ในปีนี้ 2567 ที่อยากจะแชร์อีกด้านของผมเองนอกเหนือจากจะทำงานแล้ว เรื่องที่คิดไว้เลย คือการเที่ยวก่อนที่อายุจะมากกว่านี้ และการเที่ยวของผมเองก็อยากจะเน้นต้นทุนต่ำไว้ก่อนแบบ Low cost ด้วยซ้ำไป ทริปแรกที่ผมได้เที่ยวปีนี้คือ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวนี้เอง การเดินขึ้นเขาพิชิตความสูงที่ 1,633 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นยอดเขาที่สูงระดับต้นๆของไทย จะบอกว่าอุทยานเองก็อยู่ใกล้บ้าน(ผมเป็นคน ตจว)นะครับ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเที่ยว กลับบ้านทั้งทีก็ไปเที่ยวเลยคิดว่าเราเคยขึ้นมาก่อนไม่น่ายากจะลำบากมั้งเดินขึ้นด้วยเท้าเราเองนี้แระ ขึ้นเขาครั้งนี้แบบไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรเลยเพราะผมเองไม่ได้เที่ยวมานานเหมือนกัน แบบว่าคิดได้ก็ออกไปหาซื้อของที่จำเป็นครั้งนี้ผมก็ไปห้าง decathlon ขายอุปกรณ์กิจกรรมภายนอก และออกกำลังกายทุกประเภท สาขาใกล้ที่สุดคือ บางใหญ่ มีครบทุกอย่าง ที่ต้องการจริงๆก็เป็นเต้นท์นอน ถุงนอน กระเป๋าเป้ และก็จิปาถะครับ เอาจริงนะครับ ก็ขำตัวเองเหมือนกัน ว่าคิดจะขึ้นเขานะไม่ได้ไปแคมป์ปิ้ง หายนะระหว่างการเดินขึ้นเขาเลยคือ
-กระเป๋าเป้เล็กไป (แค่ 20 ลิตรเอง) เอาละเอาของไปเยอะไม่พอใส่
-เต้นท์ก็ใหญ่ไปได้ 2 คนก็จริง แต่มันไม่เหมาะเลยจริงๆนะครับ ทั้งใหญ่แล้วก็หนักมากกก 4.5 กิโลกรัมตอนซื้อก็คิดแค่ว่าราคามันลดมาเยอะนะ น่าจะคุ้มที่ลงทุน ของดีครับแต่ไม่เหมาะกับสถานะการณ์
-ถุงนอน 15 องศา ไม่รู้เลย 15 องศา คืออิหยังวะ (ชอบสีมันเท่านั้นแระ) แต่มันไม่เหมาะการเดินไกล มันยัดไม่ได้เลยใหญ่ไป
-หมอนเป่าลม อันนี้ดีครับ ใครๆที่เป็นสายเดินป่า เรียกว่าหมอนเทพ หนุนหัวนอนสบาย
ทุกอย่างเหมือนจะพร้อมแล้วแระ เดินทางช่วงหลังปีใหม่ผมกะจะไม่ต้องไปรถติดช่วงปีใหม่อยู่แล้ว สบายจริงๆไม่ต้องแย่งใครเเต่มันก็จะเงียบๆหน่อยละ
ช่วงระหว่างนี้ ขับรถออกจากนนทบุรีก็เย็นแล้วละครับ กว่าจะถึงบ้านจริงก็น่าจะดึกเลย ระยะทาง 500 กิโลเมตร ++ นะ
เอาละถึงบ้านก็มืดของแทร่ วันนี้ผมยังขึ้นไม่ได้หรอกต้องนอนก่อนกะว่าเช้าวันที่ 3 มกราคม 67 ค่อยขึ้นตอนเช้าเอา เพราะยังไงก็ต้องรอไปขึ้นตอนเช้าอยู่ดี เดี๋ยวมาต่อนะครับ ขอไปหาไรกินมื้อเย็นก่อน ทริปนี้คงไม่ค่อยมีรูปเท่าไหร่ผมจะถ่ายวิดีโอเป็นส่วนมาก
