ายันค่ำกลับบ้านมายังต้องมาทำงานให้คุณป้าอีก คุณป้าที่มีรายได้แค่จากธุรกิจส่วนตัวก็เริ่มไม่มีเงินใช้เพราะการบริหารของคุณป้าค่ะ งานของคุณป้าที่คุณแม่กลับมาทำให้ก็ถือว่าทำฟรีไปแต่คุณแม่ไม่ได้อะไรเพราะคุณแม่ถือว่าอาศัยอยู่กับคุณป้าก็ช่วยเขาไป เวรกรรมจากการที่คุณป้าใช้เงินไม่คิดหน้าหลังจึงเริ่มมาตกที่คุณแม่ของเราที่ไปทำงานนอกบ้านแล้วมีรายได้ที่มั่นคงค่ะ บางวันคุณแม่เราต้องเป็นฝ่ายซื้ออาหารรวมถึงโดนดึงเงินไปจ่ายค่าร้านหรือค่าอะไรต่างๆของธุรกิจคุณป้ารวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวของคุณป้าและลูกๆของคุณป้าด้วยเช่นเงินค่าไปโรงเรียน พอคุณแม่ไปทำงานนอกบ้านได้สักพักคุณแม่ก็เริ่มมีเงินมากพอที่จะซื้อมอไซสักคันค่ะ(คุณแม่เดินเท้าไปทำงานทุกวันนะคะก่อนหน้านี้) ซึ่งพอเวลาคุณแม่เราซื้อของอะไรแต่ละครั้งไม่ว่าจะซื้อโทรศัพให้เรากับน้องหรือพาเราไปเที่ยวห้างที่นานๆครั้งจะมีโอกาสได้ไปหรือซื้อมอไซไว้ขี่ไปทำงาน คุณป้าก็จะเคืองและไม่คุยด้วยตลอด เป็นแบบนี้วนไปจนคุณแม่เราอายุจะเข้า40ค่ะ

!!จุดเปลี่ยนใหญ่ค่ะ!! พอคุณแม่อายุเข้า40คุณแม่ก็ได้ขึ้นเป็นผู้จัดการของร้านที่คุณแม่ไปทำค่ะ สถานการณ์ของธุรกิจคุณป้าก็ยังเป็นเหมือนเดิมค่ะ ไม่มีจะกินยังไงก็ยังอยู่นั้น ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น ไม่มีหรือไม่พอก็ค่อยขอยืมคุณแม่ ซึ่งคุณแม่เราก็ไม่เคยทวงค่ะเพราะถือว่าก่อนหน้านี้ที่จะออกไปทำงานข้างนอกเขาก็ซื้อให้กินอยู่ตลอด(ถึงจะเป็นอาหารที่เขาอิ่มกันแล้วก็เถอะค่ะ555 แต่ไม่ได้เหลือแค่เศษจนน่าเกลียดนะคะเพราะเขาก็ซื้อมาเผื่อเรากับแม่ด้วย) เราตอนนั้นก็กำลังจะเข้ามหาลัยพอดีก็ได้คุยกับคุณแม่ค่ะว่าตัวเราไม่โอเคเลยค่ะที่ต้องมาเห็นคุณแม่ไปทำงานตั้งแม่มืดกลับก็มืดยังต้องมาทำงานหลังขดหลังแข็งให้คุณป้าอีก ส่วนคุณป้าที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในขั้นวิกฤตแล้วแต่ก็ไม่ทำอะไรสักอย่างเพราะไม่อยากไปเป็นลูกจ้างคนอื่น หยิ่งนั่นแหล่ะค่ะ เราเลยบอกให้คุณแม่ซื้อบ้านค่ะแล้วเรา3คนแม่ลูกก็ออกไปอยู่บ้านของพวกเราเอง ถ้าเรามีบ้านของตัวเองแล้วคุณแม่ที่เลิกงานแล้วก็จะได้กลับมาพักผ่อนเต็มแล้วได้ใช้ชีวิตของตัวเองสักที ไม่ต้องมาอยู่เป็นคนคอยพยุงหรือแรงงานของคุณป้าอีก