Day 1 : Bangkok - Paris - Nice
1. ไปเที่ยวฝรั่งเศสมาค่ะ ไปประมาณ 9 วัน สนุกสนาน วิวสวย บรรยากาศดี ถ่ายรูปสวย แต่มาเสียตรง Paris เนี่ยแหละค่ะ เมืองสวยแต่เที่ยวไม่สนุก ระแวงไปหมด ต้องพร้อมบวกตลอดเวลา!!! จะค่อยๆ เล่าให้ฟังนะคะ
2. ภาพรวมๆ ของทริปนี้คือเริ่มจากกรุงเทพไป Paris เครื่องลงปุ๊บก็ต่อเครื่องไป Nice เลย เที่ยว Nice และ Monaco ประมาณ 3 วันครึ่ง จากนั้นก็นั่งเครื่องไป Rennes เพื่อเที่ยวฝั่ง Normandy แล้วค่อยวกกลับเข้ามา Paris อีกวันครึ่งค่ะ
3. ตอนแรกว่าจะแยกออกเป็น 2 กระทู้ กระทู้แรกจะเป็นวันที่ 1 ถึงวันที่ 4 ซึ่งเราเที่ยว Nice กับ Monaco ส่วนวันที่เหลือจะแยกเป็นอีกกระทู้นึงค่ะ จะได้ไม่ยาวจนเกินไป แต่คิดไปคิดมารวบเป็นกระทู้เดียวดีกว่าจะได้ไม่ต้องคลิกไปคลิกมา
4. เริ่มจากการไปขอ visa ค่ะ งวดนี้เราต้องไปขอ visa คนเดียว ครั้งที่แล้วที่ไป Austria แฟนได้ visa ยาวไปถึงกลางปีหน้าเลยค่ะ แต่ก็คุ้มค่ะเพราะคราวนี้เราได้ visa ยาว 5 ปีเลยค่ะ
5. เรื่อง visa ก็แค่เตรียมเอกสารให้พร้อม กรอกข้อมูลในใบสมัครตามความเป็นจริง ทำการนัดหมาย จากนั้นก็ไปยื่นเอกสารค่ะ นอกจากเอกสารที่สถานฑูตฯ ขอแล้วเรามักเติมเอกสารประกอบอื่นๆ นอกเหนือจากที่เขาขอเข้าไปด้วยค่ะ เช่น หนังสือแนะนำตัว แผนเที่ยวโดยละเอียด………. อะไรประมาณนี้ค่ะ
6. วันเริ่มต้นการเดินทางถึงเครื่องจะออก 5 ทุ่มครึ่งแต่เราไปสนามบินตั้งแต่ 6 โมงเย็นค่ะ อยากกินข้าว เดินเล่น kpw แบบสบายๆ
7. สำหรับการ Check-in นะคะ ถ้าเราไปประเทศที่ไม่ต้องขอ Visa ก็สามารถ Check-in กับตู้หรือทางเนตได้เลยค่ะ แต่ถ้าประเทศปลายทางไม่ได้ฟรี Visa ให้คนไทย ยังไงเราก็ต้องไป Check-in ที่ Counter ค่ะ จนท.จะได้ตรวจ Visa เราด้วยค่ะ
8. สำหรับคนที่มี Schegen Visa ที่ยังไม่หมดอายุแต่ดันอยู่ใน Passport เล่มเก่าที่หมดอายุไปแล้วแบบแฟนเรา ให้ถือไปทั้ง 2 เล่มค่ะ คือ Passport เล่มใหม่ และ Passport เล่มเก่าที่มี Visa ที่ยังไม่หมดอายุอยู่ในนั้นค่ะ
9. ถ้าจะให้ดีตอนทำ Passport เล่มใหม่ให้จนท.เขา Endrose ไว้ในหน้าแรกด้วยว่าเล่มเดิมหมายเลยอะไรค่ะ
10. ตอนผ่านตม.ก็ยื่นไปทั้ง 2 เล่มค่ะ จนท.เขาจะ scan จากเล่มใหม่แต่จะประทับตราลงเล่มเก่าที่มี Visa ค่ะ
11. หลังจากกินข้าว Check-in เดิน kpw เสร็จก็ไปสำรวจ Lounge ต่างๆ ค่ะ เข้าไป 3 ที่ สำหรับเราๆ ว่าไม่ได้ต่างกันมากค่ะ ส่วนใหญ่จะต่างกันที่จำนวนที่นั่ง เมนูอาหาร ชอบอาหารแนวไหนก็แบบไหนไปแบบนั้นค่ะ รสชาติอาหารเขาจะทำออกมากลางๆ ให้ทุกคนกินได้อยู่แล้วค่ะ
