ตอนนี้มีเรื่องหนักใจประมาณว่าครอบครัวพี่น้องท้องเดียวกันเห็นแก่ตัวประจำรับผิดชอบในเรื่องของการดูแลผู้สูงอายุที่บ้านครับ จึงมาขอคำปรึกษาทุกคนจากในกระทู้โพสต์นี้
ขออนุญาตเล่าพื้นฐานครอบครัวก่อนนะครับ
ที่บ้านจะมีพี่น้องกัน 3 คน และพื้นฐานของที่บ้านเมื่อสมัยที่คุณพ่อคุณแม่ยังทำงานอยู่เปิดร้านขายกับข้าวเล็กๆอยู่แถวชานเมืองกรุงเทพ ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากแต่ก็มีบ้านของตัวเองอยู่ครับ คุณพ่อคุณแม่มีพี่น้อง 3 คนเจ้าของกระทู้คือบุตรคนสุดท้องครับ คนโตพี่สาวคนรองพี่ชาย
ต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นที่เจ้าของกระทู้คิดว่าเป็นเหตุการณ์ของทุกอย่างในวันนี้คือด้วยความที่สมัยก่อน คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีฐานะมั่นคงจึงต้องขายกับข้าวโดยอาศัยลูกคนแรกต้องช่วยงานที่บ้านตามสไตล์คนจีน ซึ่ง ก่อนที่จะเปิดร้านคุณพ่อต้องขายกับข้าวผ่านรถที่วิ่งไปตามบ้าน หลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นจนได้ซื้อบ้านและขายกับข้าวในบ้านเป็นหลักเป็นแหล่ง หลังจากนั้นลูกคนที่ 2 ก็ได้ออกมาซึ่งก็คือพี่ชาย และในท้ายที่สุดก็มีเจ้าของกระทู้ออกมานั่นเองครับ สิ่งที่ทำให้เจ้าของกระทู้ คิดว่า เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ทำให้พี่สาวและพี่ชายเริ่มมีปมตั้งแต่เด็กคือ ฐานะที่บ้านไม่ได้ถึงกับร่ำรวยและปานกลางมีฐานะแบบชาวบ้านชานเมืองทั่วไปจึงต้องอาศัยแรงของลูกสาวที่พอจะเริ่มโตแล้วอยู่ในช่วงประถมช่วยงาน ผ่อนเบาภาระ ช่วยเสิร์ฟ ช่วยล้างจาน และงานที่ค่อนข้างมีรายละเอียดจุกจิก พี่สาวจึงคิดว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงต้องคิดว่าต้องใช้งานแต่ตัวพี่สาวมากกว่าน้องอีก 2 คนครับ
แต่เท่าที่เราจำความได้พอเราเริ่มโตช่วงนั้นอยู่ในวัยของประถมปลาย ก็จะมีพี่ชายที่ช่วยกันแบ่งเบาภาระต่อจากพี่สาว แต่ด้วยความที่พี่สาวก็มองว่าหน้าที่ของบุตรคนโตเยอะกว่าน้องๆและผมเป็นลูกคนเล็ก เวลาที่ผมงอแงหรือดื้อซนคุณพ่อคุณแม่ก็มักจะโอ๋เป็นพิเศษเพราะเป็นน้องเล็ก นั่นจึง เป็นเหตุผลที่คิดว่าน่าจะเป็นปมของทำให้พี่สาวคิดว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน และเกิดความอิจฉาว่าทำไมถึงโอ๋น้องไม่เท่ากัน
วันเวลาเริ่มผ่านไป คุณพ่อคุณแม่เริ่มแก่ลงและเราเริ่มโตขึ้น ก็จะมีเหตุการณ์แปลกๆระหว่างทางตรงที่ว่า พอพี่สาวเริ่มโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เห็นเพื่อนๆคนอื่นเขามีแฟนมีความรัก พี่สาวผมก็เริ่มน้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาอาจจะเป็นคนไม่สวยเลยไม่มีใครมองเห็นทำให้ยิ่งน้อยใจเข้าไปอีกครับ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ ก็พยายามลดปมตรงนี้ จากตอนเด็กตอนที่ไม่มีฐานะก็เรียนโรงเรียนวัดแถวบ้านจนมาตอนมัธยมปลายก็ส่งเรียนเอกชนชื่อดัง ในกรุงเทพแห่งหนึ่ง เมื่อสมัย 30 ปีที่แล้วค่าเทอมมัธยมปลาย ประมาณหมื่นกว่าครับ จบจากมัธยมปลายส่งเสียเรียนป.ตรีมหาลัยเอกชนจบครับ ปัจจุบันเป็นข้าราชการ ระดับกลาง มีบุตรสาว 1 ท่าน