เราเกลี้ยกล่อมคุณแม่ค่อนข้างนานเลยแต่สุดท้ายคุณแม่ก็ซื้อบ้านค่ะ แต่คุณแม่ก็ยังไม่บอกคุณป้านะคะว่าซื้อบ้านเพราะแค่ซื้อมอไซยังไม่คุยด้วยเป็นอาทิตย์ เราก็ย้ายออกทันทีที่เอกสารเสร็จแบบไม่บอกคุณป้าเลย เราคนเดียวนะคะคุณแม่กับน้องสาวยังไม่ตามมาเพราะเรารู้สึกทนมองคุณป้าไม่ไหวค่ะ ในสายตาเรารู้สึกคุณป้าเป็นเหมือนคนที่คอยกัดกินแม่เราตลอดเวลาค่ะ สักพักคุณแม่กับน้องสาวเราก็ย้ายตามเข้ามาค่ะ ไม่ได้ชวนคุณป้ามาอยู่ด้วยกันนะคะเพราะที่ย้ายออกมาก็เพื่อออกจากชีวิตคุณป้าค่ะ สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดเราและคุณแม่อยู่และทำงานกับคุณป้ามาประมาณ18ปีค่ะ

เข้าหัวข้อของเราค่ะ เราก็อยู่กับคุณแม่และน้องสาวที่บ้านใหม่ได้ประมาณ1ปีก็เข้าช่วงโควิดระบาดหนักค่ะ ทำให้ธุรกิจของคุณป้าเจ๊งเละเทะไม่มีเงินจ่าย เจ้าของตึกที่คุณป้าเช่าทำธุรกิจอยู่ก็พยายามขอให้คุณป้าออกหลายเดือนมากๆจนแทบจะกราบอ้อนวอนคุณป้าเลยค่ะ คุณป้าและลูกอีก2คนของเขาจึงออกจากร้านมาแล้วมาขออาศัยกับคุณแม่ชั่วคราวจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้ค่ะ ช่วงนั้นเราทะเลาะกับคุณแม่หนักเลยค่ะเพราะเราไม่ต้องการให้คุณป้ามาอยู่ด้วย เราพยายามเกลี้ยกล่อมคุณแม่แทบตายให้ออกมาจากวงจรเงาชีวิตคุณป้า แต่คุณแม่ก็บอกมาแนวว่าทำไงได้เพราะเมื่อก่อนก็เคยอาศัยอยู่กับเขามาก่อน แต่ตัวเรามองว่าถึงจะเคยอยู่ด้วยมาก่อนแต่มันเป็นชีวิตที่อุทิศให้กับคุณป้าเป็นสิบๆปีค่าแรงที่ติดเป็นแสนๆเขาก็ไม่เคยเอ่ยปากถึง งานก็ต้องกลับมาทำให้ทั้งที่ตัวคุณแม่เหนื่อสายตัวแทบขาดอยู่แล้ว มีอะไรเป็นของตัวเองก็ไม่ได้ มีครั้งนึงที่คุณแม่อยากได้แอร์เพิ่มที่บ้านใหม่แต่คุณแม่ต้องการคนค้ำให้ค่ะ ตัวคุณแม่สามารถจ่ายได้สบายๆอยู่แล้วจึงไปขอคุณป้าค้ำให้ คุณป้าก็รู้ดีนะคะว่าคุณแม่ไม่มีทางปล่อยให้เดือดร้อนมาถึงคุณป้าแน่นอนแต่ก็ไม่ค้ำให้ค่ะเพราะไม่อยากให้คุณแม่มีอะไรไปมากกว่านี้ สุดท้ายคุณแม่เลยต้องจ่ายตู้มเดียว สรุปคุณแม่ก็ปล่อยให้คุณป้ามาอยู่ด้วยค่ะ พอคุณป้ามาอยู่วันแรกก็ทำประตูบ้านเราพังเลยค่ะเพราะขนของเข้าบ้านแต่ก็ตีหน้ามึนว่าไม่รู้เรื่อง เราเองก็พยายามทำตัวไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อคุณป้าเพราะคุณป้าบอกคุณแม่ว่าอยู่แค่จนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้ บ้านเราเป็นบ้านเล็กๆค่ะ 2นอน2น้ำ คุณป้าและก็ลูกๆเขาจึงต้องนอนข้างล่าง ข้าวของชั้นล่างของเรากับคุณแม่ต้องถูกย้ายขึ้นด้านบนหมดเพราะถือว่าคุณป้าอยู่ชั้นล่าง กลายเป็นว่าชั้นล่างมีแค่ทีวีกับชั้นหนังสือที่เป็นของเรากับคุณแม่ค่ะ แล้วของของคุณป้าก็เยอะมากๆ ถอดเสื้อผ้ากันเรี่ยราด บ้านรกมากต่างจากตอนที่เรามาอยู่กับคุณแม่คือจะเป็นบ้านโล่งๆปรอดโปร่ง ตอนนี้เหมือนกลายเป็นโกดังเก็บของไปแล้ว จานที่ใช้เสร็จแล้วก็ไม่วางแยกปนกันมั่วไม่รู้ของใครเป็นของใคร บางทีลูกชายคุณป้าใช้หม้อเสร็จแล้วก็ไม่ล้างทิ้งไว้จนหนอนขึ้น เราไม่กล้าให้เพื่อนหรือแฟนมาบ้านเลยค่ะเพราะสภาพชั้นล่างหน้าอายจริงๆ ลูกของคุณป้าเป็นผู้ชายทั้งคู่ ดึกๆก็มักจะเสียงดังททำให้คุณแม่เรามักจะโดนข้างบ้านต่อว่าบ่อยๆ พอคุณแม่มาบอกคุณป้าว่าโดนข้างบ้านว่ามา คุณป้าก็จะหาว่าคุณแม่สนใจคนข้างบ้านมากกว่าคุณป้า แรกๆเราก็ได้ยินเรื่องหาที่อยู่ใหม่ แต่คุณป้าที่มาอยู่บ้านเราก็ไม่ได้ออกไปหางานทำค่ะแค่ให้ลูกค้าเก่าจากธุรกิจคุณป้าตามมา ใช้บ้านเราเป็นที่ทำร้านค่ะ(แล้วใครเขาจะถ่อตามมาก่อน) แล้วก็คอยแอบหรอยของกินของเรากับคุณแม่เราในห้องครัวตลอด แม่เราซื้ออาหารเผื่อแค่มื้อเย็นนะคะเพราะคุณแม่ไปทำงานทั้งวัน น้องเราก็ไปเรียน เราเองก็ไปทำงานบ้างเรียนบ้างเลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงค่ะ พอคุณป้ามาอยู่ด้วยได้สักครึ่งปีการเงินของคุณแม่เราก็เริ่มแย่ลงค่ะเพราะต้องซื้อของเผื่อปากท้อง6ชีวิตไหนจะของที่ซื้อมาให้เรากับน้องไว้ทานช่วงวันหยุดเรากับน้องก็แทบไม่ได้ทานเลยค่ะเพราะคุณป้าจะเอาไปทานก่อนแล้วบอกว่าเดี๋ยวซื้อคืนแต่ก็ไม่เคยซื้อคืนแถมคุณป้าก็คอยขอยืมเงินเล็กยืมน้อยตลอด คุณป้าก็เข้าลูปเดิมค่ะไม่มีเงินจะใช้แต่ก็ไม่ทำอะไรสักอย่างสักทีจนคุณแม่เราทนไม่ไหวให้คุณป้าไปหางานทำ คุณป้าก็ได้งานทำค่ะ เป็นงานที่ได้เงินเฉียดกับคุณแม่เราเลยค่ะ คุณป้าก็ช่วยจ่ายค่าน้ำกับค่าไฟ แต่คุณป้าจะไม่จ่ายเกินไปกว่าที่คุณป้ากำหนดไว้ พูดเองเออค่ะว่าจะจ่ายแค่นี้ ถ้าค่าไฟเกินกว่านั้นคุณแม่เราจะต้องจ่ายส่วนที่เหลือเอง ซึ่งพอคุณป้ามาอยู่ด้วยค่าไฟกับค่าน้ำก็พุ่งปรี้ดเลยค่ะ เราเลยไม่ได้มองว่าการที่คุณป้าจ่ายค่าน้ำค่าไฟเป็นการช่วยค่ะ แต่คุณป้ามองว่านี่เป็นการช่วยมากๆถ้าไม่มีคุณป้าเรากับคุณแม่ต้องแย่แน่ๆเลย= =

