[Spoil] บทสัมภาษณ์ผกก. Dune >>ตอนจบ, ความฝันของพอล และสิ่งที่รออยู่ในหนังภาค 2 (by Filmaneo)

ขณะที่ภาค 2 จะมาเร็ว ๆ นี้, แต่ตัวบทสัมภาษณ์ต้นทางนี่ คือตั้งแต่หลังภาพยนตร์ Dune ภาคแรก (2021) เข้าฉายในโรงไม่นานนัก
ฝั่งคนแปลบทความ (ผมเอง) ตอนนั้น, ก็ยังไม่ได้อ่าน นิยายต้นฉบับ (ที่มีแปลไทยขาย)
ฉะนั้นพวกศัพท์แสงจำเพาะ อาจแกะเสียง หรือถอดความ ผิดเพี้ยนไปบ้าง
-
-
เดอนี วีลเนิฟว์ พาผู้ชมร่วมทริปสุดโลดโผน เดินทางสู่ทะเลทรายแห่งอาราคีส 
ซึ่งทั้งสไปซ์, หนอนทรายตัวใหญ่ และเล่ห์เพทุบายทางการเมือง คือส่วนประกอบ
สื่อต่างประเทศ (Empire) ดูแล้วชอบ จึงขอจับเข่าคุยแบบ [สป๊อย สปอยล์] กะผู้กำกับ
จนเป็นที่มาของบทความแปล ที่จะเพิ่มความกระจ่างให้หนัง, นิมิตของพระเอก และวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาคต่อของเขา
-
-
-
คุณกำหนดตายตัวว่า จะแยกนิยายเล่มหนึ่งให้เป็น 2 ส่วนตรงไหน ตั้งแต่แรกเลยใช่ไหม ?
-
สัญชาตญาณแรกของผม กำหนดให้จบหนังภาคแรกตรงนั้น
พวกเราเคยลองว่า จะจบหลังจากนั้นอีกหน่อย ได้หรือเปล่าด้วย
แต่มันค่อนข้างฝืน, เพราะหลังตอนจบตามภาพยนตร์ เรื่องราวจะโดดข้ามไปข้างหน้า 2 ปี
ถ้าไม่หยุด ผู้ชมจะรู้สึกถูกบีบให้ดูต่อ หลังจากจ้องหน้าจอแล้วร่วม 2 ชั่วโมงครึ่ง
-
พอลกับเจซซิก้าได้สัมผัสวิถีฟรีเมนแล้ว และพวกเขาถูกยอมรับเข้ากลุ่ม
มันคือฉากปิดอันทรงพลัง และปูทางสู่เนื้อหาช่วงถัดไปได้ดีเกินพอ
เรายังเปลี่ยนพอลจากเด็กชาย ให้กลายเป็นผู้ใหญ่เรียบร้อยด้วย
ผมจึงมั่นใจ 100% ว่าเลือกถูก, สมควรยุติภาคแรกลงแถวนี้
-
-
-
คุณกำหนดแนวทางดัดแปลงนิยาย ขึ้นมาได้อย่างไร ? ใช่การมุ่งเน้นไปที่พอลมั้ย ?
-
ใช่ ในหนังสือเองก็มุ่งเน้นที่พอล อาเทรดีซ, แม้จะมีปลีกตัวไปเล่าเรื่องราว ผ่านสายตาตัวละครอื่นบ้าง
ความฝันของผมคือการสื่อเนื้อหา โดยโฟกัสที่พอลผู้เดียว
แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่พ้นจริงๆ ในการใช้ตัวละครอื่น เพื่อให้เนื้อเรื่องมันเข้าใจง่ายขึ้น
-
สำหรับผม ความสัมพันธ์ระหว่างพอลกับมารดา (เลดี้เจซซิก้า) คือหัวใจหลัก
เจซซิก้าเป็นทั้งหนึ่งในตัวละครโปรด, และมีประโยชน์ในการตีแผ่เบเนเจซเซอริท กับความเคลื่อนไหวต่างๆ ของนิกายนี้ ให้กระจ่าง
-
-
-
รู้สึกเหมือนพอลมีพ่อ 'หลายคน' เลยนะ--เขามีส่วนผสมของทั้งดันแคน ไอดาโฮ, ทูเฟอ ฮาวัต และดยุคเลโต 
-
ช่วงเริ่มเรื่อง พอลคือเด็กขี้เหงา, เขาคือวัยรุ่นผู้โดดเดี่ยว ขาดเพื่อนวัยเดียวกัน
และเช่นเดียวกับนิยาย, ผมพยายามให้พอลรับเอา 'มรดก' จากเหล่าพวกพ้อง และอาจารย์ที่รายล้อม มามากที่สุด
เพื่อแสดงคุณค่าของสายสัมพันธ์พวกนี้ และแสดงว่าการสั่งสอนของผู้ใหญ่ทั้งหลาย, หล่อหลอมให้พอลเป็นชายเต็มตัวได้ยังไง
-
-
-
พวกเราจะเห็นผู้ใหญ่เหล่านั้นในภาค 2 อีกหรือเปล่า ?
