เป็นครั้งแรกที่ดิฉันรู้สึกถึงการไม่มีใครสักคนให้ปรึกษา เหมือนคนตาบอด สมองฝ่อ ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้อง ICU ที่ญาติก็เข้ามาไม่ได้ ใช้มือถือก็ไม่ได้ มีเพียงพยาบาลและหมอเข้ามาตรวจไข้ สมองคิดวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆซ้ำ เรื่องมีอยู่ว่า
ปัจจุบัน ดิฉันอายุ 42 ปีส่วนอดีตสามีอายุ 55 ปี (ขอใช้ชื่อย่อว่า ว. แทนคำว่าอดีตสามีนะคะ) เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่ปี 2551 ขณะที่เราเป็นแฟนกันพี่ ว.เล่าให้ดิฉันฟังถึงอดีตการแต่งงานที่ผ่านมา 2 ครั้ง และการเป็นพ่อหม้ายลูกติด 2 คน แต่ได้หย่าขาด และต่างคนต่างทำหน้าที่พ่อและแม่ของลูกเท่านั้น ซึ่งดิฉันยอมรับได้ และคบกันเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้หญิงโทรมาเข้ามือถือดิฉัน แล้วบอกดิฉันว่า ขอให้ดิฉันเลิกกับพี่ว. เพราะพี่ว. คือสามีขอผู้หญิงที่โทรมา ดิฉันตกใจมากไม่คิดว่า พี่ว. จะมีเมียอยู่แล้วดิฉันจึงบอกเลิกกับพี่ว. แต่พี่ว. กลับไปเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วมาขอคบกับดิฉันอย่างจริงจัง ซึ่งพี่ว.จะให้เหตุผลต่างๆนานาที่เลิกกับผู้หญิงคนนั้น พูดจนทำให้ดิฉันหลงเชื่อและยอมให้อภัยและกลับมาคบกันอีกครั้ง หลังจากนั้นพี่ว.ก็ยังเคยแอบแชทคุยกับผู้หญิงอีก1คน (เท่าที่จับได้) พอดิฉันจับได้พี่ว.ก็ขอโทษและบอกว่าแค่คุยแชทเฉยๆยังไม่เคยเจอเพราะผู้หญิงคนนั้นอยู่เชียงใหม่ และผู้หญิงคนนั้นมาขอให้พี่ว.ซื้อนาฬิกาให้ พี่ว.ไม่อยากเสียเงินจึงเลิก คุยดิฉันก็ใจอ่อน ยอมรับว่าดิฉันรักพี่ว. มาก พี่ว.ไม่ใช่แฟนคนแรกของดิฉัน แต่พี่ว.มีลักษณะที่เป็นผู้ใหญ่กว่าดิฉันมาก ทั้งการพูดจา การวาง ท่าทางคำพูด ดูเป็นผู้ใหญ่ มันทำให้ฉันนับถือและเคารพ ยิ่งนานวันยิ่งคบกัน ดิฉันรู้สึกว่า ดิฉันสามารถฝากชีวิตไว้กับพี่ว.ได้
ซึ่งการคบกันของดิฉันและพี่ว. ครอบครัวของดิฉัน ญาติพี่น้องของดิฉันทุกคนไม่เห็นด้วย ไม่มีใครสนับสนุน เพราะมองว่าพี่ว. เป็นพ่อหม้ายลูกติดและมีประวัติการหย่า และที่สำคัญระหว่างคบกันกับดิฉันพี่ว. มีเมียอยู่แล้ว และพี่ว.ยังแอบมีคุยกับผู้หญิงคนอื่น ซึ่งพ่อและแม่ของดิฉันไม่สนับสนุนเลย แต่ด้วยความที่ดิฉันดื้อและคิดว่าตัวเองรู้จักพี่ว.ดี คิดว่าพี่ว.รักดิฉันมากจนน่าจะหยุดอยู่ที่ดิฉันเป็นคนสุดท้าย ดิฉันจึงไม่สนใจคำทัดทานของพ่อแม่และญาติพี่น้องเลย มันทำให้ดิฉันห่างเหินจากครอบครัวตัวเอง ดิฉันไม่ติดต่อพ่อแม่ไม่กลับไปหาพ่อแม่เป็นเวลาเกือบ 3 ปี เพียงเพราะต้องการอยู่กับพี่ว.