พอคุณป้าได้ทำงานได้ที่เงินเดือนเฉียดเท่าคุณแม่เราแล้วเราก็พลอยดีใจค่ะ คิดว่าเดี๋ยวคุณป้าก็คงจะเก็บเงินสักก้อนแล้วออกไปอยู่ที่อื่น แต่ไม่เลยค่ะ คุณป้าที่เงินเดือนเท่าคุณแม่เรากลับเงินไม่พอใช้ทั้งๆที่ไม่ต้องจ่ายค่าบ้านแถมจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่เป็นเหมือนเศษเงิน ก็ยังยืมเงินคุณแม่ต้นเดือนคืนท้ายเดือนอยู่แบบนี้ทุกๆเดือน ของในบ้านที่ทำชำรุดแล้วบอกจะจ่ายค่าซ่อมก็ไม่เคยพูดถึง เราทนไม่ไหวมากๆจึงทำเมินไม่มองไม่พูดด้วย คุณป้าก็ไลน์มาต่อว่าคุณแม่เราค่ะว่าเรากับคุณแม่อยู่กับเขามาตั้งกี่ปีไม่ได้อยากจะทวงบุญคุณหรอกนะ จนนี่ก็จะเข้าปีที่3แล้วค่ะที่คุณป้าอยู่ที่บ้านคุณแม่เรา ไม่พูดถึงเรื่องจะออกไปอยู่ข้างนอก ยืมเงินพอถึงเวลาคืนก็จะคืนแค่ครึ่งเดียวแล้วก็บอกคุณแม่เราว่าถือเป็นส่วนต่างค่าไฟที่คุณแม่ต้องจ่ายเพราะงั้นเขาเลยคืนแค่ครึ่งเดียว สรุปไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ มาอยู่ก็ไม่เคยช่วยอะไรสักอย่างมีแต่คุณแม่เราที่จะต้องยื่นมือไปช่วยตลอด พอช่วยก็โดนเอาเปรียบกลับแบบนี้ตลอด เรามองว่าบุญคุณที่คุณป้าคอยทวงมันแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยค่ะเพราะคุณป้าสมัยก่อนก็ค้างค่าแรงคุณแม่เราเยอะมากๆ งานก็ทำให้ฟรี ค่าไฟก็ช่วยจ่ายแบบไม่ตั้งเงื่อนไขเหมือนที่คุณป้าตั้งแบบนี้ ไหนจะเรื่องยิบย่อยอีกร้อยแปดพันเก้า เราขอให้คุณแม่คุยกับคุณป้าเรื่องย้ายออกได้แล้ว ลูกชายคุณป้าก็อายุเท่ากับเราที่ปีนี้กำลังจะเรียนจบ ดูแลตัวเองได้แถมน่าจะพอช่วยคุณป้าได้ด้วย คุณแม่เราที่เงินเดือนพอๆกับคุณป้ายังสามารถซื้อบ้านได้เป็นหลังแถมก่อนหน้านี้ก็จ่ายทุกอย่างคนเดียวยังทำได้โดยไม่ขอความเหลือจากใคร คุณป้าก็น่าจะต้องทำได้เหมือนกันต่อให้ไม่ใช่บ้าน ไปอยู่ห้องเช่าก็ได้ แต่คุณป้าก็ไม่เคยเอ่ยถึงเลยค่ะ

เราอยากได้วิธีพูด/คุยหรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้คุณป้าออกจากบ้านเรา ให้คุณป้าไปมีชีวิตเป็นของตัวเองค่ะ เรากลัวว่าถ้าพูดไปมันจะเป็นแบบเดิมค่ะคือรับปากว่าจะหาที่อยู่ใหม่แต่สุดท้ายก็ปล่อยเบลอเหมือนตอนนี้ เลยอยากได้วิธีที่ชัวร์และเด็ดขาดค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่