มาฟังโปรไฟล์คร่าวๆของพี่ชายบ้างครับ พี่ชายและพี่สาวอายุห่างกันประมาณ 5 ปีครับ ปัจจุบันที่ชายอายุ 40 + ในช่วงที่ คุณพ่อคุณแม่ส่งพี่สาวเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้านตอนนั้นเริ่มมีฐานะขึ้นเล็กๆแล้วครับ ก็เลยส่งพี่ชายเรียนโรงเรียนเอกชนแถวบ้าน ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมต้น จบปวชปวส. จากเอกชนใจกลางเมือง จากนั้น คุณพ่อคุณแม่ ส่งเรียนราชภัฏแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯแต่เรียนไม่จบ ( ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไรครับ) คนนี้โชคดีที่สุดครับเพราะไม่ต้องกู้เรียนและไม่ต้องเรียนโรงเรียนวัดมาก่อน เป็นคนที่แยกตัวออกไปนานแล้ว และเป็นคนติดครอบครัวและฟังภรรยา มากๆครับ ปัจจุบันมีครอบครัวย้ายออก มีลูก1คน ทำงานรับจ้างทั่วไปแต่ส่วนมากเป็นพนักงานส่งของพาร์ทไทม์บริษัทเอกชน
ที่นี้มาเข้าเรื่องกันได้เลยครับ ในระหว่างที่ทำธุรกิจขายกับข้าวตอนที่ชีวิตเริ่มดีขึ้นเหมือนพายุลูกใหญ่เข้ามาในบ้าน คุณแม่ป่วยเป็น เส้นเลือดในสมองแตก ธุรกิจไปต่อไม่ได้ และแน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาเพราะไม่ได้สมัครประกันไว้ ตอนนั้นพี่สาวมีครอบครัว มีสมาชิกเพิ่ม 1 คนคือ พี่เขยเข้ามาในบ้าน พี่สาวต้องไป ธุระกู้เงินมารักษาคุณแม่ทุกอย่างในบ้านดูสะดุดไปหมดเพราะไม่มีใครทำกับข้าวขายอีกแล้ว และ ติดปัญหาในการส่งลูกเรียนต่อครับ
ส่วนในเรื่องของพี่เขยนั้นตั้งแต่วันที่เข้ามาในบ้านจนถึงปัจจุบันไม่เคย support อะไรเลย ตั้งแต่คบกันเป็นแฟนจนแต่งงานเป็นสามีภรรยากับพี่สาว กินอยู่ฟรีที่บ้านคุณพ่อคุณแม่รักเหมือนได้ลูกชายเพิ่ม 1 คน แม้กระทั่งเหตุการณ์ปี 54 ที่น้ำท่วมบ้านของผมก็โดนผลกระทบครับ สืบเนื่องจากย่อหน้าด้านบนที่คุณแม่ป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตกแล้ว จะไปขอพึ่งพิงบ้านพี่เขย พ่อแม่ของทางพี่เขยก็เรียกเก็บเงินค่าน้ำไฟ ก่อนเข้าบ้านเพราะทุกอย่างที่ไปอยู่มีค่าใช้จ่ายครับ
เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่มีสมาชิกเป็นพี่เขย 1 คนก็ได้มีลูกสาวตอนนั้นเท่ากับว่าที่บ้านจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 1 คน จากพี่สาวนะครับ หลังจากนั้นค่าใช้จ่ายในบ้านเนื่องจากคุณแม่ไม่สามารถทำธุรกิจขายกับข้าวต่อได้แล้วนะครับ คุณพ่อจึงต้องดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ค่าใช้จ่ายจึงมาตกอยู่ที่ ผมและพี่สาว เพราะเป็นบุคคลที่มีรายได้ในบ้าน
ก็เกิดปัญหาเรื่องค่าไฟครับ
เรื่องที่ 1 ที่บ้านมีเครื่องปรับอากาศ 1 เครื่องที่ห้องนอนของพี่สาว ดังนั้นสามีและลูกจะอยู่ที่ห้องนอนของพี่สาว ห้องนอนของผมก็จะแยกออกมา 1 ห้องนอนพัดลมปกติ และคุณพ่อคุณแม่จะต้องนอนด้านล่างเพื่อความสะดวกสำหรับผู้ป่วยครับ ก่อนที่คุณแม่จะเสีย ผมรับผิดชอบค่าน้ำ และพี่สาวรับผิดชอบค่าไฟ แต่ตอนนั้นก็เริ่มได้กลิ่นที่ไม่ดีแล้วนะครับเพราะพี่สาวต้องการให้ผมหายค่าไฟด้วย