จนกระทั่งพ่อแม่มองว่าคงห้ามดิฉันไม่ได้ จึงยอมให้ดิฉันและพี่ว.แต่งงานกัน การแต่งงานของเราถูกวางกรอบจากพ่อและแม่ ซึ่งพ่อและแม่มีเงื่อนไขในการแต่งงานพอสมควร ส่วนหนึ่งพ่อและแม่ต้องการพิสูจน์ตัวพี่ว.ว่าเขาจะรักและดูแลลูกสาวคนเดียวของเขาได้มากน้อยแค่ไหนแต่สำหรับพี่ว.แล้ว พี่ว.มองว่าพ่อและแม่ของดิฉันเรื่องมาก ดิฉันเริ่มเครียดเพราะไม่อยากจะทำให้พ่อแม่เสียใจอีก แต่ก็ไม่อยากทำให้พี่ว.ไม่สบายใจดิฉันจึงทำหน้าที่เหมือนเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยรับฟังปัญหาของทั้งสองฝ่ายมาตลอด
จนกระทั่งงานแต่งงานผ่านไปญาติผู้ใหญ่ของฝั่งดิฉันมาพร้อมหน้ากันพร้อมตา ส่วนญาติผู้ใหญ่ของพี่ว.มีเพียงลุง อี้ น้าและหลานๆเท่านั้น ส่วนพ่อของพี่ว. พี่ว.ไม่พามาเพราะอายที่พ่อดูไม่สง่า ส่วนแม่พี่ว. ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นหลายปี หลังแต่งงานดิฉันได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของพี่ว. ตั้งแต่นั้นมา ในบ้านจะมีพ่อของพี่ว. ที่ป่วยติดเตียง เดินไม่ได้ ช่วงแรกที่พ่อป่วย พี่ว. จะอุ้มพ่อไปอาบน้ำทุกอาทิตย์ แต่ระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา พี่ว.ไม่ได้อุ้มพ่อไปอาบน้ำแล้ว จนพ่อต้องไถก้นไปอาบน้ำเอง พ่อจะอุจาระโดยใช้ถุงพลาสติกรองก้น อึใส่ถุง และฉี่ใส่กระบอกน้ำ ซึ่งกลิ่นจะเต็มบ้าน ความสะอาดไม่ต้องพูดถึง แม้ดิฉันจะกวาด ถู เก็บทำความสะอาดให้ทุกวันก็ตาม พ่อมีโรคประจำตัวเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ ความดัน แต่พี่ว.ไม่เคยพาพ่อไปหาหมอเลยเป็นเวลาหลายปี พี่ว.ทำเพียงไปซื้อยาเดิมที่เคยได้จากรพ.จากร้านขายยา และมาจัดยาให้พ่อทานทุกเช้าเย็นเท่านั้น ส่วนพี่สาวของพี่ว.จะป่วยปัญญาอ่อน ต้องรับยาจิตเวชตลอดชีวิต ซึงพี่ว.มักจะมีเหตุผลว่า พ่อดื้อเอง บอกไม่ฟัง ก็ต้องปล่อย
หลังจากแต่งงานชีวิตดิฉันเริ่มเปลี่ยนไป พี่ว.เริ่มเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น ไม่ฟังเหตุผล มักเริ่มใช้คำพูดกู หรือเปรียบเทียบดิฉันเป็นหมา หรือด่าดิฉันด้วยคำหยาบคายมากขึ้น พี่ว.เคยโมโหโกรธจนลืมตัวขว้างโทรศัพท์มือถือดิฉันจนพังและเคยมีครั้งนึงลืมตัวเตะดิฉัน ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ว.ไม่เคยเป็น การดูแลเอาใจใส่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตอนที่ดิฉันป่วยไข้สูง ลุกไม่ไหว พี่ว.