เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.prachachat.net/finance/news-1501442
สุกี้ตี๋น้อย ปี 2566 โกยกำไร 913 พันล้านบาท JMART รับส่วนแบ่งจากการถือหุ้น 30% จำนวน 274 ล้านบาท ปีที่แล้วขยายสาขาไปทั้งหมด 13 แห่ง
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลงบการเงินของ บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) ในปี 2566 ที่ประกาศออกมา มีผลขาดทุน 447 ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจำนวน 843 ล้านบาท JMART จะมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 396 ล้านบาท
ทั้งนี้ตามที่ JMART ได้เข้าไปลงทุนใน บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด หรือ “สุกี้ ตี๋น้อย-Suki Teenoi ที่สัดส่วนถือหุ้น 30%
ในรายงานงบการเงินพบว่า ปี 2566 ทาง JMART ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น “สุกี้ตี๋น้อย” จำนวน 274 ล้านบาท จากผลกำไรสุทธิรวม 913 ล้านบาท ไม่รวมการปันส่วนราคาซื้อ (PPA) และได้ดำเนินกิจกรรมการทางการตลาดร่วมกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ท เช่น การนำคะแนนสะสมแลกเป็นค่าบุฟเฟต์ตามที่กำหนด เป็นต้น
โดยปัจจุบัน “สุกี้ตี๋น้อย” มีสาขารวมทั้งหมด 55 สาขา (ณ สิ้นเดือน ธันวาคม 2566) โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา “สุกี้ตี๋น้อย” ได้เปิดสาขาเพิ่มขึ้น จำนวน 13 สาขา โดยสาขาที่เปิดเพิ่มมีส่วนหนึ่งที่ได้เริ่มขยายออกไปต่างจังหวัด เช่น ชลบุรี สุพรรณบุรี และนครราชสีมา เป็นต้น
ซึ่งเป็นทำเลที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างหนาแน่น ด้วยแนวคิดของการให้บริการที่เข้าถึงความต้องของลูกค้าที่อยากทานสุกี้ ชาบู ที่มีราคาคุ้มค่าต่อการบริโภค จึงทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างดี
JMART ควัก 1,200 ล้านบาท ถือหุ้น สุกี้ตี๋น้อย 30%
https://www.prachachat.net/ict/news-1134537
จุดเริ่มต้นของ “สุกี้ตี๋น้อย”
https://www.prachachat.net/marketing/news-1056987
เริ่มจากความคิดอยากทำธุรกิจร้านอาหารของคุณเฟิร์น “นัทธมน พิศาลกิจวนิช” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารในวัยไม่ถึง 30 ปี จากเดิมครอบครัวของเธอมีประสบการณ์การทำอาหารอยู่แล้ว แต่เธอต้องการสร้างความแตกต่าง และอยากทำร้านอาหารที่มีรสชาติมาตรฐานเดียวกัน จึงหนีไม่พ้นร้านบุฟเฟต์ชาบู โดยเน้นชูรสชาติอร่อย ถูกปากผู้บริโภค
หากย้อนกลับไป สุกี้ตี๋น้อย เปิดให้บริการสาขาแรก เมื่อช่วงปี 2560 ที่ย่านพิพิธภัณฑ์บ้านบางเขน (ตรงข้ามกรมทหารราบที่ 11 รอ.) โดยใช้เวลาการแจ้งเกิดอย่างรวดเร็ว จากกระแสบอกต่อช่องทางออนไลน์
Key Success แห่งความสำเร็จ
“นัทธมน” เคยบอกว่า หัวใจหลักของการเปิดร้านอาหาร ต้องมองที่ลูกค้าก่อนเป็นอันดับแรก คิดว่าทำยังไงลูกค้าถึงจะอยากกลับมาทานร้านเราอีก และอยากทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากที่สุด สิ่งที่ทำให้สุกี้ตี๋น้อยแตกต่างจากเจ้าอื่นในตลาด คือราคาเข้าถึงง่าย 199 บาท แม้ปัจจุบันจะปรับขึ้นมาเป็น 219 บาท ตามภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่คิวรอเข้าร้านยังยาวเหยียดทุกสาขา โดยมีเมนูอาหารให้เลือกกว่า 50 เมนู ทั้งหมู เนื้อ ไก่ และทะเล ซึ่งผู้บริหารสาวเคยบอกว่า จะต้องรักษามาตรฐานเดียวกันให้ได้ทุก ๆ สาขา