เรื่องที่ 2 พี่สาว support เรื่องสวัสดิการดูแลความเจ็บป่วยของคุณพ่อคุณแม่ครับเนื่องจากไปราชการ การศึกษาของผมนั้นเนื่องจากอายุห่างกับพี่ชายไม่มากประถมจึงได้เรียนโรงเรียนเอกชนที่เดียวกับพี่ชายและมัธยมอยู่ในช่วงที่คุณแม่ป่วยพอดี ธุรกิจเริ่มติดขัด ผมต้องกู้กยศ ( พอสถานการณ์ที่บ้านเริ่มคลี่คลาย คุณพ่อคุณแม่ให้เงินมาปิดกยศ 200,000 บาท ซึ่งจริงๆหนี้กยศผมมากกว่านั้นครับ ) ส่วนผมให้เงินเดือน ประมาณ 30-40% (เทียบจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท) และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึง การซื้อ ของอุปโภคบริโภคเข้าบ้านซะส่วนใหญ่เป็นหลักครับ อยู่มาวันนึง ช่วงก่อนโควิดผมตัดสินใจออกมาซื้อบ้าน เพราะคุณแม่เสีย แล้วผมมีปัญหา กับพี่สาวและครอบครัวของเขาครับ ปัจจุบันผมตกงานมีหนี้เป็นบ้าน 1 หลัง ( ตอนซื้อบ้านพ่อผมช่วยค่าทำบ้าน 100,000 บาท ) และได้รายได้จากการทำงานอิสระ รายได้ไม่หรูหราแต่ไม่ถึงกับลำบาก ประมาณ20,000 ( รายได้กลมๆ ที่ยังไม่ได้ผ่อนบ้านและใช้ชีวิตประจำวัน)
เรื่องที่ 3 ในช่วงที่ผมยังอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ผมก็มีแฟนเข้ามาครับ แล้วแฟนผมก็มีความคิดว่า ห้องนอนผมมันร้อนมากๆเวลาทำงานเสร็จอยากเปิดแอร์นอนพักผ่อนจึงได้ติดแอร์ 1 เครื่อง เท่ากับว่าตอนนี้ที่บ้านมีแอร์ 2 เครื่องแล้วนะครับ และได้ติดเครื่องทำน้ำอุ่นอีก 1 เครื่อง จะได้อาบสบายๆกันครับ จากที่ผมต้องรับผิดชอบเรื่องค่าน้ำกลายเป็นต้องรับผิดชอบเรื่องค่าไฟไปด้วย ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ไม่แฟร์ เพราะว่าสายงานของผมคือ ทำงานไม่เป็นเวลาอยู่ข้างนอกซะส่วนใหญ่ ประเมินว่า ใน 1 สัปดาห์ ใช้เวลาอยู่ในบ้านประมาณ 8 ชั่วโมง และบางวันผมก็ไปนอนบ้านแฟนครับ แต่พอค่าไฟมากลายเป็นว่าผมต้องหารครึ่ง เขามองว่าจ่ายเป็นครอบครัว ผมจึงขอติดมิเตอร์ในห้องนอน แต่พี่สาว และทางครอบครัวมองว่าแล้วห้องรับแขกใครเป็นคนออกค่าไฟ ( เครื่องใช้ ไฟฟ้าในห้องรับแขกมีแค่วิทยุ , หลอดไฟ t8 ที่เป็นหลอดยาว , พัดลมไอเย็น , ตู้เย็น 2 ประตูบนล่างขนาดวางไว้ที่คอนโด 2 เครื่อง , เครื่องซักผ้าอีก 2 เครื่อง , เครื่องทำน้ำอุ่น 1ครับ )
ไม่มีเตาไฟฟ้า ไม่มีทีวี ไม่มีไมโครเวฟ, ไม่มีชุดโฮมเธียเตอร์
ประจวบเหมาะกับตอนนั้นคุณแม่ป่วย แล้วเสีย จึงมีปากเสียงกัน เรื่องค่าไฟ เวลาที่พี่สาวให้เงินเดือนคุณพ่อมา เวลาที่ครอบครัวเขาไม่พอใจอยากให้ผมจ่ายค่าไฟ ทุกครั้งก่อนหน้านั้นคุณพ่อจะทด เงินค่าไฟกลับไปให้ครับ รายละเอียดเพิ่มเติมนะครับ หลังจากที่ผมติดแอร์และติดเครื่องทำน้ำอุ่นเพิ่มขึ้นค่าไฟเพิ่มขึ้นมาประมาณ 700 บาทครับ
แล้ววันนั้นที่เราต้องมีปัญหากันเพราะคุณพ่อไม่ได้อยู่ที่บ้าน หลังจากที่เรามีปากเสียงกัน พี่เขย ก็เสนอความคิดเห็นกับพี่สาวว่า จะทำร้ายแฟนผม และผม เพราะวันที่มีปากเสียงกัน เขาไม่พอใจหลายๆอย่าง ที่ผมและแฟนให้ความคิดเห็น เราจึงตัดสินใจว่าเราควรออกมาซื้อบ้าน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าครับ
เรื่องที่ 4 ดูเหมือนทุกอย่างจะจบได้สวยแล้วเพราะเราแยกครอบครัวออกมา แต่ด้วยความที่พื้นฐานเหมือนพี่สาวของผมเป็นคนมีปมค่อนข้างเก็บกดหรือเรียกว่าเป็นคนขี้อิจฉาได้เลย ( ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ช่วงที่ผมเริ่มเก็บเงินได้ผมมีความฝันที่จะไปเที่ยวต่างประเทศเป็นประเทศเอเชียใกล้ๆ พี่สาวผมจึงมองว่าไปเที่ยวได้แต่ทำไมช่วยออกค่าไฟไม่ได้) แต่แล้วพอผมออกไปซื้อบ้านความสามารถในการให้เงินเดือนคุณพ่อก็ลดลงจึงทำให้เหมือนพี่สาวต้องรับภาระ ที่เป็นหลัก และทางพี่สาวและพี่ชาย ก็เริ่มตะล่อมถามคุณพ่อว่า บ้านหลังปัจจุบันที่อยู่ จะยกให้กับใคร เพราะคุณพ่อเริ่มอายุเยอะแล้วครับ คุณพ่อกับผมจึงได้ปรึกษากัน และคุณพ่อตัดสินใจทำพินัยกรรม อันนี้คุณพ่อบอกนะครับว่าหารให้ลูกเท่ากันทุกคน