12. หลังจากนั่งพักที่ lounge แปร๊บเดียวก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องค่ะ บนเครื่องมีอาหารให้ 2 มื้อ คือตอนขึ้นแล้วก็อาหารเช้าค่ะ อาหารเย็นก็โอเคนะคะ
13. กินเสร็จก็หลับยาวจนถึงอาหารเช้าอีกรอบนึงค่ะ อาหารเช้าเป็นไส้กรอกไก่กับ omelette ค่ะ ปริมาณพออิ่ม แต่เราซื้อเสบียงมาด้วยเลยมื้อนี้เลยรอดไปค่ะ
14. ป้าม่วงจอดที่ Terminal 2E ผ่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า แล้วเดินไปต่อเครื่องของ Air France ที่ Terminal 2F ไม่ไกลกันมากค่ะ สบายๆ ไม่รีบเพราะเผื่อเวลาไว้พอสมควร
15. ถ้าบินภายในประเทศทุกอย่างเป็น Self-Service หมดค่ะ check-in ทางเนตหรือตู้ที่สนามบิน พอได้ Tag กระเป๋าและ Boarding pass ก็เอากระเป๋าไป load เอง
16. จากนั้นก็เข้าไปหาอะไรกินด้านในค่ะ หิวมาก ร้านด้านนอกก็มีแต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกขนมซะมากกว่าค่ะ
17. โชคดีที่ร้านอาหารอยู่บริเวณ Gate ที่เราต้องขึ้นเครื่องพอดีเลย แต่มีให้เลือกไม่กี่ร้านค่ะ
18. สำหรับร้านอาหารที่ฝรั่งเศสเขาจะเปิดเป็นรอบๆ ค่ะ เช่น 06.00 - 10.00 หรือ 11.00 - 14.00 ไม่ได้เปิดตลอดเวลาเหมือนบ้านเราค่ะ
19. แต่ละรอบก็จะมีอาหารเฉพาะมื้อนั้นขาย รอบเช้าก็จะมีเฉพาะอาหารเช้าขาย จะมากิน Burger ตั้งแต่ 8 โมงเช้าไม่ได้ค่ะ เขาไม่ขาย อย่างมากก็ได้แค่ ไข่ เบคอน ขนมปัง อะไรประมาณนี้ค่ะ
20. ส่วนเรื่องน้ำถ้าอยากประหยัดสามารถสั่ง Tap Water ได้ค่ะ แต่ก็เป็นน้ำก๊อกสมชื่อ Tap Water จริงๆ นะคะ มีกลิ่นคลอลีนนิดหน่อยแต่กินได้ค่ะ
21. ถึงจนท.ร้านอาาหารจะพยายามให้เราสั่งน้ำขวดซึ่งราคาแรงมาก แต่เราสามารถสั่ง Tap Water ได้ทุกร้านนะคะ ไม่ว่าร้านนั้นจะหรูเพียงใดก็ตามค่ะ
22. หน้าตาอาหารมื้อแรกของเราหลังจากลงเครื่องค่ะ Scramble Egg กับ ไส้กรอก และ Bugget แข็งๆ สั่งมาคนละจานค่ะ
23. ดูท่าจะไม่อิ่มแน่ๆ เลยสั่งขนมปังลูกเกดมาเพิ่มค่ะ
24. มื้อเช้าเขาจะขายกันประมาณนี้ค่ะ ที่สำคัญมีเราสั่งอยู่โต๊ะเดียว โต๊ะอื่นเขาสั่ง Crossiant 1 ตัวกับกาแฟแก้วนึงเป็นอาหารเช้าค่ะ
25. Tap Water มีหน้าตาแบบในรูปค่ะ เอาน้ำก๊อกใส่ขวดวางไว้ให้ จะสั่งกับพนง.หรือจะเดินไปหยิบเองก็ได้ค่ะ
26. ค่าอาหารแรงระดับนึงซึ่งอาจเป็นเพราะอยู่ในสนามบินด้วยค่ะ แต่บอกเลยว่าไม่อิ่ม
27. เลยข้ามฝากไปเลือกสลัดมากินต่อค่ะ ราคาอยู่ที่ประมาณ 10 - 12 € แล้วเมนูค่ะ
28. กินเสร็จก็ไปสำรวจสนามบินกันค่ะ ร้านขายของที่ Temrinal 2F ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจค่ะ ราคาก็ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับที่ไทย