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ คือสาขาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบ
สแตนด์อะโลน มีพื้นที่จอดรถกว้างขวาง เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ไปจนถึง 05.00 น. ตลอดจนการตกแต่งร้านที่หรูหรา สะอาด และทันสมัย ทำให้สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ทั้งกลุ่มครอบครัว วัยทำงาน และวัยรุ่นทั่วไป ปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยมีจำนวนสาขา 32 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และเริ่มขยายออกไปในต่างจังหวัด โดยบางสาขามีจำนวนลูกค้าเฉลี่ยหลายพันคนต่อวัน
เปิดรายได้สุกี้ตี๋น้อย
หากย้อนดูรายได้สุกี้ตี๋น้อยย้อนหลังพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุก ๆ ปี
– ปี 2562 มีรายได้รวม 499 ล้านบาท กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท
– ปั 2563 มีรายได้รวม 1,217 ล้านบาท กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท
– ปี 2564 มีรายได้รวม 1,564 ล้านบาท กำไรสุทธิ 147 ล้านบาท
เป้าหมายเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
หลังจากมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ก่อนหน้านี้ “สุกี้ตี๋น้อย” มีแผนเตรียมนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2567 แต่สิ่งสำคัญต้องสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งก่อน ทำให้ต้องปรับปรุงครัวกลาง ที่ใช้เป็นจุดเก็บและระบบโลจิสติกส์กระจายสินค้าไปยังสาขาต่าง ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานมากขึ้น และจะสามารถรองรับสาขาที่เตรียมจะเปิดเพิ่มให้ครบ 60 แห่ง
สุกี้ตี๋น้อย ปี’66 กำไรเกือบพันล้าน JMART รับส่วนแบ่ง 274 ล้าน
https://www.prachachat.net/finance/news-1501442
สุกี้ตี๋น้อย ปี 2566 โกยกำไร 913 พันล้านบาท JMART รับส่วนแบ่งจากการถือหุ้น 30% จำนวน 274 ล้านบาท ปีที่แล้วขยายสาขาไปทั้งหมด 13 แห่ง
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลงบการเงินของ บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) ในปี 2566 ที่ประกาศออกมา มีผลขาดทุน 447 ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจำนวน 843 ล้านบาท JMART จะมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 396 ล้านบาท
ทั้งนี้ตามที่ JMART ได้เข้าไปลงทุนใน บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด หรือ “สุกี้ ตี๋น้อย-Suki Teenoi ที่สัดส่วนถือหุ้น 30%
ในรายงานงบการเงินพบว่า ปี 2566 ทาง JMART ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น “สุกี้ตี๋น้อย” จำนวน 274 ล้านบาท จากผลกำไรสุทธิรวม 913 ล้านบาท ไม่รวมการปันส่วนราคาซื้อ (PPA) และได้ดำเนินกิจกรรมการทางการตลาดร่วมกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ท เช่น การนำคะแนนสะสมแลกเป็นค่าบุฟเฟต์ตามที่กำหนด เป็นต้น
โดยปัจจุบัน “สุกี้ตี๋น้อย” มีสาขารวมทั้งหมด 55 สาขา (ณ สิ้นเดือน ธันวาคม 2566) โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา “สุกี้ตี๋น้อย” ได้เปิดสาขาเพิ่มขึ้น จำนวน 13 สาขา โดยสาขาที่เปิดเพิ่มมีส่วนหนึ่งที่ได้เริ่มขยายออกไปต่างจังหวัด เช่น ชลบุรี สุพรรณบุรี และนครราชสีมา เป็นต้น