เช้าของวันที่ 3 มกราคม 67 ได้ฤกษ์ ที่จะขึ้นแล้วให้พ่อไปส่งด้วยมอเตอร์ไซต์บ้านๆนี่แหล่ะมันสะดวกและผมก็ชอบที่ได้ให้หน้าสมัผัสลมเย็นๆช่วงนี้ที่ไปก็คือหน้าหนาวอากาศสบายดีสุดๆ อยากที่ผมเคยบอกนะครับว่าบ้านผมอยู่ใกล้อุทยาน การเดินทางจากบ้านไม่ใช่อุปสรรคใดๆ ขี่รถซ้อนท้ายออกจากบ้าน 7:30 น.เพื่อไปลงทะเบียนขอขึ้นไปนอนบนลานสน (ลานกางเต้นท์) ไปถึงก็ 8:00 นิดๆ คนเริ่มลงทะเบียนและเดินขึ้นกันแล้ว อย่างว่าละครับครั้งแรกกลัวโน้นนั้นนี่ไม่พอ ผมเตรียมเสบียงเยอะไปโดยเฉพาะน้ำดื่มถ้าใครไม่อยากแบบน้ำหนักก็แนะนำว่าเอาไปแค่ดื่มระหว่างเดินขึ้นก็เพียงพอแล้วไปซื้อเอาบนลานสนจะมีขายทั้งน้ำดื่ม น้ำอัดลม แม้กระทั่งข้าวไข่เจียวก็พร้อมให้บริการ
สำหรับการเดินขึ้นหลังจากลงทะเบียนที่อุทยานเสร็จเรียบร้อยก็จะมีรถกระบะพาไปส่งที่จุดขึ้นเลย ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับน้ำตกน้ำตกจะมีน้ำทั้งปีสำหรับที่นี้ใส สะอาด ลงเล่นได้มีหลายๆชั้นและหน้านี้เดินสบายไม่ลื่น แต่ขึ้นสายระวังอากาศร้อน เตรียมน้ำผึ้งและขนมหวานติดกระเป๋าไปด้วยนะครับ
ขออนุญาติมาต่อกันให้จบในคืนนี้ไปเลยรวดเดียวนะครับ เพราะเดี๋ยวจะมีทริปที่ต้องมาเล่าและอัพเดทอีกเรื่อยๆ หลังจากที่ได้เริ่มขึ้นในช่วงแรกของการเดินเรียกว่ายังสบายๆ ชิลๆไปไหวเพราะยังมีแรงเดินจากมื้อเช้าที่บ้านพอสมควร ถือน้ำขวดใหญ่จิบไปพลางๆระหว่างเดินก็รู้สึกว่าโอเคดี เช้าๆมีร่มไม้เดินผ่านน้ำตกไม่ร้อนนะ ในช่วงเดินในใจก็คิดว่าเราน่าจะไหวแระ ขึ้นเนินแรกก็คงไม่ยากเพราะพร้อมมาก 555 คิดเองนะครับ มาเจอนักท่องเที่ยวที่แรกก็ช่วงก่อนป่าไผ่ พี่คนที่มาก็ดูชิลเหมือนกับเรานะ ได้ทำความรู้จักกันพี่เขาบอกว่ามาที่นี่ครั้งแรก ดูรีวิวได้วันเดียวก็ตัดสินใจมาเลย ก่อนหน้านี้พี่เขาก็ไปภูกระดึงมาคิดว่าที่นี่น่าเดินในช่วงนี้ โอเคละครับเดินไปเรื่อยๆรู้สึกว่าเราเองจะถูกพี่เขาทิ้งห่างระยะไปละ (คิดในใจเราเดินช้า รึว่าพี่เขาเดินเร็ว) ผมก็เดินมาเรื่อยๆจนมาเจอนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มน่าจะน้องๆกว่าผมนั่งรอทำใจที่จะขึ้นเนินแรกอยู่ ผมก็ยิ้มให้แล้วก็เดินเลยกลุ่มน้องๆขึ้นไปเลยกะว่าเราก็แข็งพอตัว น้องๆก็ตะโกนแซวมาเลยว่า พี่เอาเลยเหรอไม่พักก่อนขึ้นอ่ะครับเนินมันชันนะพี่....