ก็พูดบังคับให้ดิฉันต้องไปเก็บขี้หมา หรือตอนที่ดิฉันผ่าตัดเย็บแผลที่ฝ่าเท้าขวา ต้องไปล้างแผลที่รพ.ทุกวัน ดิฉันเหยียบคันเร่งไม่ได้ จึงขอให้พี่ว.ขับรถพาไป แต่พี่ว.บอกดิฉันว่า "ไม่ว่าง ล้างรถอยู่" ดิฉันเสียใจมาก และทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พี่ว.จะพูดว่า "กูใช้เงินซื้อมา กูจะทำอะไรกับก็ได้" ดิฉันเสียใจ เจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังแต่งงานแต่ด้วยความที่ดิฉันยังคิดว่าดิฉันรักพี่ว.มาก มันคงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่อยากแต่งงานหลายๆครั้งหรืออยากมีผัวหลายคนดิฉันจึงอดทนทุกอย่าง
และทุกครั้งที่พี่ว. โมโห หรือเราทะเลาะกันมันจะจบลงด้วยที่ต่างคนต่างเงียบ ต่างคนต่างแยกย้ายไม่ด่าทอกัน ไม่ขึ้นเสียงใส่กัน ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นวิธีที่สงบสติอารมณ์ของคู่สามีภรรยาดีที่สุดไว้อารมณ์เย็นพร้อมที่จะคุยค่อยมาคุยกันใหม่ แต่สำหรับพี่ว. ไม่ใช่ ในระหว่างที่เราทะเลาะกันหรือเราไม่คุยกัน พี่ว.มีแอบไปหาผู้หญิงคนอื่นคุยแทนดิฉัน จนกระทั่งวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 67 ที่ผ่านมา พี่ว.บอกดิฉันว่า ให้ดิฉันเก็บของออกจากบ้านเขา ให้ดิฉันไปอยู่ที่อื่น เขาไม่เอาดิฉันแล้วและให้ดิฉันเขียนสัญญาว่ายินยอมจะไม่เป็นสามีภรรยากับพี่ว.อีกนับตั้งแต่วันนี้
ดิฉันต้องเขียนเพราะถูกบังคับ เพราะพี่ว. บอกว่าถ้าดิฉันไม่ย้ายออก ดิฉันยังดันทุรังอยู่บ้านเขาต่อ เขาจะออกไปอยู่ข้างนอกและเขาจะทำทุกวิถีทางที่ทำให้ดิฉันอยู่บ้านเขาไม่ได้ ดิฉันกลัวเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยแก้แค้นดิฉันด้วยการดึงสายไฟมิเตอร์แอร์ออก เพื่อไม่ให้ดิฉันเปิดแอร์นอน เพื่อที่จะทำให้ดิฉันอยู่บ้านเขาไม่ได้ พี่ว.เคยเปลี่ยนกุญแจห้อง แล้วทำให้ดิฉันเข้าห้องนอนไม่ได้ ดิฉันจึงงัดกุญแจ พอพี่ว. เห็นพี่ว.ก็แก้แค้นคืน โดยการเอาตะปูที่ดิฉันงัดออกมาไปไว้ที่ยางล้อรถ เพื่อให้ดิฉันถอยรถและโดนตะปู
วันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาทุกคู่คงมีความสุข แต่ยกเว้นคู่ดิฉัน ดิฉันถูกบอกเลิกและถูกไล่ออกจากบ้านในวันนั้น โดยที่ 16 ปีที่ผ่านมาพี่ว.ไม่เหลือแม้แต่ความผูกพันให้ดิฉันเลย ในวันที่ 14 เป็นเวลากระทันหันไม่สามารถที่จะออกมาหาที่อยู่ได้ ดิฉันจึงขอนอนที่บ้านเขา และในระหว่างที่ยังหาที่พักไม่ได้ในวันที่ 15 ดิฉันก็ยังขอเข้าไปนอนอยู่ ซึ่งพี่ว.บอกว่าให้รีบออกไป อนุญาตให้นอนได้อีกแค่คืนเดียวเท่านั้นและในคืนวันที่ 15 พี่ว.เอาโทรศัพท์ไปคุยนอกห้อง คุยเป็นชั่วโมง ดิฉันได้ยินเสียงพี่ว.คุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่คงต้องเป็นคนสำคัญ เพราะปกติพี่ว.จะไม่รับสายคนอื่นในเวลากลางคืน ยกเว้นลูกสาว 2 คนของเขาเท่านั้น ซึ่งปลายสายไม่ใช่เสียงลูกสาวมันต้องเป็นผู้หญิงคนสำคัญ
ดิฉันต้องเริ่มหาที่อยู่ใหม่และนำข้าวของติดตัวออกมาจากบ้านพี่ว. ได้ไม่มาก ในระหว่างนี้ดิฉันมีการขออนุญาตพี่ว.เข้าไปเก็บของในบางครั้งซึ่งยอมรับว่าทุกครั้งที่เข้าไปบ้านเขา ดิฉันยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่า ความเป็นสามีภรรยาตลอด 16 ปีที่ผ่านมามันน่าจะเหลือเยื่อใยกันบ้าง แต่ปรากฏว่าพี่ว.บอกดิฉันว่าเขามีแฟนใหม่แล้วที่คุยและคบแบบจริงจังมาแล้ว 7 วัน ดิฉันอึ้งกับคำพูดนี้ เลิกการแค่วันเดียวอีกวันพี่ว. มีแฟนแล้ว นั่นหมายความว่าพี่ว.ได้มีคนคุยก่อนหน้าที่เขาจะไล่ดิฉันออกจากบ้านเป็นแบบนั้นไหมคะ ตลอดเวลา 16 ปีสิ่งที่ดิฉันทำให้พี่ว. สิ่งที่ดิฉันเสียสละและทำให้เพื่อแลกกับการที่มีเขาอยู่ข้างๆมันไม่มีความหมายสำหรับพี่ว. เลยเมื่อพี่ว.เจอคนใหม่อาจจะสวยกว่า รวยกว่า ดีกว่า ทิ้งคนที่อยู่กับที่ว.มา 10 กว่าปีได้แบบไม่เหลือเยื่อใย ดิฉันคิดแต่หาวิธีตาย จึงตัดสินใจหาเชือกจะไปผู้คอตายที่บ้านพี่ว. ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ดิฉันจะขอรักและอยู่กับพี่ว.คนเดียว แต่ในวันนั้นมีสายคุณยายโทรเข้ามา จึงทำให้ดิฉันไม่ได้ผูกคอตาย
แล้วชีวิตดิฉันหลังจากนี้ ดิฉันต้องกลายเป็นแม่หม้ายผัวทิ้ง ผู้หญิงที่เป็นหม้ายน้อยคนนักที่จะพบรักแท้ใหม่และแต่งงานอีกครั้ง แต่สำหรับผู้ชายอย่างพี่ว. เขาอาจจะแต่งงานครั้งที่ 4 5 6 7 ได้เรื่อยๆ แต่เขาจะรู้บ้างไหมว่าเขาทำให้ชีวิตของผู้หญิงคนนึงต้องพังลง ดิฉันสับสน มีคำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครที่ดิฉันจะสามารถไปขอคำปรึกษา ไปพูดไปเล่าหรือระบายได้เลยครอบครัวก็ไม่รับฟังเขามองว่าดิฉันดื้อเองที่แต่งงานกับพี่ว. เพื่อนร่วมงานก็คุยไม่ได้เพราะอาย ดิฉันจึงตัดสินใจขอคุยกับคนใน pantip อย่างน้อยขอพื้นที่เล็กๆให้ดิฉันได้รู้สึกว่าดิฉันยังอยากหายใจอยู่