ซึ่งเป็นทำเลที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างหนาแน่น ด้วยแนวคิดของการให้บริการที่เข้าถึงความต้องของลูกค้าที่อยากทานสุกี้ ชาบู ที่มีราคาคุ้มค่าต่อการบริโภค จึงทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างดี
JMART ควัก 1,200 ล้านบาท ถือหุ้น สุกี้ตี๋น้อย 30%
https://www.prachachat.net/ict/news-1134537
จุดเริ่มต้นของ “สุกี้ตี๋น้อย”
https://www.prachachat.net/marketing/news-1056987
เริ่มจากความคิดอยากทำธุรกิจร้านอาหารของคุณเฟิร์น “นัทธมน พิศาลกิจวนิช” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารในวัยไม่ถึง 30 ปี จากเดิมครอบครัวของเธอมีประสบการณ์การทำอาหารอยู่แล้ว แต่เธอต้องการสร้างความแตกต่าง และอยากทำร้านอาหารที่มีรสชาติมาตรฐานเดียวกัน จึงหนีไม่พ้นร้านบุฟเฟต์ชาบู โดยเน้นชูรสชาติอร่อย ถูกปากผู้บริโภค
หากย้อนกลับไป สุกี้ตี๋น้อย เปิดให้บริการสาขาแรก เมื่อช่วงปี 2560 ที่ย่านพิพิธภัณฑ์บ้านบางเขน (ตรงข้ามกรมทหารราบที่ 11 รอ.) โดยใช้เวลาการแจ้งเกิดอย่างรวดเร็ว จากกระแสบอกต่อช่องทางออนไลน์
Key Success แห่งความสำเร็จ
“นัทธมน” เคยบอกว่า หัวใจหลักของการเปิดร้านอาหาร ต้องมองที่ลูกค้าก่อนเป็นอันดับแรก คิดว่าทำยังไงลูกค้าถึงจะอยากกลับมาทานร้านเราอีก และอยากทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากที่สุด สิ่งที่ทำให้สุกี้ตี๋น้อยแตกต่างจากเจ้าอื่นในตลาด คือราคาเข้าถึงง่าย 199 บาท แม้ปัจจุบันจะปรับขึ้นมาเป็น 219 บาท ตามภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่คิวรอเข้าร้านยังยาวเหยียดทุกสาขา โดยมีเมนูอาหารให้เลือกกว่า 50 เมนู ทั้งหมู เนื้อ ไก่ และทะเล ซึ่งผู้บริหารสาวเคยบอกว่า จะต้องรักษามาตรฐานเดียวกันให้ได้ทุก ๆ สาขา
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ คือสาขาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบ
สแตนด์อะโลน มีพื้นที่จอดรถกว้างขวาง เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ไปจนถึง 05.00 น. ตลอดจนการตกแต่งร้านที่หรูหรา สะอาด และทันสมัย ทำให้สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ทั้งกลุ่มครอบครัว วัยทำงาน และวัยรุ่นทั่วไป ปัจจุบันสุกี้ตี๋น้อยมีจำนวนสาขา 32 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และเริ่มขยายออกไปในต่างจังหวัด โดยบางสาขามีจำนวนลูกค้าเฉลี่ยหลายพันคนต่อวัน
เปิดรายได้สุกี้ตี๋น้อย
หากย้อนดูรายได้สุกี้ตี๋น้อยย้อนหลังพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุก ๆ ปี
– ปี 2562 มีรายได้รวม 499 ล้านบาท กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท
– ปั 2563 มีรายได้รวม 1,217 ล้านบาท กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท
– ปี 2564 มีรายได้รวม 1,564 ล้านบาท กำไรสุทธิ 147 ล้านบาท
เป้าหมายเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
หลังจากมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ก่อนหน้านี้ “สุกี้ตี๋น้อย” มีแผนเตรียมนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2567 แต่สิ่งสำคัญต้องสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งก่อน ทำให้ต้องปรับปรุงครัวกลาง ที่ใช้เป็นจุดเก็บและระบบโลจิสติกส์กระจายสินค้าไปยังสาขาต่าง ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานมากขึ้น และจะสามารถรองรับสาขาที่เตรียมจะเปิดเพิ่มให้ครบ 60 แห่ง