แสดงความสามารถหน่อยจะได้ไม่อายน้องๆ เดินไปได้ 2 ช่วงบันไดนาฬิกาข้อมือวัดอัตราการเต้นสูงลิ่ว เกือบ 165 ครั้ง/นาที ผมก็เลยเบรค ยืนนิ่งสักพัก แล้วก็ปล่อยให้น้องๆได้แซงขึ้นไปก่อน จะบอกว่าการเดินขึ้นเขาช่วงแรกนะครับ ถ้าไม่ได้ออกกำลังหากไม่มั่นใจก็ค่อยๆไปเถอะครับไม่ไหวอย่าฝืน เดี๋ยวยืนจะเซได้ มาจนถึงเนินแรกก็โอเค มีคนนั่งเต็มไปหมดบนจุดพัก ถือว่าทำเวลาได้ไม่เลวเลย เกือบ 10 โมงเช้าขึ้นได้ขนาดนี้ ยังเหลือระยะทางอีกเกินครึ่งทางแน่นอน จาก 6.5 กิโลเมตร ไม่น้อยเลยแระ ก็นั่นแระครับขึ้นแล้วต้องไปต่อ ไม่อยากจะไปแล้วมืดค่ำก่อนอยากดูพระอาทิตย์ตกดินสักหน่อย อากาศช่วงนี้มันค่อนข้างเย็นมากกก อยากสัมผัสองศาต่ำ ขอรวบรัดตัดตอนเลยระหว่างทางก็ได้แวะหลายจุดพักดื่มน้ำ และผมก็คิดไม่ผิดที่พกขนมหวาน กับขนมปังมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียพลังงานไปเยอะพอสมควร ก็กินไปเดินไป จนมาถึงเนินสุดท้าย เนินมรณะ เอาจริงๆนะผมว่าเนินนี้เวลาผมมองจากช่วงพักก่อนขึ้นเนินหน่ะผมรู้สึกท้อนิดๆ เพราะมันค่อนข้างจะชันเหลือเกินไม่น่าเลยเราไม่น่าห้าว
ภาพนี้เป็น พี่คนที่เจอกันช่วงเดินขึ้นแรกๆเขาใจดีช่วยถ่ายภาพให้นะครับ
หน้าเหมือนจะมีความสุขนะครับแต่เอาเข้าจริงในใจอย่างเหนื่อยสุดๆ บรรยากาศโดยรอบอาจจะไม่เขียวมากแต่บอกเลยว่าช่วงเนินก่อนถึงลานสนอากาศเริ่มเย็นแล้วละครับ เพราะว่าขึ้นมาเกือบถึง 1,600 แล้วไม่หนาวก็คงไข้ละอาการ วิวสวยดีนะครับ แต่ถ้าเป็นหน้าฝนคงสวยไม่น้อย แต่ก็คงจะลำบากไม่น้อย อันนี้ก็คงเหมาะกับผมเเล้วละครับเริ่มต้นป่าที่ยังไม่ชื้นเเฉะ จะได้ไม่ถอดใจแต่แรก และแล้วก็บ่ายสามโมงกว่าๆ ผมก็ถึงจุดที่ต้องกางเต้น์นอน ผมก็หาพื้นที่จะกางเต้นท์พอสมควร มานอนคนเดียวแบบนี้คงจะต้องหาพื้นที่คนเยอะๆหน่อยไม่กล้าจะไปไกลกว่ากลุ่มอื่นๆเท่าไหร่เพราะว่าท่าทางจะหลอนๆ น่าดูเคยได้เสียงลมพักใบสนค่อนข้างจะหวีดหวิวมากกครับ จินตนาการก็จะมาเต็ม ได้จุดกางเต้นท์แล้วกางเต้นเสร็จผมก็เดินหาฟืนเพื่อจะเอาไว้ก่อกองไฟเลย โชคดีมากผมได้ท่อนฟืนมาเยอะแยะ มาก