เข้าเรื่องเลยนะครับ
ตอนนี้คุณพ่อ75+ เริ่มป่วยเป็นมะเร็ง เพราะทุกคนเริ่มรู้เรื่องนี้ พี่สาวตัดสินใจออกไปซื้อบ้านไม่สะดวกใจที่จะให้เงินเดือนพ่อต่อไป ( และพ่อของผมก็รู้สึกไม่ค่อยปลื้มพี่เคยด้วยครับ ที่เป็นคนชอบเอาเปรียบทัศนคติที่ทำให้เหนื่อยใจ) พี่ชายที่แต่งงานแยกครอบครัวออกไปก็กลับมาหลอกเงินเก็บพ่อ ไปจนหมด ย้ำว่า เงินเก็บจานเกษียณ หลอกไปหมด 100% ครับ พอผมรู้ก็เลยพยายามตามจนเอาเงินมาคืน ประมาณ 10% จากที่หลอกไปครับ
อาการของพ่อเริ่มทรุดลงเรื่อยๆ ไม่ไหว จนหมอเสนอทางเลือกให้ผ่าตัด ส่วนตัวผมคิดว่าไม่อยากให้ผ่าเพราะมีโรคประจำตัวอีกหลายๆโรค แต่บางทีการเจ็บปวดรอไม่ได้นะครับคุณพ่ออยากผ่าแต่ไม่มีส่วนต่าง ที่นอกเหนือจากสิทธิข้าราชการ ตอนนี้กลายเป็นพี่น้องจากที่มีปัญหากันอยู่แล้ว พี่สาวก็ยังคงมองว่าพ่อไม่ยุติธรรมที่ไม่ใช้ผมให้ไปดูแลบ้าง แต่ผมรู้สึกว่าตอนที่คุณแม่ยังอยู่ผมก็ทุ่มเท จนผมแทบจะแย่แล้วนะครับ ทุกวันนี้ดูแลคุณพ่อได้เท่าที่ไหว เวลาไม่เจอกันก็เลือกโทรศัพท์คุยกัน แต่อย่างว่าแหละครับสิ่งที่คุณพ่อต้องการ ไม่ใช่เรื่องการดูแลจะบุตรหลานเท่าไหร่ แต่ต้องการ budget ที่ใช้ในการผ่าตัดเพราะทนกับความเจ็บปวดไม่ไหว
แต่คุณพ่อ ก็เลือกที่จะไม่ตามเงินกับลูกชาย เพราะท่านให้เหตุผลว่าลูกชายไม่มีครับ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าอย่างไรควรจะผ่อนคืน ไม่มากก็น้อยต้องผ่อนคืนนะครับเพราะว่าเป็นเงินของคุณพ่อ ( ผมคิดว่าชนวนเหตุที่พี่ชายของผมต้องไปเอาเงินจากคุณพ่อ เพราะโกรธที่พ่อไม่ยกบ้านให้ เนื่องจากบ้านของผมเป็นธรรมเนียมจีนซึ่งหลายๆบ้านลูกชายจะต้องเป็นคนได้มรดกตรงนี้ และพี่ก็ยังมีลูกชายด้วยครับ บวกกับคงมองว่าพ่อไม่ยุติธรรมที่ให้เงินผมมาปิดกยศกับช่วยค่าทำบ้าน จากย่อหน้าด้านบน ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกโกรธ)
ปัจจุบันคำถามมีอยู่ว่า ผมควรจะทำยังไงดีครับ เพราะคุณพ่อท่านก็ไม่สบายใจ ที่ต้องไปทวงเงินกับลูกชาย และผมก็ไม่มีเงินที่จะ support ท่านต่อ เนื่องจากภาระหนี้บ้าน เพราะถ้าผมขายบ้านทิ้งนั้นหมายความว่าผมไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนแน่นอนครับ เพราะพี่สองคนคงไม่ให้ผมอยู่บ้านของพ่อหลังนี้ต่อไป ต้องการขายเผื่อนำไปจุนเจือครอบครัวตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าผมจะมีที่นอนหรืออยู่ตรงไหนของโลกใบนี้ พี่ทั้งสองต้องการให้ครอบครัวตัวเองสุขสบายเท่านั้น และตอนนี้ พี่ของผมทั้งสอง ก็ต้องการมรดกมากๆ แบบไม่ดูแล และไม่อยากเสียค่าใช้ใดๆทั้งสิ้น คุณพ่อต้องบังคับเรียกทีบังคับทีถึงจะมาเจอบ้างนะครับ และ พี่ทั้งสองรวมไปถึงญาติๆก็ลงความเห็นว่าผมจะต้องเป็นคนรับภาระพ่อทั้งหมดเพราะผมไม่มีครอบครัว และผมดูสบายที่สุดเพราะไม่มีภาระเรื่องลูก ผมท้อและสิ้นหวังกับครอบครัวแบบนี้ จึงอยากหาทางแยกให้กับตัวเอง. เชิญ วิจารณ์ตามจริงได้เลยนะครับ ขอบคุณมากๆครับสำหรับพื้นที่ตรงนี้ที่ให้ผมระบาย