29. มีเปียโนวางไว้ให้เล่นค่ะ ใครอยากเล่นก็ไปนั่งเล่นได้เลย ตอนเราไปมีคนกำลังนั่งเล่นอยู่ด้วยค่ะ เพราะทีเดียวเลย
30. Terminal ไม่ได้ใหญ่มากค่ะ เดินแปร๊บเดียวก็ทั่วแล้ว เลยกลับมานั่งรอเครื่องที่ Gate ตัวเองค่ะ นั่งได้ไม่นานนักจนท.ก็เรียกขึ้นเครื่องค่ะ
31. Flight นี้เป็น Flight สั้นๆ เลยมีแค่น้ำกับ Cookie ค่ะ.... อยากจะบอกว่า Cookie อร่อยค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราหิวหรือเปล่านะคะ
32. จาก Paris มา Nice ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.35 ชม. รอรับกระเป๋าแล้วก็ออกไปโลดแล่นได้เลยค่ะ
33. แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณพระ!!!!!! กระเป๋าไม่มาค่าาาาาาาาาาาาาาา......... รอแล้วรอเล่า รอจนสายพานหยุดหมุนก็ไม่เห็นวี่แววของกระเป๋าเราค่ะ
34. เลยต้องเดินหน้าเหี่ยวๆ ไปถามจนท.ค่ะ จนท.ถามนามสกุลแล้วก็ booking number จนท.ก็กดๆ ดูใน tablet แล้วตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาว่า กระเป๋ายังอยู่ที่ Paris ไม่ได้หายนะ สบายใจได้!!!!
35. เรานี่อยากจะ WTF!!!!! ออกมาดังๆ
36. จนท.ให้ไปทำเรื่องที่ตู้อัตโนมัติเพื่อ Declare Baggage Incident ค่ะ
37. ที่ต้องกรอกก็มี Booking Number (หรือ Reservation Number), Baggage Number ของกระเป๋าทั้ง 2 ใบ, e-mail, ลักษณะของกระเป๋าเราเป็นยังไง ทรงไหน soft case หรือ hard case สีอะไร ยี่ห้ออะไร.... ประมาณนี้ค่ะ
38. Baggage Number ดูได้จาก Baggae Tag ที่เป็นใบเล็กๆ ที่ดึงออกมาจาก Tag ผูกกระเป๋าเดินทางตอน Check-in ค่ะ
39. ถ้านึกไม่ออกก็นึกถึงสติกเกอร์ใบเล็กๆ ที่จนท.มักจะติดให้เราหลัง Boarding Pass ค่ะ อย่าได้ทำหายเชียว
40. ถึงกระเป๋าจะไม่มา 2 ใบแต่ declare ครั้งเดียวพอค่ะ เขา Track จาก Booking Number และ Baggage Number ของทั้ง 2 ใบได้ค่ะ
41. หลังจาก key ข้อมูลเสร็จเครื่องก็จะ print เอกสารยืนยันแผ่นเล็กๆ มาให้แบบในรูปค่ะ จะมีชื่อของเรา reference number และวันที่ delare เรื่องกระเป๋าค่ะ ต้องเก็บเอกสารตัวนี้ไว้ให้ดีค่ะ
42. นอกจากเอกสารยืนยันอันนี้แล้วระบบจะส่ง e-mail มายืนยันกับเราด้วยค่ะ ที่สำคัญค่ะใน e-mail นี้จะมี link ให้กดเพื่อติดตามสถานะของกระเป๋าเราด้วยค่ะว่าตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว เราต้องคอยหมั่นกดเข้าไปดูว่ากระเป๋าเราจะมาถึง Nice กี่โมงค่ะ
43. ตอนกดดูสถานะของกระเป๋าอย่าลืม cap หน้าจอไว้ด้วยนะคะ