ก็ไม่มีอะไรมากใช้เวลากับการเตรียมอะไรเสร็จไม่นานก็ออกไปที่จุดพระอาทิตย์ตกดินกะว่าจะไปซึมซับกับบรรยากาศตรงนั้นให้เต็มที่ มันก็ดีนะครับสำหรับบนนี้ในช่วงเวลานั้นก็ช่างโรแมนติกเหลือเกิน 55 มีหลายๆคู่มายืนดูพระอาทิตย์ตกเช่นกันดูอบอุ่น และน่าอิจฉานะครับ แหม่ะ ผมมาคนเดียวก็จะหงอยๆหน่อยไม่เป็นไรหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ก็ได้เวลาเตรียมเมนูแต่ก็อย่างที่เคยบอกเสบียงผมจัดมาเต็มแต่เจ้ากรรมก็ดันลืมอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหารมาซะสนิท โธ่วว เอาไงละทีนี้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนละกันโชคดีที่ยังมีฟลอยด์ห่ออาหารติดมาด้วยก็จัดการอุ่นอาหารโดยใช้ฟรอยด์ห่อเลย ก็ถือว่าใช้ได้ครับทดแทนภาชนะเช่นหม้อหรือกระทะได้ดี แต่มันก็ไม่ค่อยหนำใจมากเท่าไหร่ กะว่าไปเที่ยวทริปต่อไปต้องเช็ตลิสต์ให้ครบหน่อย
สำหรับอาหารมื้อนี้ทำให้ท้องอิ่มได้สบายๆ ก่อนที่เตรียมไปล้างหน้าแปรงฟัน รวมถึงการอาบน้ำ เพราะที่จะอาบน้ำก็ยังพอมีน้ำให้ใช้ด้วย ความสะดวกสบายเต็มร้อยนะครับ แต่ต้องมีขันกะละมังกันไปด้วยไม่มีก็เช่าเอาได้หมด ไม่ต้องใช้ตังค์บนลานสน เพราะลงจากลานสนไปแล้วเขาจะหักค่าเช่าจากค่ามัดจำเอาขยะกลับมาด้วย ประมาณนั้น
สำหรับค่ำคืนนี้ผมก็ถือว่านอนหลับสบายเลยทีเดียวไม่ใช่อะไรนะครับเหนื่อยมากกก ถึงมากกที่สุดจนเช้าไม่ได้ออกมาส่องดาวหรือทำกิจกรรมอะไรนอกเต้นท์นอนเลยจนเช้า ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่เรียกตะโกน ว่า "ขึ้นยอดๆ ขึ้นยอดๆ ลงทะเบียนเลยนะครับ" สำหรับใครจะขึ้นยอดที่เป็นจุดสูงสุดของที่นี้คือระดับ 2,102 เมตรก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับกิจกรรมนี้ แต่สำหรับผมทริปนี้ถือว่าเพียงพอแล้วขอเดินเล่นรอบๆลานในช่วงเช้าทำอาหารง่ายๆกินก่อนจะเก็บอุปกรณ์ต่างๆยัดกระเป๋าแล้วอำลาลงไปสู้งานต่อ สายแล้วที่ 9 โมงเช้าใครจะลงก็ต้องรีบเก็บเต้นท์ไม่งั้นแดดจะมาไล่เราเองนะครับ ผมก็ลงจากลานสนใช้เวลาลง 