JJNY : คุมเข้ม!ศาลรธน.คดีแก้ 112│ธนาธรประชุมกมธ.โอนธุรกิจกองทัพ│ชาวอุทัยฯบ่นอุบ!น้ำมันขึ้น│ร้องไทยอย่าเนรเทศ ร็อกรัสเซีย

คุมเข้ม! ศาลรธน. อ่านคำวินิจฉัย คดีแก้ 112 จนท.วอนมวลชน หวั่นละเมิดอำนาจศาล
https://www.matichon.co.th/politics/news_4402346
 
 
คุมเข้ม ศาลรธน. อ่านคำวินิจฉัย คดีพิธา-ก้าวไกล หาเสียงแก้ ม. 112 จนท. ขอความร่วมมือมวลชนหวั่นละละเมิดอำนาจศาล
 
เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 31 มกราคม 2567 ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดอ่านคำวินิจฉัย เวลา 14.00 น. ในคดีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การกระทำของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง ถือเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 หรือไม่
 
ขณะที่ บรรยากาศโดยรอบศาลรัฐธรรมนูญช่วงเที่ยงวันนี้ได้มีการวางมาตรการรักษาความปลอดภัย ที่ซึ่งมีมวลชนชูป้ายให้กำลังใจนายพิธา และพรรคก้าวไกล อยู่บริเวณด้านในอาคาร โดยมีเจ้าหน้าที่รปภ.ของทางอาคาร และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ามาพูดคุยไม่ให้มาเคลื่อนไหว ภายในอาคารเนื่องจากจะเป็นการละเมิดคำสั่งศาลฯ
 
ทั้งนี้ มีรายงานว่าการดูแลรักษาความปลอดภัยโดยรอบศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้จัดกำลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ. บช.น.) จำนวน 1 กองร้อย ชุดควบคุมฝูงชนจาก กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (คฝ.บก.น.2) จำนวน 1 กองร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องจากบก.น.2 จำนวน 40 นาย โดยทั้งหมดจะสลับสับเปลี่ยนกันดูแลบริเวณโดยรอบก่อนและหลังคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ
 
ขณะเดียวกันมีกลุ่มที่สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล สวมเสื้อสีส้ม แสดงสัญลักษณ์พรรคก้าวไกล เข้ามานั่งถือป้ายภายในอาคารที่ตั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เจ้าหน้าที่ของศาลฯ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เข้ามาเจรจาให้เคลื่อนย้ายออกไปยังจุดที่ทางศาลรัฐธรรมนูญได้จัดเตรียมไว้
 
พร้อมแจ้งเตือนเรื่องประกาศเขตอำนาจศาล หากมีการละเมิดอาจจะถูกดำเนินคดีได้ นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ของทางศาลรัฐธรรมนูญคอยแจ้งให้สื่อมวลชน ได้รับทราบว่า ไม่อนุญาตให้มีการสัมภาษณ์บุคคลใดๆตามประกาศของทางศาลด้วยเช่นกัน
 


ธนาธร ประชุมกมธ.โอนธุรกิจกองทัพ ถ่ายรายได้เข้าคลัง เชื่อไม่ขัดแย้งทหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4402161

“ธนาธร” เข้าประชุม กมธ.ถ่ายโอนทรัพย์สินกองทัพฯ หวังโอนรายได้เข้าคลัง ปั้นกองทัพสมัยใหม่ เชื่อไม่ขัดแย้งกับทหาร เมินคนค้านนั่งกรรมาธิการ ชี้ ไม่เคยมีปัญหา
 
เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 31 มกราคม ที่รัฐสภา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่น หรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม ถึงความคาดหวังใน กมธ.ชุดนี้ ว่า คิดว่า กมธ.ชุดนี้จะมีเป้าหมายในการศึกษาทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การบริหารของกองทัพ ที่เกี่ยวกับการพาณิชย์ว่ามีอะไรบ้าง รวมถึงดูว่าจะมีอะไรสามารถถ่ายโอนกลับเข้ามาที่กระทรวงการคลัง
 