44. จนท.แจ้งว่ากรณีของเรา กระเป๋าไม่ได้หายเพีบงแต่ไม่ได้ load ใส่เครื่องที่เรานั่งมาซึ่งโดยปกติแล้วกระเป๋าจะถูกส่งมาใน flight ถัดไปเลยค่ะ คาดว่าเราน่าจะรับกระเป๋าได้ราวๆ ทุ่มนึงค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนนะคะ
45. หลังจากนั้นจนท.จะใช้ถุงยังชีพสำหรับ 1 คืนมาคนละถุงค่ะ ข้างในมีเสื้อยืดตัวนึง แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ที่โกนหนวด......... ซึ่งแทบจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยค่ะ
46. จริงๆ ไม่ได้โกรธจนท.นะคะ เราเข้าใจว่าเหตุการณ์แบบนี้มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้ค่ะ จนท.เองก็ให้ความช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี แนะนำโน่นนั่นนี่ แทบจะกดตู้ให้เราเลยค่ะ
47. หลังจากทำเรื่องเสร็จจนท.ยังมาช่วยเช็คความถูกต้องให้ด้วยค่ะ และบอกว่าถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถไปซื้อเองได้เลยค่ะ เก็บใบเสร็จไว้แล้วเข้าไปเคลมคชจ.ในเวป Air France ได้เลยค่ะ
48. ค่ะ แทนที่มาถึงแล้วเราจะได้เที่ยวเลย ป๊าววววววว......... อิฉันต้องออกไปตะลอนๆ เดินหาซื้อเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อหนาวและชุดชั้นใน
49. พวกห้างและร้านขายของที่นี่ปิดประมาณทุ่มนึงค่ะ กว่าเราจะทำเรื่องเสร็จก็เกือบๆ 4 โมงแล้วเลยต้องรีบเข้าเมืองไปหาซื้อเสื้อผ้า
50. แฟน search เจอ Galleries Lafayette แถมอยู่ใกล้สถานี Tram ด้วย รีบโดดขึ้น Tram แบบด่วนๆ
51. ถึง Lafayette ก็รีบๆ หาโน่นนั่นนี่ รีบๆ ซื้อให้ครบก่อนห้างปิดค่ะ หิวก็หิวแต่ต้องซื้อของให้ครบก่อน
52. ตอนซื้อเราก็ไม่แน่ใจว่าจะเคลมได้ขนาดไหน แต่แฟนเรานางไม่สนใจค่ะ หยิบๆๆๆๆๆ หยิบอย่างเดียว แทบจะไม่ได้ดูราคา ขอแค่ไม่ได้เป็นยี่ห้อเวอร์วังอันไหนนางต้องใช้ นางหยิบหมด ที่เราต้องใช้แต่เราลังเลนางก็หยิบให้ค่ะ
53. อย่างที่บอกค่ะ เสื้อหนาวเราอยู่กระเป๋าใหญ่ ดังนั้นเราต้องซื้อใหม่แต่ไม่แน่ใจว่าต้องซื้อราคาประมาณไหนถึงจะเคลมได้ แฟนเราเห็นง่ะๆ เงิ่นๆ นางเลยมาหยิบให้แล้วลากไปจ่ายตังเลย
54. ไม่ได้หยิบยี่ห้อดังๆ มานะคะ เป็นยี่ห้อที่ไม่รู้จักแถมลดราคาด้วย
55. เบล็ดเสร็จโดนไปทั้งหมดเกือบๆ 300€ ที่สำคัญเลยคือต้องเก็บใบเสร็จไว้ทุกใบนะคะ จะได้เอาไปเคลมกับสายการบินได้
56. เราเข้าไปเช็ค status ในเวป ปรากฏว่ากระเป๋ากำลังถูกส่งมาที่ Nice ค่ะ เริ่มมีความหวังว่าจะได้กระเป๋าวันนี้ แล่วๆๆๆๆๆ แล้วที่ตรูซื้อไปล่ะค๊าาาาาาาาาา........