9:00 โมงเช้า มาถึงข้างล่างก็ 12:00 พอดิบพอดี มื้อเที่ยงคงจะต้องไปจัดการที่บ้านเลยเพราะไม่ไหวแล้ว สำหรับทริปนี้ไม่ได้มีค่ามช้จ่ายอะไรมากมายนอกจากค่าน้ำที่ซื้อข้างบนลานสนและน้ำอัดลม กับค่าเข้าอุทยานคืนเดียวไม่เปลืองอะไร ทริปนี้ทำให้รู้ว่าการเตรียมความพร้อมก็เป็นส่วนหนึ่งในการจะออกไปหาประสบการณ์การเดินเที่ยวขึ้นเขา เข้าป่า รับรองว่าโอกาสหน้าจะถ่ายรูปสวยๆเก็บมาไว้อวดบ้าง นะครับ ขอบคุณทุกๆคนที่หลงเข้ามาอ่านนะครับใครที่เคยไปแล้วเอารูปมาอวดมาแชร์กันได้ครับ
สำหรับผมก็ชอบรูปนี้ที่สุดเพราะถ่ายมาไม่เยอะมันดูสดใสดี
ใครๆก็เที่ยวได้ สไตส์ต้นทุนต่ำ (ครั้งแรกของปี 2567)
-กระเป๋าเป้เล็กไป (แค่ 20 ลิตรเอง) เอาละเอาของไปเยอะไม่พอใส่
-เต้นท์ก็ใหญ่ไปได้ 2 คนก็จริง แต่มันไม่เหมาะเลยจริงๆนะครับ ทั้งใหญ่แล้วก็หนักมากกก 4.5 กิโลกรัมตอนซื้อก็คิดแค่ว่าราคามันลดมาเยอะนะ น่าจะคุ้มที่ลงทุน ของดีครับแต่ไม่เหมาะกับสถานะการณ์
-ถุงนอน 15 องศา ไม่รู้เลย 15 องศา คืออิหยังวะ (ชอบสีมันเท่านั้นแระ) แต่มันไม่เหมาะการเดินไกล มันยัดไม่ได้เลยใหญ่ไป
-หมอนเป่าลม อันนี้ดีครับ ใครๆที่เป็นสายเดินป่า เรียกว่าหมอนเทพ หนุนหัวนอนสบาย
ทุกอย่างเหมือนจะพร้อมแล้วแระ เดินทางช่วงหลังปีใหม่ผมกะจะไม่ต้องไปรถติดช่วงปีใหม่อยู่แล้ว สบายจริงๆไม่ต้องแย่งใครเเต่มันก็จะเงียบๆหน่อยละ
ช่วงระหว่างนี้ ขับรถออกจากนนทบุรีก็เย็นแล้วละครับ กว่าจะถึงบ้านจริงก็น่าจะดึกเลย ระยะทาง 500 กิโลเมตร ++ นะ
เอาละถึงบ้านก็มืดของแทร่ วันนี้ผมยังขึ้นไม่ได้หรอกต้องนอนก่อนกะว่าเช้าวันที่ 3 มกราคม 67 ค่อยขึ้นตอนเช้าเอา เพราะยังไงก็ต้องรอไปขึ้นตอนเช้าอยู่ดี เดี๋ยวมาต่อนะครับ ขอไปหาไรกินมื้อเย็นก่อน ทริปนี้คงไม่ค่อยมีรูปเท่าไหร่ผมจะถ่ายวิดีโอเป็นส่วนมาก