#อยากเป็นตัวของตัวเอง
ทำยังไงดีพี่น้องเห็นแก่ตัว แย่งมรดกกัน แต่ไม่ดูแลบุพการี
ขออนุญาตเล่าพื้นฐานครอบครัวก่อนนะครับ
ที่บ้านจะมีพี่น้องกัน 3 คน และพื้นฐานของที่บ้านเมื่อสมัยที่คุณพ่อคุณแม่ยังทำงานอยู่เปิดร้านขายกับข้าวเล็กๆอยู่แถวชานเมืองกรุงเทพ ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากแต่ก็มีบ้านของตัวเองอยู่ครับ คุณพ่อคุณแม่มีพี่น้อง 3 คนเจ้าของกระทู้คือบุตรคนสุดท้องครับ คนโตพี่สาวคนรองพี่ชาย
ต้องบอกว่าจุดเริ่มต้นที่เจ้าของกระทู้คิดว่าเป็นเหตุการณ์ของทุกอย่างในวันนี้คือด้วยความที่สมัยก่อน คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีฐานะมั่นคงจึงต้องขายกับข้าวโดยอาศัยลูกคนแรกต้องช่วยงานที่บ้านตามสไตล์คนจีน ซึ่ง ก่อนที่จะเปิดร้านคุณพ่อต้องขายกับข้าวผ่านรถที่วิ่งไปตามบ้าน หลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นจนได้ซื้อบ้านและขายกับข้าวในบ้านเป็นหลักเป็นแหล่ง หลังจากนั้นลูกคนที่ 2 ก็ได้ออกมาซึ่งก็คือพี่ชาย และในท้ายที่สุดก็มีเจ้าของกระทู้ออกมานั่นเองครับ สิ่งที่ทำให้เจ้าของกระทู้ คิดว่า เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ทำให้พี่สาวและพี่ชายเริ่มมีปมตั้งแต่เด็กคือ ฐานะที่บ้านไม่ได้ถึงกับร่ำรวยและปานกลางมีฐานะแบบชาวบ้านชานเมืองทั่วไปจึงต้องอาศัยแรงของลูกสาวที่พอจะเริ่มโตแล้วอยู่ในช่วงประถมช่วยงาน ผ่อนเบาภาระ ช่วยเสิร์ฟ ช่วยล้างจาน และงานที่ค่อนข้างมีรายละเอียดจุกจิก พี่สาวจึงคิดว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงต้องคิดว่าต้องใช้งานแต่ตัวพี่สาวมากกว่าน้องอีก 2 คนครับ
แต่เท่าที่เราจำความได้พอเราเริ่มโตช่วงนั้นอยู่ในวัยของประถมปลาย ก็จะมีพี่ชายที่ช่วยกันแบ่งเบาภาระต่อจากพี่สาว แต่ด้วยความที่พี่สาวก็มองว่าหน้าที่ของบุตรคนโตเยอะกว่าน้องๆและผมเป็นลูกคนเล็ก เวลาที่ผมงอแงหรือดื้อซนคุณพ่อคุณแม่ก็มักจะโอ๋เป็นพิเศษเพราะเป็นน้องเล็ก นั่นจึง เป็นเหตุผลที่คิดว่าน่าจะเป็นปมของทำให้พี่สาวคิดว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน และเกิดความอิจฉาว่าทำไมถึงโอ๋น้องไม่เท่ากัน
วันเวลาเริ่มผ่านไป คุณพ่อคุณแม่เริ่มแก่ลงและเราเริ่มโตขึ้น ก็จะมีเหตุการณ์แปลกๆระหว่างทางตรงที่ว่า พอพี่สาวเริ่มโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เห็นเพื่อนๆคนอื่นเขามีแฟนมีความรัก พี่สาวผมก็เริ่มน้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาอาจจะเป็นคนไม่สวยเลยไม่มีใครมองเห็นทำให้ยิ่งน้อยใจเข้าไปอีกครับ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ ก็พยายามลดปมตรงนี้ จากตอนเด็กตอนที่ไม่มีฐานะก็เรียนโรงเรียนวัดแถวบ้านจนมาตอนมัธยมปลายก็ส่งเรียนเอกชนชื่อดัง ในกรุงเทพแห่งหนึ่ง เมื่อสมัย 30 ปีที่แล้วค่าเทอมมัธยมปลาย ประมาณหมื่นกว่าครับ จบจากมัธยมปลายส่งเสียเรียนป.ตรีมหาลัยเอกชนจบครับ ปัจจุบันเป็นข้าราชการ ระดับกลาง มีบุตรสาว 1 ท่าน