แชร์ประสบกาณ์ : เที่ยว Nice - Monaco - Paris ทริปนี้มีแต่เรื่อง
2. ภาพรวมๆ ของทริปนี้คือเริ่มจากกรุงเทพไป Paris เครื่องลงปุ๊บก็ต่อเครื่องไป Nice เลย เที่ยว Nice และ Monaco ประมาณ 3 วันครึ่ง จากนั้นก็นั่งเครื่องไป Rennes เพื่อเที่ยวฝั่ง Normandy แล้วค่อยวกกลับเข้ามา Paris อีกวันครึ่งค่ะ
3. ตอนแรกว่าจะแยกออกเป็น 2 กระทู้ กระทู้แรกจะเป็นวันที่ 1 ถึงวันที่ 4 ซึ่งเราเที่ยว Nice กับ Monaco ส่วนวันที่เหลือจะแยกเป็นอีกกระทู้นึงค่ะ จะได้ไม่ยาวจนเกินไป แต่คิดไปคิดมารวบเป็นกระทู้เดียวดีกว่าจะได้ไม่ต้องคลิกไปคลิกมา
4. เริ่มจากการไปขอ visa ค่ะ งวดนี้เราต้องไปขอ visa คนเดียว ครั้งที่แล้วที่ไป Austria แฟนได้ visa ยาวไปถึงกลางปีหน้าเลยค่ะ แต่ก็คุ้มค่ะเพราะคราวนี้เราได้ visa ยาว 5 ปีเลยค่ะ
5. เรื่อง visa ก็แค่เตรียมเอกสารให้พร้อม กรอกข้อมูลในใบสมัครตามความเป็นจริง ทำการนัดหมาย จากนั้นก็ไปยื่นเอกสารค่ะ นอกจากเอกสารที่สถานฑูตฯ ขอแล้วเรามักเติมเอกสารประกอบอื่นๆ นอกเหนือจากที่เขาขอเข้าไปด้วยค่ะ เช่น หนังสือแนะนำตัว แผนเที่ยวโดยละเอียด………. อะไรประมาณนี้ค่ะ
6. วันเริ่มต้นการเดินทางถึงเครื่องจะออก 5 ทุ่มครึ่งแต่เราไปสนามบินตั้งแต่ 6 โมงเย็นค่ะ อยากกินข้าว เดินเล่น kpw แบบสบายๆ
7. สำหรับการ Check-in นะคะ ถ้าเราไปประเทศที่ไม่ต้องขอ Visa ก็สามารถ Check-in กับตู้หรือทางเนตได้เลยค่ะ แต่ถ้าประเทศปลายทางไม่ได้ฟรี Visa ให้คนไทย ยังไงเราก็ต้องไป Check-in ที่ Counter ค่ะ จนท.จะได้ตรวจ Visa เราด้วยค่ะ
8. สำหรับคนที่มี Schegen Visa ที่ยังไม่หมดอายุแต่ดันอยู่ใน Passport เล่มเก่าที่หมดอายุไปแล้วแบบแฟนเรา ให้ถือไปทั้ง 2 เล่มค่ะ คือ Passport เล่มใหม่ และ Passport เล่มเก่าที่มี Visa ที่ยังไม่หมดอายุอยู่ในนั้นค่ะ
9. ถ้าจะให้ดีตอนทำ Passport เล่มใหม่ให้จนท.เขา Endrose ไว้ในหน้าแรกด้วยว่าเล่มเดิมหมายเลยอะไรค่ะ
10. ตอนผ่านตม.ก็ยื่นไปทั้ง 2 เล่มค่ะ จนท.เขาจะ scan จากเล่มใหม่แต่จะประทับตราลงเล่มเก่าที่มี Visa ค่ะ
11. หลังจากกินข้าว Check-in เดิน kpw เสร็จก็ไปสำรวจ Lounge ต่างๆ ค่ะ เข้าไป 3 ที่ สำหรับเราๆ ว่าไม่ได้ต่างกันมากค่ะ ส่วนใหญ่จะต่างกันที่จำนวนที่นั่ง เมนูอาหาร ชอบอาหารแนวไหนก็แบบไหนไปแบบนั้นค่ะ รสชาติอาหารเขาจะทำออกมากลางๆ ให้ทุกคนกินได้อยู่แล้วค่ะ
12. หลังจากนั่งพักที่ lounge แปร๊บเดียวก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องค่ะ บนเครื่องมีอาหารให้ 2 มื้อ คือตอนขึ้นแล้วก็อาหารเช้าค่ะ อาหารเย็นก็โอเคนะคะ