เราไม่ดีพอ หรือเขาที่ไม่เคยเปลี่ยน ความรักจบลงในวันวาเลนไทน์ ปีที่ 16
ปัจจุบัน ดิฉันอายุ 42 ปีส่วนอดีตสามีอายุ 55 ปี (ขอใช้ชื่อย่อว่า ว. แทนคำว่าอดีตสามีนะคะ) เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่ปี 2551 ขณะที่เราเป็นแฟนกันพี่ ว.เล่าให้ดิฉันฟังถึงอดีตการแต่งงานที่ผ่านมา 2 ครั้ง และการเป็นพ่อหม้ายลูกติด 2 คน แต่ได้หย่าขาด และต่างคนต่างทำหน้าที่พ่อและแม่ของลูกเท่านั้น ซึ่งดิฉันยอมรับได้ และคบกันเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้หญิงโทรมาเข้ามือถือดิฉัน แล้วบอกดิฉันว่า ขอให้ดิฉันเลิกกับพี่ว. เพราะพี่ว. คือสามีขอผู้หญิงที่โทรมา ดิฉันตกใจมากไม่คิดว่า พี่ว. จะมีเมียอยู่แล้วดิฉันจึงบอกเลิกกับพี่ว. แต่พี่ว. กลับไปเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วมาขอคบกับดิฉันอย่างจริงจัง ซึ่งพี่ว.จะให้เหตุผลต่างๆนานาที่เลิกกับผู้หญิงคนนั้น พูดจนทำให้ดิฉันหลงเชื่อและยอมให้อภัยและกลับมาคบกันอีกครั้ง หลังจากนั้นพี่ว.ก็ยังเคยแอบแชทคุยกับผู้หญิงอีก1คน (เท่าที่จับได้) พอดิฉันจับได้พี่ว.ก็ขอโทษและบอกว่าแค่คุยแชทเฉยๆยังไม่เคยเจอเพราะผู้หญิงคนนั้นอยู่เชียงใหม่ และผู้หญิงคนนั้นมาขอให้พี่ว.ซื้อนาฬิกาให้ พี่ว.ไม่อยากเสียเงินจึงเลิก คุยดิฉันก็ใจอ่อน ยอมรับว่าดิฉันรักพี่ว. มาก พี่ว.ไม่ใช่แฟนคนแรกของดิฉัน แต่พี่ว.มีลักษณะที่เป็นผู้ใหญ่กว่าดิฉันมาก ทั้งการพูดจา การวาง ท่าทางคำพูด ดูเป็นผู้ใหญ่ มันทำให้ฉันนับถือและเคารพ ยิ่งนานวันยิ่งคบกัน ดิฉันรู้สึกว่า ดิฉันสามารถฝากชีวิตไว้กับพี่ว.ได้
ซึ่งการคบกันของดิฉันและพี่ว. ครอบครัวของดิฉัน ญาติพี่น้องของดิฉันทุกคนไม่เห็นด้วย ไม่มีใครสนับสนุน เพราะมองว่าพี่ว. เป็นพ่อหม้ายลูกติดและมีประวัติการหย่า และที่สำคัญระหว่างคบกันกับดิฉันพี่ว. มีเมียอยู่แล้ว และพี่ว.ยังแอบมีคุยกับผู้หญิงคนอื่น ซึ่งพ่อและแม่ของดิฉันไม่สนับสนุนเลย แต่ด้วยความที่ดิฉันดื้อและคิดว่าตัวเองรู้จักพี่ว.ดี คิดว่าพี่ว.รักดิฉันมากจนน่าจะหยุดอยู่ที่ดิฉันเป็นคนสุดท้าย ดิฉันจึงไม่สนใจคำทัดทานของพ่อแม่และญาติพี่น้องเลย มันทำให้ดิฉันห่างเหินจากครอบครัวตัวเอง ดิฉันไม่ติดต่อพ่อแม่ไม่กลับไปหาพ่อแม่เป็นเวลาเกือบ 3 ปี เพียงเพราะต้องการอยู่กับพี่ว.