-
นั่นสปอยล์นะพวก! ถึงนิยายจะเผยแพร่มาตั้ง 60 ปีแล้วก็เหอะ แต่ใช่ครับ, ใครบางคนอาจปรากฏตัวอีก
ภาค 2 (Part Two) จะมีความเป็นหนังมากขึ้น เพราะสำหรับผมภาค 1 แค่ไว้ปูพื้นเนื้อหา
อธิบายวัฒนธรรม, อารยธรรม และภูมิหลังของสารพัดดาวเคราะห์
เมื่ออธิบายของพวกนั้นเกลี้ยงแล้ว ภาคสองจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นแสนอัศจรรย์, มันจะหรรษายิ่งขึ้น
-
-
-
เฟย์ด-เราทา (ทายาทตระกูลฮาร์คอนเนนอีกคน) จะโผล่ในภาค 2 ไหม ?
-
แน่นอน ผมจงใจโยกเขา ไปเปิดตัวในภาคต่อ, เพื่อลดจำนวนตัวละครที่ต้องแนะนำในภาค 1
และมันก็ดีกว่า ที่เฟย์ดเผยโฉมแถวภาค 2 ด้วย เพราะเขาจะมีบทบาทค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมาก ณ ช่วงเวลาดังกล่าว
เฟย์ด-เราทา จากหนัง Dune ฉบับเก่า (ค.ศ. 1984)
-
-
-
กลุ่มมนุษย์หน้ากาก ที่อยู่ท่ามกลางคณะผู้แทนของจักรวรรดิ คือต้นหนกิลด์อวกาศ (Guild Navigators) หรือตัวแทนกิลด์อวกาศ (Guild representatives) ?
-
พวกเขาคือตัวแทนของกิลด์อวกาศ (สเปซซิ่งกิลด์) ไม่ใช่ต้นหน
ภาคแรกพวกต้นหนไม่ปรากฏ เพราะจะเล่าทุกอย่างให้ครบในหนังเรื่องเดียว มันยาก
ผมพยายามปิดหลายอย่างเป็นความลับไว้ก่อน เช่น ไม่ยอมโชว์หน้าจักรพรรดิ หรือนาวิเกเตอร์ของสเปซซิ่งกิลด์
-
ผมอยากเก็บทุกสิ่งเกี่ยวกับการเดินทางข้ามอวกาศ ไว้เป็นปริศนาชั่วคราว
เพราะมันมีทั้งแง่มุมที่ลึกลับ และความเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์ กับตัวภาพยนตร์
ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับห้วงอวกาศ ควรได้รับการบอกเล่าอย่างเหมาะสม เปี่ยมมนต์ขลัง
-
-
-
ตัวสไปซ์ก็เหมือนเวทมนตร์ด้วย, พวกเรารู้แค่มันคือของจำเป็น สำหรับใช้ท่องอวกาศ, การปล่อยให้มันดูลึกลับ ก็เป็นธรรมชาติดี
-
ใช่, เพราะงั้นผมจึงยืนกรานว่า จะไม่ยอมให้ภาคแรก มีฉากภายในยานอวกาศ
สำหรับผม Dune ควรโฟกัสไปที่อาราคีส, ฟรีเมน และระบบนิเวศน์ของดาวเคราะห์
เรื่องราวของมันควรติดดิน ไม่ควรรีบออกไปท่องอวกาศ
การปล่อยให้ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น ยังลึกลับ ก็สวยงามกว่า
-
-
-
ในหนังมีของแบบยานขนส่ง ที่รูปร่างคล้ายหนอน
ตกลงพวกนั้นคือประตูดารา (stargate) ไว้ให้ผู้คนผ่านเข้าออก หรือตัวของยานเดินทางข้ามดาว
-