เช้าของวันที่ 3 มกราคม 67 ได้ฤกษ์ ที่จะขึ้นแล้วให้พ่อไปส่งด้วยมอเตอร์ไซต์บ้านๆนี่แหล่ะมันสะดวกและผมก็ชอบที่ได้ให้หน้าสมัผัสลมเย็นๆช่วงนี้ที่ไปก็คือหน้าหนาวอากาศสบายดีสุดๆ อยากที่ผมเคยบอกนะครับว่าบ้านผมอยู่ใกล้อุทยาน การเดินทางจากบ้านไม่ใช่อุปสรรคใดๆ ขี่รถซ้อนท้ายออกจากบ้าน 7:30 น.เพื่อไปลงทะเบียนขอขึ้นไปนอนบนลานสน (ลานกางเต้นท์) ไปถึงก็ 8:00 นิดๆ คนเริ่มลงทะเบียนและเดินขึ้นกันแล้ว อย่างว่าละครับครั้งแรกกลัวโน้นนั้นนี่ไม่พอ ผมเตรียมเสบียงเยอะไปโดยเฉพาะน้ำดื่มถ้าใครไม่อยากแบบน้ำหนักก็แนะนำว่าเอาไปแค่ดื่มระหว่างเดินขึ้นก็เพียงพอแล้วไปซื้อเอาบนลานสนจะมีขายทั้งน้ำดื่ม น้ำอัดลม แม้กระทั่งข้าวไข่เจียวก็พร้อมให้บริการ
สำหรับการเดินขึ้นหลังจากลงทะเบียนที่อุทยานเสร็จเรียบร้อยก็จะมีรถกระบะพาไปส่งที่จุดขึ้นเลย ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับน้ำตกน้ำตกจะมีน้ำทั้งปีสำหรับที่นี้ใส สะอาด ลงเล่นได้มีหลายๆชั้นและหน้านี้เดินสบายไม่ลื่น แต่ขึ้นสายระวังอากาศร้อน เตรียมน้ำผึ้งและขนมหวานติดกระเป๋าไปด้วยนะครับ
ขออนุญาติมาต่อกันให้จบในคืนนี้ไปเลยรวดเดียวนะครับ เพราะเดี๋ยวจะมีทริปที่ต้องมาเล่าและอัพเดทอีกเรื่อยๆ หลังจากที่ได้เริ่มขึ้นในช่วงแรกของการเดินเรียกว่ายังสบายๆ ชิลๆไปไหวเพราะยังมีแรงเดินจากมื้อเช้าที่บ้านพอสมควร ถือน้ำขวดใหญ่จิบไปพลางๆระหว่างเดินก็รู้สึกว่าโอเคดี เช้าๆมีร่มไม้เดินผ่านน้ำตกไม่ร้อนนะ ในช่วงเดินในใจก็คิดว่าเราน่าจะไหวแระ ขึ้นเนินแรกก็คงไม่ยากเพราะพร้อมมาก 555 คิดเองนะครับ มาเจอนักท่องเที่ยวที่แรกก็ช่วงก่อนป่าไผ่ พี่คนที่มาก็ดูชิลเหมือนกับเรานะ ได้ทำความรู้จักกันพี่เขาบอกว่ามาที่นี่ครั้งแรก ดูรีวิวได้วันเดียวก็ตัดสินใจมาเลย ก่อนหน้านี้พี่เขาก็ไปภูกระดึงมาคิดว่าที่นี่น่าเดินในช่วงนี้ โอเคละครับเดินไปเรื่อยๆรู้สึกว่าเราเองจะถูกพี่เขาทิ้งห่างระยะไปละ (คิดในใจเราเดินช้า รึว่าพี่เขาเดินเร็ว) ผมก็เดินมาเรื่อยๆจนมาเจอนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มน่าจะน้องๆกว่าผมนั่งรอทำใจที่จะขึ้นเนินแรกอยู่ ผมก็ยิ้มให้แล้วก็เดินเลยกลุ่มน้องๆขึ้นไปเลยกะว่าเราก็แข็งพอตัว น้องๆก็ตะโกนแซวมาเลยว่า พี่เอาเลยเหรอไม่พักก่อนขึ้นอ่ะครับเนินมันชันนะพี่....