13. กินเสร็จก็หลับยาวจนถึงอาหารเช้าอีกรอบนึงค่ะ อาหารเช้าเป็นไส้กรอกไก่กับ omelette ค่ะ ปริมาณพออิ่ม แต่เราซื้อเสบียงมาด้วยเลยมื้อนี้เลยรอดไปค่ะ
14. ป้าม่วงจอดที่ Terminal 2E ผ่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า แล้วเดินไปต่อเครื่องของ Air France ที่ Terminal 2F ไม่ไกลกันมากค่ะ สบายๆ ไม่รีบเพราะเผื่อเวลาไว้พอสมควร
15. ถ้าบินภายในประเทศทุกอย่างเป็น Self-Service หมดค่ะ check-in ทางเนตหรือตู้ที่สนามบิน พอได้ Tag กระเป๋าและ Boarding pass ก็เอากระเป๋าไป load เอง
16. จากนั้นก็เข้าไปหาอะไรกินด้านในค่ะ หิวมาก ร้านด้านนอกก็มีแต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกขนมซะมากกว่าค่ะ
17. โชคดีที่ร้านอาหารอยู่บริเวณ Gate ที่เราต้องขึ้นเครื่องพอดีเลย แต่มีให้เลือกไม่กี่ร้านค่ะ
18. สำหรับร้านอาหารที่ฝรั่งเศสเขาจะเปิดเป็นรอบๆ ค่ะ เช่น 06.00 - 10.00 หรือ 11.00 - 14.00 ไม่ได้เปิดตลอดเวลาเหมือนบ้านเราค่ะ
19. แต่ละรอบก็จะมีอาหารเฉพาะมื้อนั้นขาย รอบเช้าก็จะมีเฉพาะอาหารเช้าขาย จะมากิน Burger ตั้งแต่ 8 โมงเช้าไม่ได้ค่ะ เขาไม่ขาย อย่างมากก็ได้แค่ ไข่ เบคอน ขนมปัง อะไรประมาณนี้ค่ะ
20. ส่วนเรื่องน้ำถ้าอยากประหยัดสามารถสั่ง Tap Water ได้ค่ะ แต่ก็เป็นน้ำก๊อกสมชื่อ Tap Water จริงๆ นะคะ มีกลิ่นคลอลีนนิดหน่อยแต่กินได้ค่ะ
21. ถึงจนท.ร้านอาาหารจะพยายามให้เราสั่งน้ำขวดซึ่งราคาแรงมาก แต่เราสามารถสั่ง Tap Water ได้ทุกร้านนะคะ ไม่ว่าร้านนั้นจะหรูเพียงใดก็ตามค่ะ
22. หน้าตาอาหารมื้อแรกของเราหลังจากลงเครื่องค่ะ Scramble Egg กับ ไส้กรอก และ Bugget แข็งๆ สั่งมาคนละจานค่ะ
23. ดูท่าจะไม่อิ่มแน่ๆ เลยสั่งขนมปังลูกเกดมาเพิ่มค่ะ
24. มื้อเช้าเขาจะขายกันประมาณนี้ค่ะ ที่สำคัญมีเราสั่งอยู่โต๊ะเดียว โต๊ะอื่นเขาสั่ง Crossiant 1 ตัวกับกาแฟแก้วนึงเป็นอาหารเช้าค่ะ
25. Tap Water มีหน้าตาแบบในรูปค่ะ เอาน้ำก๊อกใส่ขวดวางไว้ให้ จะสั่งกับพนง.หรือจะเดินไปหยิบเองก็ได้ค่ะ
26. ค่าอาหารแรงระดับนึงซึ่งอาจเป็นเพราะอยู่ในสนามบินด้วยค่ะ แต่บอกเลยว่าไม่อิ่ม
27. เลยข้ามฝากไปเลือกสลัดมากินต่อค่ะ ราคาอยู่ที่ประมาณ 10 - 12 € แล้วเมนูค่ะ
28. กินเสร็จก็ไปสำรวจสนามบินกันค่ะ ร้านขายของที่ Temrinal 2F ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจค่ะ ราคาก็ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับที่ไทย