เดอะ ไฮไลเนอร์ส (The Heighliners) คือ 'ยาน' ของพวกสเปซซิ่งกิลด์
เราเสียเวลากับขั้นตอนออกแบบอยู่นานนม ก่อนจะลงเอยที่รูปลักษณ์ดังกล่าว
ผมเห็นแล้วรู้เลยว่าเหมาะ เพราะมันทั้งคล้ายหนอนและประตูดารา
สื่อถึงระบบที่จักรวรรดิใช้เดินทาง และสะพานเชื่อมกาลอวกาศได้ดี
-
ผมไม่อยากอธิบายมากไปตอนนี้ แต่ผมคิดว่ามันเพริศแพร้วดี
พวกเราถือวิสาสะเปลี่ยนรูปลักษณ์ จากที่บรรยายในหนังสือ
ซึ่งควรเป็นบางอย่างที่บิดเบือนมิติ และมีความเป็นประตูมากกว่า
-
-
-
ในฝันพยากรณ์ของพอลเกี่ยวกับเจมิส (คู่ต่อสู้ชาวฟรีเมน) มันบอกว่า 'เขาจะเป็นสหายเจ้า, เขาจะสอนเรื่องฟรีเมน'...
ตกลงว่าประเด็นนี้จะถูกสานต่อหรือเปล่า ? แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาตามที่นิมิตบอกละ ?
-
ผมไม่สามารถเฉลยทุกอย่างตรงนี้ แต่ขอบอกไว้ประมาณนี้แล้วกัน
--ความท้าทายหนึ่งของการดัดแปลงนิยาย คือการนำเสนอให้เห็นว่านิมิตของพอล, คืออนาคตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เขาสัมผัสได้หลายอย่าง, อารมณ์ของเขาตอบสนองตามสิ่งที่ปรากฏ 
แต่การปะติดปะต่อข้อมูลช่างแสนยาก, เขาหยั่งรู้ผ่านภาพซึ่งคล้ายความฝัน และต้องพยายามตีความมันให้ออก
-
ผมยังอยากต่อยอดให้หนังอีกขั้น โดยทำให้นิมิตเหมือน 'ความฝัน' สุด ๆ
แถมความฝันนี่สามารถ ถ่ายทอดความรู้สึกโดยละเอียด มาให้พอลได้มหาศาล
พอลต้องลำบากในการย่อยสารจากนิมิตเสมอ เพราะมันมักเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
-
มีเพียงบางเรื่องที่ชัดเจน, แต่ที่เหลือถ้าไม่เหมือนบทกวีเชิงนามธรรม ก็เป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกันเอง
ผมคิดว่าถ้าทำแบบนี้จะน่าสนใจ และดราม่ากว่า
ความฝันเป็นเพียงคำเตือนหรือเบาะแส, แต่ไม่ใช่การเปิดเผยว่า สิ่งใดจะเกิดในภายภาคหน้า
-
-
-
คำว่า 'ดูน' ไม่ค่อยถูกใช้ในหนัง, คุณเรียกมันว่าอาราคีสตลอด
-
คนตัดต่อหนังของผมเคยพูดว่า, แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ตมี 2 ชื่อสำหรับทุกสิ่งเสมอ
ทุกอย่างต้องมีชื่อเรียกมากกว่าหนึ่ง, ผมจึงอยากลดความสับสนเกี่ยวกับดาวทะเลทราย
เราเรียกมันว่า 'ดูน' บ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่ก็เรียก 'อาราคีส' ตามนิยายแหละ
แต่ในหนังภาคสอง, ผมอาจเปลี่ยนใจก็ได้...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่