จนกระทั่งพ่อแม่มองว่าคงห้ามดิฉันไม่ได้ จึงยอมให้ดิฉันและพี่ว.แต่งงานกัน การแต่งงานของเราถูกวางกรอบจากพ่อและแม่ ซึ่งพ่อและแม่มีเงื่อนไขในการแต่งงานพอสมควร ส่วนหนึ่งพ่อและแม่ต้องการพิสูจน์ตัวพี่ว.ว่าเขาจะรักและดูแลลูกสาวคนเดียวของเขาได้มากน้อยแค่ไหนแต่สำหรับพี่ว.แล้ว พี่ว.มองว่าพ่อและแม่ของดิฉันเรื่องมาก ดิฉันเริ่มเครียดเพราะไม่อยากจะทำให้พ่อแม่เสียใจอีก แต่ก็ไม่อยากทำให้พี่ว.ไม่สบายใจดิฉันจึงทำหน้าที่เหมือนเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยรับฟังปัญหาของทั้งสองฝ่ายมาตลอด
จนกระทั่งงานแต่งงานผ่านไปญาติผู้ใหญ่ของฝั่งดิฉันมาพร้อมหน้ากันพร้อมตา ส่วนญาติผู้ใหญ่ของพี่ว.มีเพียงลุง อี้ น้าและหลานๆเท่านั้น ส่วนพ่อของพี่ว. พี่ว.ไม่พามาเพราะอายที่พ่อดูไม่สง่า ส่วนแม่พี่ว. ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นหลายปี หลังแต่งงานดิฉันได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของพี่ว. ตั้งแต่นั้นมา ในบ้านจะมีพ่อของพี่ว. ที่ป่วยติดเตียง เดินไม่ได้ ช่วงแรกที่พ่อป่วย พี่ว. จะอุ้มพ่อไปอาบน้ำทุกอาทิตย์ แต่ระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา พี่ว.ไม่ได้อุ้มพ่อไปอาบน้ำแล้ว จนพ่อต้องไถก้นไปอาบน้ำเอง พ่อจะอุจาระโดยใช้ถุงพลาสติกรองก้น อึใส่ถุง และฉี่ใส่กระบอกน้ำ ซึ่งกลิ่นจะเต็มบ้าน ความสะอาดไม่ต้องพูดถึง แม้ดิฉันจะกวาด ถู เก็บทำความสะอาดให้ทุกวันก็ตาม พ่อมีโรคประจำตัวเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ ความดัน แต่พี่ว.ไม่เคยพาพ่อไปหาหมอเลยเป็นเวลาหลายปี พี่ว.ทำเพียงไปซื้อยาเดิมที่เคยได้จากรพ.จากร้านขายยา และมาจัดยาให้พ่อทานทุกเช้าเย็นเท่านั้น ส่วนพี่สาวของพี่ว.จะป่วยปัญญาอ่อน ต้องรับยาจิตเวชตลอดชีวิต ซึงพี่ว.มักจะมีเหตุผลว่า พ่อดื้อเอง บอกไม่ฟัง ก็ต้องปล่อย
หลังจากแต่งงานชีวิตดิฉันเริ่มเปลี่ยนไป พี่ว.เริ่มเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น ไม่ฟังเหตุผล มักเริ่มใช้คำพูดกู หรือเปรียบเทียบดิฉันเป็นหมา หรือด่าดิฉันด้วยคำหยาบคายมากขึ้น พี่ว.เคยโมโหโกรธจนลืมตัวขว้างโทรศัพท์มือถือดิฉันจนพังและเคยมีครั้งนึงลืมตัวเตะดิฉัน ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ว.ไม่เคยเป็น การดูแลเอาใจใส่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตอนที่ดิฉันป่วยไข้สูง ลุกไม่ไหว พี่ว.