มาฟังโปรไฟล์คร่าวๆของพี่ชายบ้างครับ พี่ชายและพี่สาวอายุห่างกันประมาณ 5 ปีครับ ปัจจุบันที่ชายอายุ 40 + ในช่วงที่ คุณพ่อคุณแม่ส่งพี่สาวเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้านตอนนั้นเริ่มมีฐานะขึ้นเล็กๆแล้วครับ ก็เลยส่งพี่ชายเรียนโรงเรียนเอกชนแถวบ้าน ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมต้น จบปวชปวส. จากเอกชนใจกลางเมือง จากนั้น คุณพ่อคุณแม่ ส่งเรียนราชภัฏแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯแต่เรียนไม่จบ ( ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไรครับ) คนนี้โชคดีที่สุดครับเพราะไม่ต้องกู้เรียนและไม่ต้องเรียนโรงเรียนวัดมาก่อน เป็นคนที่แยกตัวออกไปนานแล้ว และเป็นคนติดครอบครัวและฟังภรรยา มากๆครับ ปัจจุบันมีครอบครัวย้ายออก มีลูก1คน ทำงานรับจ้างทั่วไปแต่ส่วนมากเป็นพนักงานส่งของพาร์ทไทม์บริษัทเอกชน
ที่นี้มาเข้าเรื่องกันได้เลยครับ ในระหว่างที่ทำธุรกิจขายกับข้าวตอนที่ชีวิตเริ่มดีขึ้นเหมือนพายุลูกใหญ่เข้ามาในบ้าน คุณแม่ป่วยเป็น เส้นเลือดในสมองแตก ธุรกิจไปต่อไม่ได้ และแน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาเพราะไม่ได้สมัครประกันไว้ ตอนนั้นพี่สาวมีครอบครัว มีสมาชิกเพิ่ม 1 คนคือ พี่เขยเข้ามาในบ้าน พี่สาวต้องไป ธุระกู้เงินมารักษาคุณแม่ทุกอย่างในบ้านดูสะดุดไปหมดเพราะไม่มีใครทำกับข้าวขายอีกแล้ว และ ติดปัญหาในการส่งลูกเรียนต่อครับ
ส่วนในเรื่องของพี่เขยนั้นตั้งแต่วันที่เข้ามาในบ้านจนถึงปัจจุบันไม่เคย support อะไรเลย ตั้งแต่คบกันเป็นแฟนจนแต่งงานเป็นสามีภรรยากับพี่สาว กินอยู่ฟรีที่บ้านคุณพ่อคุณแม่รักเหมือนได้ลูกชายเพิ่ม 1 คน แม้กระทั่งเหตุการณ์ปี 54 ที่น้ำท่วมบ้านของผมก็โดนผลกระทบครับ สืบเนื่องจากย่อหน้าด้านบนที่คุณแม่ป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตกแล้ว จะไปขอพึ่งพิงบ้านพี่เขย พ่อแม่ของทางพี่เขยก็เรียกเก็บเงินค่าน้ำไฟ ก่อนเข้าบ้านเพราะทุกอย่างที่ไปอยู่มีค่าใช้จ่ายครับ
เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่มีสมาชิกเป็นพี่เขย 1 คนก็ได้มีลูกสาวตอนนั้นเท่ากับว่าที่บ้านจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 1 คน จากพี่สาวนะครับ หลังจากนั้นค่าใช้จ่ายในบ้านเนื่องจากคุณแม่ไม่สามารถทำธุรกิจขายกับข้าวต่อได้แล้วนะครับ คุณพ่อจึงต้องดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ค่าใช้จ่ายจึงมาตกอยู่ที่ ผมและพี่สาว เพราะเป็นบุคคลที่มีรายได้ในบ้าน
ก็เกิดปัญหาเรื่องค่าไฟครับ
เรื่องที่ 1 ที่บ้านมีเครื่องปรับอากาศ 1 เครื่องที่ห้องนอนของพี่สาว ดังนั้นสามีและลูกจะอยู่ที่ห้องนอนของพี่สาว ห้องนอนของผมก็จะแยกออกมา 1 ห้องนอนพัดลมปกติ และคุณพ่อคุณแม่จะต้องนอนด้านล่างเพื่อความสะดวกสำหรับผู้ป่วยครับ ก่อนที่คุณแม่จะเสีย ผมรับผิดชอบค่าน้ำ และพี่สาวรับผิดชอบค่าไฟ แต่ตอนนั้นก็เริ่มได้กลิ่นที่ไม่ดีแล้วนะครับเพราะพี่สาวต้องการให้ผมหายค่าไฟด้วย