29. มีเปียโนวางไว้ให้เล่นค่ะ ใครอยากเล่นก็ไปนั่งเล่นได้เลย ตอนเราไปมีคนกำลังนั่งเล่นอยู่ด้วยค่ะ เพราะทีเดียวเลย
30. Terminal ไม่ได้ใหญ่มากค่ะ เดินแปร๊บเดียวก็ทั่วแล้ว เลยกลับมานั่งรอเครื่องที่ Gate ตัวเองค่ะ นั่งได้ไม่นานนักจนท.ก็เรียกขึ้นเครื่องค่ะ
31. Flight นี้เป็น Flight สั้นๆ เลยมีแค่น้ำกับ Cookie ค่ะ.... อยากจะบอกว่า Cookie อร่อยค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราหิวหรือเปล่านะคะ
32. จาก Paris มา Nice ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.35 ชม. รอรับกระเป๋าแล้วก็ออกไปโลดแล่นได้เลยค่ะ
33. แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณพระ!!!!!! กระเป๋าไม่มาค่าาาาาาาาาาาาาาา......... รอแล้วรอเล่า รอจนสายพานหยุดหมุนก็ไม่เห็นวี่แววของกระเป๋าเราค่ะ
34. เลยต้องเดินหน้าเหี่ยวๆ ไปถามจนท.ค่ะ จนท.ถามนามสกุลแล้วก็ booking number จนท.ก็กดๆ ดูใน tablet แล้วตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาว่า กระเป๋ายังอยู่ที่ Paris ไม่ได้หายนะ สบายใจได้!!!!
35. เรานี่อยากจะ WTF!!!!! ออกมาดังๆ
36. จนท.ให้ไปทำเรื่องที่ตู้อัตโนมัติเพื่อ Declare Baggage Incident ค่ะ
37. ที่ต้องกรอกก็มี Booking Number (หรือ Reservation Number), Baggage Number ของกระเป๋าทั้ง 2 ใบ, e-mail, ลักษณะของกระเป๋าเราเป็นยังไง ทรงไหน soft case หรือ hard case สีอะไร ยี่ห้ออะไร.... ประมาณนี้ค่ะ
38. Baggage Number ดูได้จาก Baggae Tag ที่เป็นใบเล็กๆ ที่ดึงออกมาจาก Tag ผูกกระเป๋าเดินทางตอน Check-in ค่ะ
39. ถ้านึกไม่ออกก็นึกถึงสติกเกอร์ใบเล็กๆ ที่จนท.มักจะติดให้เราหลัง Boarding Pass ค่ะ อย่าได้ทำหายเชียว
40. ถึงกระเป๋าจะไม่มา 2 ใบแต่ declare ครั้งเดียวพอค่ะ เขา Track จาก Booking Number และ Baggage Number ของทั้ง 2 ใบได้ค่ะ
41. หลังจาก key ข้อมูลเสร็จเครื่องก็จะ print เอกสารยืนยันแผ่นเล็กๆ มาให้แบบในรูปค่ะ จะมีชื่อของเรา reference number และวันที่ delare เรื่องกระเป๋าค่ะ ต้องเก็บเอกสารตัวนี้ไว้ให้ดีค่ะ
42. นอกจากเอกสารยืนยันอันนี้แล้วระบบจะส่ง e-mail มายืนยันกับเราด้วยค่ะ ที่สำคัญค่ะใน e-mail นี้จะมี link ให้กดเพื่อติดตามสถานะของกระเป๋าเราด้วยค่ะว่าตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว เราต้องคอยหมั่นกดเข้าไปดูว่ากระเป๋าเราจะมาถึง Nice กี่โมงค่ะ
43. ตอนกดดูสถานะของกระเป๋าอย่าลืม cap หน้าจอไว้ด้วยนะคะ