ทั้งนี้ เชื่อว่ากองทัพในปัจจุบันมีภารกิจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศเยอะมาก ทั้งสนามกอล์ฟ โรงแรม และศูนย์ประชุมต่างๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับภารกิจหลัก จึงเห็นว่าควรถ่ายโอนรายได้เหล่านี้ไปให้กระทรวงการคลัง และทำให้กองทัพมีความเป็นสมัยใหม่
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะหาจุดสมดุลระหว่างการเมืองกับกองทัพอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า ต้องใช้ กมธ.ในการสนทนากัน เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ ส่วนจะเป็นความขัดแย้งเรื่องการเมืองและกองทัพหรือไม่นั้น ประวัติศาสตร์มีมาแล้ว ในอดีตกองทัพไม่มีงบประมาณ​ ขอก็ไม่ได้ กองทัพก็ขอทรัพย์สินบางส่วนไปบริหารเอง เพื่อจัดเป็นสวัสดิการให้กับทหาร แต่เวลาก็ผ่านมานานแล้ว หากกองทัพอยากมีสวัสดิการก็ต้องขอผ่านกลไกสภาเหมือนกระทรวงอื่นตามปกติ คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะนำไปสู่ความขัดแย้ง การจัดสรรทรัพยากรเป็นเรื่องการเมืองอยู่แล้ว ดังนั้น จึงเป็นปัญหาการเมือง และเชื่อว่า กมธ.ชุดนี้ คงมีข้อสรุปที่เห็นร่วมกันได้

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการมองว่าการที่นายธนาธรนั่ง กมธ.ชุดนี้ เป็นการปูทางเข้ากลับเข้าสู่การเมือง นายธนาธรกล่าวว่า “ไม่หรอกครับ ทางพรรคก้าวไกลเห็นว่าผมติดตามเรื่องนี้มานาน จึงอยากให้มาช่วยนั่งใน กมธ.ชุดนี้ ซึ่งผมก็ยินดี”
 
ส่วนกรณีที่ นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษา กมธ.การกฎหมาย ร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่านายธนาธรไม่เหมาะสมที่จะนั่ง กมธ. นายธนาธรกล่าวว่า “เป็นมาหลาย กมธ.แล้ว ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร”
 
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า มองอย่างไรหากนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม นั่งประธาน กมธ.ชุดนี้ นายธนาธรกล่าวว่า เชื่อว่านายจิรายุ จะทำหน้าที่อย่างเป็นธรรม และไม่ติดขัดอะไร
 


ชาวอุทัยฯบ่นอุบ! น้ำมันขึ้น 7 หนในเดือนเดียว วอนรัฐแก้ปัญหาระยะยาว
https://www.matichon.co.th/region/news_4402314

ชาวอุทัยฯบ่นอุบ! น้ำมันขึ้น 7 หนในเดือนเดียว วอนรัฐแก้ปัญหาระยะยาว
 
หลังจากที่เมื่อช่วง 05.00 น. วันที่ 31 มกราคม ราคาน้ำมันกลุ่มน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล ได้ปรับราคาขึ้นอีกลิตรละ 30 สตางค์ นับว่าเป็นการปรับราคาขึ้นหนที่ 7 ในรอบเดือนมกราคม เป็นเงินที่ขึ้น 2.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กับประชาชนที่ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ เดือดร้อนกันถ้วนหน้า
  
โดยเสียงจากประชาชนที่หาเช้ากินค่ำรายหนึ่ง ที่เข้ามาเติมน้ำมันรถจักรยานยนต์ บอกว่า แม้ว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะขึ้นมาอีกเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอะไรได้ เพราะต้องเติมน้ำมันอยู่ดี แต่การที่น้ำมันราคาขึ้นมันไม่สมดุลกับการรายได้ เพราะค่าแรงเท่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ราคาน้ำเชื้อเพลงที่เป็นต้นทุนมันที่สูงขึ้น จากที่เคยเติม 80 บาท ได้น้ำมันเต็มถัง ต้องเติมเป็น 100 บาทถึงจะเต็มถัง อยากวอนให้รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างถาวร นอกจากนี้ก็อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงด้วย
 
ขณะที่ประชาชนที่ประกอบอาชีพขับรถสามสอล้อรับจ้าง หรือ รถสกายแลบ รับส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร บอกว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก รถรับจ้างที่มีอยู่ประมาณ 10 คัน เช้านี้มีมาวิ่งรับจ้างเพียง 2 คันเท่านั้น เพราะถ้าวิ่งกันครบยังจะไม่ได้ผู้โดยสารมาวิ่งก็ไม่คุ้มค้าน้ำมันค่าเสียเวลา ทุกวันนี้ออกมาวิ่งให้พอให้ได้ค่ากับข้าวเหลือวันละ 50 – 100 ก็ยังดี ที่สำคัญราคาน้ำมันขึ้นแต่เราก็ขึ้นราคาลูกค้าไม่ได้ อยากให้รัฐบาลแก้ไขราคาน้ำมันให้เหลือ 30 บาทเท่าๆกับการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ทำมันตรึงราคาได้ คนที่ใช้กลุ่มน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอลก็เป็นคนไทยมีความเดือดร้อนเช่นกัน ขอให้เร่งแก้ไขราคาน้ำมันออย่างเร่งด่วน แต่คงหวังอะไรไม่ได้กับรัฐบาลขนาดขนาดมีมติจากครม.ถึงมาตรการการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้เหลือลิตรละ 33 บาทยังทำไม่ได้เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่