เรื่องที่ 2 พี่สาว support เรื่องสวัสดิการดูแลความเจ็บป่วยของคุณพ่อคุณแม่ครับเนื่องจากไปราชการ การศึกษาของผมนั้นเนื่องจากอายุห่างกับพี่ชายไม่มากประถมจึงได้เรียนโรงเรียนเอกชนที่เดียวกับพี่ชายและมัธยมอยู่ในช่วงที่คุณแม่ป่วยพอดี ธุรกิจเริ่มติดขัด ผมต้องกู้กยศ ( พอสถานการณ์ที่บ้านเริ่มคลี่คลาย คุณพ่อคุณแม่ให้เงินมาปิดกยศ 200,000 บาท ซึ่งจริงๆหนี้กยศผมมากกว่านั้นครับ ) ส่วนผมให้เงินเดือน ประมาณ 30-40% (เทียบจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท) และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึง การซื้อ ของอุปโภคบริโภคเข้าบ้านซะส่วนใหญ่เป็นหลักครับ อยู่มาวันนึง ช่วงก่อนโควิดผมตัดสินใจออกมาซื้อบ้าน เพราะคุณแม่เสีย แล้วผมมีปัญหา กับพี่สาวและครอบครัวของเขาครับ ปัจจุบันผมตกงานมีหนี้เป็นบ้าน 1 หลัง ( ตอนซื้อบ้านพ่อผมช่วยค่าทำบ้าน 100,000 บาท ) และได้รายได้จากการทำงานอิสระ รายได้ไม่หรูหราแต่ไม่ถึงกับลำบาก ประมาณ20,000 ( รายได้กลมๆ ที่ยังไม่ได้ผ่อนบ้านและใช้ชีวิตประจำวัน)
เรื่องที่ 3 ในช่วงที่ผมยังอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ผมก็มีแฟนเข้ามาครับ แล้วแฟนผมก็มีความคิดว่า ห้องนอนผมมันร้อนมากๆเวลาทำงานเสร็จอยากเปิดแอร์นอนพักผ่อนจึงได้ติดแอร์ 1 เครื่อง เท่ากับว่าตอนนี้ที่บ้านมีแอร์ 2 เครื่องแล้วนะครับ และได้ติดเครื่องทำน้ำอุ่นอีก 1 เครื่อง จะได้อาบสบายๆกันครับ จากที่ผมต้องรับผิดชอบเรื่องค่าน้ำกลายเป็นต้องรับผิดชอบเรื่องค่าไฟไปด้วย ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ไม่แฟร์ เพราะว่าสายงานของผมคือ ทำงานไม่เป็นเวลาอยู่ข้างนอกซะส่วนใหญ่ ประเมินว่า ใน 1 สัปดาห์ ใช้เวลาอยู่ในบ้านประมาณ 8 ชั่วโมง และบางวันผมก็ไปนอนบ้านแฟนครับ แต่พอค่าไฟมากลายเป็นว่าผมต้องหารครึ่ง เขามองว่าจ่ายเป็นครอบครัว ผมจึงขอติดมิเตอร์ในห้องนอน แต่พี่สาว และทางครอบครัวมองว่าแล้วห้องรับแขกใครเป็นคนออกค่าไฟ ( เครื่องใช้ ไฟฟ้าในห้องรับแขกมีแค่วิทยุ , หลอดไฟ t8 ที่เป็นหลอดยาว , พัดลมไอเย็น , ตู้เย็น 2 ประตูบนล่างขนาดวางไว้ที่คอนโด 2 เครื่อง , เครื่องซักผ้าอีก 2 เครื่อง , เครื่องทำน้ำอุ่น 1ครับ )
ไม่มีเตาไฟฟ้า ไม่มีทีวี ไม่มีไมโครเวฟ, ไม่มีชุดโฮมเธียเตอร์
ประจวบเหมาะกับตอนนั้นคุณแม่ป่วย แล้วเสีย จึงมีปากเสียงกัน เรื่องค่าไฟ เวลาที่พี่สาวให้เงินเดือนคุณพ่อมา เวลาที่ครอบครัวเขาไม่พอใจอยากให้ผมจ่ายค่าไฟ ทุกครั้งก่อนหน้านั้นคุณพ่อจะทด เงินค่าไฟกลับไปให้ครับ รายละเอียดเพิ่มเติมนะครับ หลังจากที่ผมติดแอร์และติดเครื่องทำน้ำอุ่นเพิ่มขึ้นค่าไฟเพิ่มขึ้นมาประมาณ 700 บาทครับ
แล้ววันนั้นที่เราต้องมีปัญหากันเพราะคุณพ่อไม่ได้อยู่ที่บ้าน หลังจากที่เรามีปากเสียงกัน พี่เขย ก็เสนอความคิดเห็นกับพี่สาวว่า จะทำร้ายแฟนผม และผม เพราะวันที่มีปากเสียงกัน เขาไม่พอใจหลายๆอย่าง ที่ผมและแฟนให้ความคิดเห็น เราจึงตัดสินใจว่าเราควรออกมาซื้อบ้าน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าครับ
เรื่องที่ 4 ดูเหมือนทุกอย่างจะจบได้สวยแล้วเพราะเราแยกครอบครัวออกมา แต่ด้วยความที่พื้นฐานเหมือนพี่สาวของผมเป็นคนมีปมค่อนข้างเก็บกดหรือเรียกว่าเป็นคนขี้อิจฉาได้เลย ( ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ช่วงที่ผมเริ่มเก็บเงินได้ผมมีความฝันที่จะไปเที่ยวต่างประเทศเป็นประเทศเอเชียใกล้ๆ พี่สาวผมจึงมองว่าไปเที่ยวได้แต่ทำไมช่วยออกค่าไฟไม่ได้) แต่แล้วพอผมออกไปซื้อบ้านความสามารถในการให้เงินเดือนคุณพ่อก็ลดลงจึงทำให้เหมือนพี่สาวต้องรับภาระ ที่เป็นหลัก และทางพี่สาวและพี่ชาย ก็เริ่มตะล่อมถามคุณพ่อว่า บ้านหลังปัจจุบันที่อยู่ จะยกให้กับใคร เพราะคุณพ่อเริ่มอายุเยอะแล้วครับ คุณพ่อกับผมจึงได้ปรึกษากัน และคุณพ่อตัดสินใจทำพินัยกรรม อันนี้คุณพ่อบอกนะครับว่าหารให้ลูกเท่ากันทุกคน