แสดงความสามารถหน่อยจะได้ไม่อายน้องๆ เดินไปได้ 2 ช่วงบันไดนาฬิกาข้อมือวัดอัตราการเต้นสูงลิ่ว เกือบ 165 ครั้ง/นาที ผมก็เลยเบรค ยืนนิ่งสักพัก แล้วก็ปล่อยให้น้องๆได้แซงขึ้นไปก่อน จะบอกว่าการเดินขึ้นเขาช่วงแรกนะครับ ถ้าไม่ได้ออกกำลังหากไม่มั่นใจก็ค่อยๆไปเถอะครับไม่ไหวอย่าฝืน เดี๋ยวยืนจะเซได้ มาจนถึงเนินแรกก็โอเค มีคนนั่งเต็มไปหมดบนจุดพัก ถือว่าทำเวลาได้ไม่เลวเลย เกือบ 10 โมงเช้าขึ้นได้ขนาดนี้ ยังเหลือระยะทางอีกเกินครึ่งทางแน่นอน จาก 6.5 กิโลเมตร ไม่น้อยเลยแระ ก็นั่นแระครับขึ้นแล้วต้องไปต่อ ไม่อยากจะไปแล้วมืดค่ำก่อนอยากดูพระอาทิตย์ตกดินสักหน่อย อากาศช่วงนี้มันค่อนข้างเย็นมากกก อยากสัมผัสองศาต่ำ ขอรวบรัดตัดตอนเลยระหว่างทางก็ได้แวะหลายจุดพักดื่มน้ำ และผมก็คิดไม่ผิดที่พกขนมหวาน กับขนมปังมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียพลังงานไปเยอะพอสมควร ก็กินไปเดินไป จนมาถึงเนินสุดท้าย เนินมรณะ เอาจริงๆนะผมว่าเนินนี้เวลาผมมองจากช่วงพักก่อนขึ้นเนินหน่ะผมรู้สึกท้อนิดๆ เพราะมันค่อนข้างจะชันเหลือเกินไม่น่าเลยเราไม่น่าห้าว
ภาพนี้เป็น พี่คนที่เจอกันช่วงเดินขึ้นแรกๆเขาใจดีช่วยถ่ายภาพให้นะครับ
หน้าเหมือนจะมีความสุขนะครับแต่เอาเข้าจริงในใจอย่างเหนื่อยสุดๆ บรรยากาศโดยรอบอาจจะไม่เขียวมากแต่บอกเลยว่าช่วงเนินก่อนถึงลานสนอากาศเริ่มเย็นแล้วละครับ เพราะว่าขึ้นมาเกือบถึง 1,600 แล้วไม่หนาวก็คงไข้ละอาการ วิวสวยดีนะครับ แต่ถ้าเป็นหน้าฝนคงสวยไม่น้อย แต่ก็คงจะลำบากไม่น้อย อันนี้ก็คงเหมาะกับผมเเล้วละครับเริ่มต้นป่าที่ยังไม่ชื้นเเฉะ จะได้ไม่ถอดใจแต่แรก และแล้วก็บ่ายสามโมงกว่าๆ ผมก็ถึงจุดที่ต้องกางเต้น์นอน ผมก็หาพื้นที่จะกางเต้นท์พอสมควร มานอนคนเดียวแบบนี้คงจะต้องหาพื้นที่คนเยอะๆหน่อยไม่กล้าจะไปไกลกว่ากลุ่มอื่นๆเท่าไหร่เพราะว่าท่าทางจะหลอนๆ น่าดูเคยได้เสียงลมพักใบสนค่อนข้างจะหวีดหวิวมากกครับ จินตนาการก็จะมาเต็ม ได้จุดกางเต้นท์แล้วกางเต้นเสร็จผมก็เดินหาฟืนเพื่อจะเอาไว้ก่อกองไฟเลย โชคดีมากผมได้ท่อนฟืนมาเยอะแยะ มาก