44. จนท.แจ้งว่ากรณีของเรา กระเป๋าไม่ได้หายเพีบงแต่ไม่ได้ load ใส่เครื่องที่เรานั่งมาซึ่งโดยปกติแล้วกระเป๋าจะถูกส่งมาใน flight ถัดไปเลยค่ะ คาดว่าเราน่าจะรับกระเป๋าได้ราวๆ ทุ่มนึงค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนนะคะ
45. หลังจากนั้นจนท.จะใช้ถุงยังชีพสำหรับ 1 คืนมาคนละถุงค่ะ ข้างในมีเสื้อยืดตัวนึง แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ที่โกนหนวด......... ซึ่งแทบจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยค่ะ
46. จริงๆ ไม่ได้โกรธจนท.นะคะ เราเข้าใจว่าเหตุการณ์แบบนี้มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้ค่ะ จนท.เองก็ให้ความช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี แนะนำโน่นนั่นนี่ แทบจะกดตู้ให้เราเลยค่ะ
47. หลังจากทำเรื่องเสร็จจนท.ยังมาช่วยเช็คความถูกต้องให้ด้วยค่ะ และบอกว่าถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถไปซื้อเองได้เลยค่ะ เก็บใบเสร็จไว้แล้วเข้าไปเคลมคชจ.ในเวป Air France ได้เลยค่ะ
48. ค่ะ แทนที่มาถึงแล้วเราจะได้เที่ยวเลย ป๊าววววววว......... อิฉันต้องออกไปตะลอนๆ เดินหาซื้อเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อหนาวและชุดชั้นใน
49. พวกห้างและร้านขายของที่นี่ปิดประมาณทุ่มนึงค่ะ กว่าเราจะทำเรื่องเสร็จก็เกือบๆ 4 โมงแล้วเลยต้องรีบเข้าเมืองไปหาซื้อเสื้อผ้า
50. แฟน search เจอ Galleries Lafayette แถมอยู่ใกล้สถานี Tram ด้วย รีบโดดขึ้น Tram แบบด่วนๆ
51. ถึง Lafayette ก็รีบๆ หาโน่นนั่นนี่ รีบๆ ซื้อให้ครบก่อนห้างปิดค่ะ หิวก็หิวแต่ต้องซื้อของให้ครบก่อน
52. ตอนซื้อเราก็ไม่แน่ใจว่าจะเคลมได้ขนาดไหน แต่แฟนเรานางไม่สนใจค่ะ หยิบๆๆๆๆๆ หยิบอย่างเดียว แทบจะไม่ได้ดูราคา ขอแค่ไม่ได้เป็นยี่ห้อเวอร์วังอันไหนนางต้องใช้ นางหยิบหมด ที่เราต้องใช้แต่เราลังเลนางก็หยิบให้ค่ะ
53. อย่างที่บอกค่ะ เสื้อหนาวเราอยู่กระเป๋าใหญ่ ดังนั้นเราต้องซื้อใหม่แต่ไม่แน่ใจว่าต้องซื้อราคาประมาณไหนถึงจะเคลมได้ แฟนเราเห็นง่ะๆ เงิ่นๆ นางเลยมาหยิบให้แล้วลากไปจ่ายตังเลย
54. ไม่ได้หยิบยี่ห้อดังๆ มานะคะ เป็นยี่ห้อที่ไม่รู้จักแถมลดราคาด้วย
55. เบล็ดเสร็จโดนไปทั้งหมดเกือบๆ 300€ ที่สำคัญเลยคือต้องเก็บใบเสร็จไว้ทุกใบนะคะ จะได้เอาไปเคลมกับสายการบินได้
56. เราเข้าไปเช็ค status ในเวป ปรากฏว่ากระเป๋ากำลังถูกส่งมาที่ Nice ค่ะ เริ่มมีความหวังว่าจะได้กระเป๋าวันนี้ แล่วๆๆๆๆๆ แล้วที่ตรูซื้อไปล่ะค๊าาาาาาาาาา........