เข้าเรื่องเลยนะครับ
ตอนนี้คุณพ่อ75+ เริ่มป่วยเป็นมะเร็ง เพราะทุกคนเริ่มรู้เรื่องนี้ พี่สาวตัดสินใจออกไปซื้อบ้านไม่สะดวกใจที่จะให้เงินเดือนพ่อต่อไป ( และพ่อของผมก็รู้สึกไม่ค่อยปลื้มพี่เคยด้วยครับ ที่เป็นคนชอบเอาเปรียบทัศนคติที่ทำให้เหนื่อยใจ) พี่ชายที่แต่งงานแยกครอบครัวออกไปก็กลับมาหลอกเงินเก็บพ่อ ไปจนหมด ย้ำว่า เงินเก็บจานเกษียณ หลอกไปหมด 100% ครับ พอผมรู้ก็เลยพยายามตามจนเอาเงินมาคืน ประมาณ 10% จากที่หลอกไปครับ
อาการของพ่อเริ่มทรุดลงเรื่อยๆ ไม่ไหว จนหมอเสนอทางเลือกให้ผ่าตัด ส่วนตัวผมคิดว่าไม่อยากให้ผ่าเพราะมีโรคประจำตัวอีกหลายๆโรค แต่บางทีการเจ็บปวดรอไม่ได้นะครับคุณพ่ออยากผ่าแต่ไม่มีส่วนต่าง ที่นอกเหนือจากสิทธิข้าราชการ ตอนนี้กลายเป็นพี่น้องจากที่มีปัญหากันอยู่แล้ว พี่สาวก็ยังคงมองว่าพ่อไม่ยุติธรรมที่ไม่ใช้ผมให้ไปดูแลบ้าง แต่ผมรู้สึกว่าตอนที่คุณแม่ยังอยู่ผมก็ทุ่มเท จนผมแทบจะแย่แล้วนะครับ ทุกวันนี้ดูแลคุณพ่อได้เท่าที่ไหว เวลาไม่เจอกันก็เลือกโทรศัพท์คุยกัน แต่อย่างว่าแหละครับสิ่งที่คุณพ่อต้องการ ไม่ใช่เรื่องการดูแลจะบุตรหลานเท่าไหร่ แต่ต้องการ budget ที่ใช้ในการผ่าตัดเพราะทนกับความเจ็บปวดไม่ไหว
แต่คุณพ่อ ก็เลือกที่จะไม่ตามเงินกับลูกชาย เพราะท่านให้เหตุผลว่าลูกชายไม่มีครับ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าอย่างไรควรจะผ่อนคืน ไม่มากก็น้อยต้องผ่อนคืนนะครับเพราะว่าเป็นเงินของคุณพ่อ ( ผมคิดว่าชนวนเหตุที่พี่ชายของผมต้องไปเอาเงินจากคุณพ่อ เพราะโกรธที่พ่อไม่ยกบ้านให้ เนื่องจากบ้านของผมเป็นธรรมเนียมจีนซึ่งหลายๆบ้านลูกชายจะต้องเป็นคนได้มรดกตรงนี้ และพี่ก็ยังมีลูกชายด้วยครับ บวกกับคงมองว่าพ่อไม่ยุติธรรมที่ให้เงินผมมาปิดกยศกับช่วยค่าทำบ้าน จากย่อหน้าด้านบน ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกโกรธ)
ปัจจุบันคำถามมีอยู่ว่า ผมควรจะทำยังไงดีครับ เพราะคุณพ่อท่านก็ไม่สบายใจ ที่ต้องไปทวงเงินกับลูกชาย และผมก็ไม่มีเงินที่จะ support ท่านต่อ เนื่องจากภาระหนี้บ้าน เพราะถ้าผมขายบ้านทิ้งนั้นหมายความว่าผมไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนแน่นอนครับ เพราะพี่สองคนคงไม่ให้ผมอยู่บ้านของพ่อหลังนี้ต่อไป ต้องการขายเผื่อนำไปจุนเจือครอบครัวตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าผมจะมีที่นอนหรืออยู่ตรงไหนของโลกใบนี้ พี่ทั้งสองต้องการให้ครอบครัวตัวเองสุขสบายเท่านั้น และตอนนี้ พี่ของผมทั้งสอง ก็ต้องการมรดกมากๆ แบบไม่ดูแล และไม่อยากเสียค่าใช้ใดๆทั้งสิ้น คุณพ่อต้องบังคับเรียกทีบังคับทีถึงจะมาเจอบ้างนะครับ และ พี่ทั้งสองรวมไปถึงญาติๆก็ลงความเห็นว่าผมจะต้องเป็นคนรับภาระพ่อทั้งหมดเพราะผมไม่มีครอบครัว และผมดูสบายที่สุดเพราะไม่มีภาระเรื่องลูก ผมท้อและสิ้นหวังกับครอบครัวแบบนี้ จึงอยากหาทางแยกให้กับตัวเอง. เชิญ วิจารณ์ตามจริงได้เลยนะครับ ขอบคุณมากๆครับสำหรับพื้นที่ตรงนี้ที่ให้ผมระบาย
#อยากเป็นตัวของตัวเอง