ก็ไม่มีอะไรมากใช้เวลากับการเตรียมอะไรเสร็จไม่นานก็ออกไปที่จุดพระอาทิตย์ตกดินกะว่าจะไปซึมซับกับบรรยากาศตรงนั้นให้เต็มที่ มันก็ดีนะครับสำหรับบนนี้ในช่วงเวลานั้นก็ช่างโรแมนติกเหลือเกิน 55 มีหลายๆคู่มายืนดูพระอาทิตย์ตกเช่นกันดูอบอุ่น และน่าอิจฉานะครับ แหม่ะ ผมมาคนเดียวก็จะหงอยๆหน่อยไม่เป็นไรหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ก็ได้เวลาเตรียมเมนูแต่ก็อย่างที่เคยบอกเสบียงผมจัดมาเต็มแต่เจ้ากรรมก็ดันลืมอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหารมาซะสนิท โธ่วว เอาไงละทีนี้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนละกันโชคดีที่ยังมีฟลอยด์ห่ออาหารติดมาด้วยก็จัดการอุ่นอาหารโดยใช้ฟรอยด์ห่อเลย ก็ถือว่าใช้ได้ครับทดแทนภาชนะเช่นหม้อหรือกระทะได้ดี แต่มันก็ไม่ค่อยหนำใจมากเท่าไหร่ กะว่าไปเที่ยวทริปต่อไปต้องเช็ตลิสต์ให้ครบหน่อย
สำหรับอาหารมื้อนี้ทำให้ท้องอิ่มได้สบายๆ ก่อนที่เตรียมไปล้างหน้าแปรงฟัน รวมถึงการอาบน้ำ เพราะที่จะอาบน้ำก็ยังพอมีน้ำให้ใช้ด้วย ความสะดวกสบายเต็มร้อยนะครับ แต่ต้องมีขันกะละมังกันไปด้วยไม่มีก็เช่าเอาได้หมด ไม่ต้องใช้ตังค์บนลานสน เพราะลงจากลานสนไปแล้วเขาจะหักค่าเช่าจากค่ามัดจำเอาขยะกลับมาด้วย ประมาณนั้น
สำหรับค่ำคืนนี้ผมก็ถือว่านอนหลับสบายเลยทีเดียวไม่ใช่อะไรนะครับเหนื่อยมากกก ถึงมากกที่สุดจนเช้าไม่ได้ออกมาส่องดาวหรือทำกิจกรรมอะไรนอกเต้นท์นอนเลยจนเช้า ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่เรียกตะโกน ว่า "ขึ้นยอดๆ ขึ้นยอดๆ ลงทะเบียนเลยนะครับ" สำหรับใครจะขึ้นยอดที่เป็นจุดสูงสุดของที่นี้คือระดับ 2,102 เมตรก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับกิจกรรมนี้ แต่สำหรับผมทริปนี้ถือว่าเพียงพอแล้วขอเดินเล่นรอบๆลานในช่วงเช้าทำอาหารง่ายๆกินก่อนจะเก็บอุปกรณ์ต่างๆยัดกระเป๋าแล้วอำลาลงไปสู้งานต่อ สายแล้วที่ 9 โมงเช้าใครจะลงก็ต้องรีบเก็บเต้นท์ไม่งั้นแดดจะมาไล่เราเองนะครับ ผมก็ลงจากลานสนใช้เวลาลง 9:00 โมงเช้า มาถึงข้างล่างก็ 12:00 พอดิบพอดี มื้อเที่ยงคงจะต้องไปจัดการที่บ้านเลยเพราะไม่ไหวแล้ว สำหรับทริปนี้ไม่ได้มีค่ามช้จ่ายอะไรมากมายนอกจากค่าน้ำที่ซื้อข้างบนลานสนและน้ำอัดลม กับค่าเข้าอุทยานคืนเดียวไม่เปลืองอะไร ทริปนี้ทำให้รู้ว่าการเตรียมความพร้อมก็เป็นส่วนหนึ่งในการจะออกไปหาประสบการณ์การเดินเที่ยวขึ้นเขา เข้าป่า รับรองว่าโอกาสหน้าจะถ่ายรูปสวยๆเก็บมาไว้อวดบ้าง นะครับ ขอบคุณทุกๆคนที่หลงเข้ามาอ่านนะครับใครที่เคยไปแล้วเอารูปมาอวดมาแชร์กันได้ครับ
สำหรับผมก็ชอบรูปนี้ที่สุดเพราะถ่ายมาไม่เยอะมันดูสดใสดี