ก็พูดบังคับให้ดิฉันต้องไปเก็บขี้หมา หรือตอนที่ดิฉันผ่าตัดเย็บแผลที่ฝ่าเท้าขวา ต้องไปล้างแผลที่รพ.ทุกวัน ดิฉันเหยียบคันเร่งไม่ได้ จึงขอให้พี่ว.ขับรถพาไป แต่พี่ว.บอกดิฉันว่า "ไม่ว่าง ล้างรถอยู่" ดิฉันเสียใจมาก และทุกครั้งที่ทะเลาะกัน พี่ว.จะพูดว่า "กูใช้เงินซื้อมา กูจะทำอะไรกับก็ได้" ดิฉันเสียใจ เจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังแต่งงานแต่ด้วยความที่ดิฉันยังคิดว่าดิฉันรักพี่ว.มาก มันคงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่อยากแต่งงานหลายๆครั้งหรืออยากมีผัวหลายคนดิฉันจึงอดทนทุกอย่าง
และทุกครั้งที่พี่ว. โมโห หรือเราทะเลาะกันมันจะจบลงด้วยที่ต่างคนต่างเงียบ ต่างคนต่างแยกย้ายไม่ด่าทอกัน ไม่ขึ้นเสียงใส่กัน ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นวิธีที่สงบสติอารมณ์ของคู่สามีภรรยาดีที่สุดไว้อารมณ์เย็นพร้อมที่จะคุยค่อยมาคุยกันใหม่ แต่สำหรับพี่ว. ไม่ใช่ ในระหว่างที่เราทะเลาะกันหรือเราไม่คุยกัน พี่ว.มีแอบไปหาผู้หญิงคนอื่นคุยแทนดิฉัน จนกระทั่งวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 67 ที่ผ่านมา พี่ว.บอกดิฉันว่า ให้ดิฉันเก็บของออกจากบ้านเขา ให้ดิฉันไปอยู่ที่อื่น เขาไม่เอาดิฉันแล้วและให้ดิฉันเขียนสัญญาว่ายินยอมจะไม่เป็นสามีภรรยากับพี่ว.อีกนับตั้งแต่วันนี้
ดิฉันต้องเขียนเพราะถูกบังคับ เพราะพี่ว. บอกว่าถ้าดิฉันไม่ย้ายออก ดิฉันยังดันทุรังอยู่บ้านเขาต่อ เขาจะออกไปอยู่ข้างนอกและเขาจะทำทุกวิถีทางที่ทำให้ดิฉันอยู่บ้านเขาไม่ได้ ดิฉันกลัวเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยแก้แค้นดิฉันด้วยการดึงสายไฟมิเตอร์แอร์ออก เพื่อไม่ให้ดิฉันเปิดแอร์นอน เพื่อที่จะทำให้ดิฉันอยู่บ้านเขาไม่ได้ พี่ว.เคยเปลี่ยนกุญแจห้อง แล้วทำให้ดิฉันเข้าห้องนอนไม่ได้ ดิฉันจึงงัดกุญแจ พอพี่ว. เห็นพี่ว.ก็แก้แค้นคืน โดยการเอาตะปูที่ดิฉันงัดออกมาไปไว้ที่ยางล้อรถ เพื่อให้ดิฉันถอยรถและโดนตะปู
วันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาทุกคู่คงมีความสุข แต่ยกเว้นคู่ดิฉัน ดิฉันถูกบอกเลิกและถูกไล่ออกจากบ้านในวันนั้น โดยที่ 16 ปีที่ผ่านมาพี่ว.ไม่เหลือแม้แต่ความผูกพันให้ดิฉันเลย ในวันที่ 14 เป็นเวลากระทันหันไม่สามารถที่จะออกมาหาที่อยู่ได้ ดิฉันจึงขอนอนที่บ้านเขา และในระหว่างที่ยังหาที่พักไม่ได้ในวันที่ 15 ดิฉันก็ยังขอเข้าไปนอนอยู่ ซึ่งพี่ว.บอกว่าให้รีบออกไป อนุญาตให้นอนได้อีกแค่คืนเดียวเท่านั้นและในคืนวันที่ 15 พี่ว.เอาโทรศัพท์ไปคุยนอกห้อง คุยเป็นชั่วโมง ดิฉันได้ยินเสียงพี่ว.คุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่คงต้องเป็นคนสำคัญ เพราะปกติพี่ว.จะไม่รับสายคนอื่นในเวลากลางคืน ยกเว้นลูกสาว 2 คนของเขาเท่านั้น ซึ่งปลายสายไม่ใช่เสียงลูกสาวมันต้องเป็นผู้หญิงคนสำคัญ
ดิฉันต้องเริ่มหาที่อยู่ใหม่และนำข้าวของติดตัวออกมาจากบ้านพี่ว. ได้ไม่มาก ในระหว่างนี้ดิฉันมีการขออนุญาตพี่ว.เข้าไปเก็บของในบางครั้งซึ่งยอมรับว่าทุกครั้งที่เข้าไปบ้านเขา ดิฉันยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่า ความเป็นสามีภรรยาตลอด 16 ปีที่ผ่านมามันน่าจะเหลือเยื่อใยกันบ้าง แต่ปรากฏว่าพี่ว.บอกดิฉันว่าเขามีแฟนใหม่แล้วที่คุยและคบแบบจริงจังมาแล้ว 7 วัน ดิฉันอึ้งกับคำพูดนี้ เลิกการแค่วันเดียวอีกวันพี่ว. มีแฟนแล้ว นั่นหมายความว่าพี่ว.ได้มีคนคุยก่อนหน้าที่เขาจะไล่ดิฉันออกจากบ้านเป็นแบบนั้นไหมคะ ตลอดเวลา 16 ปีสิ่งที่ดิฉันทำให้พี่ว. สิ่งที่ดิฉันเสียสละและทำให้เพื่อแลกกับการที่มีเขาอยู่ข้างๆมันไม่มีความหมายสำหรับพี่ว. เลยเมื่อพี่ว.เจอคนใหม่อาจจะสวยกว่า รวยกว่า ดีกว่า ทิ้งคนที่อยู่กับที่ว.มา 10 กว่าปีได้แบบไม่เหลือเยื่อใย ดิฉันคิดแต่หาวิธีตาย จึงตัดสินใจหาเชือกจะไปผู้คอตายที่บ้านพี่ว. ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่าไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ดิฉันจะขอรักและอยู่กับพี่ว.คนเดียว แต่ในวันนั้นมีสายคุณยายโทรเข้ามา จึงทำให้ดิฉันไม่ได้ผูกคอตาย
แล้วชีวิตดิฉันหลังจากนี้ ดิฉันต้องกลายเป็นแม่หม้ายผัวทิ้ง ผู้หญิงที่เป็นหม้ายน้อยคนนักที่จะพบรักแท้ใหม่และแต่งงานอีกครั้ง แต่สำหรับผู้ชายอย่างพี่ว. เขาอาจจะแต่งงานครั้งที่ 4 5 6 7 ได้เรื่อยๆ แต่เขาจะรู้บ้างไหมว่าเขาทำให้ชีวิตของผู้หญิงคนนึงต้องพังลง ดิฉันสับสน มีคำถามอยู่ในหัวเต็มไปหมด แต่ไม่มีใครที่ดิฉันจะสามารถไปขอคำปรึกษา ไปพูดไปเล่าหรือระบายได้เลยครอบครัวก็ไม่รับฟังเขามองว่าดิฉันดื้อเองที่แต่งงานกับพี่ว. เพื่อนร่วมงานก็คุยไม่ได้เพราะอาย ดิฉันจึงตัดสินใจขอคุยกับคนใน pantip อย่างน้อยขอพื้นที่เล็กๆให้ดิฉันได้รู้สึกว่าดิฉันยังอยากหายใจอยู่