ได้ยินชื่อ เสือดาวหิมะ มานานแล้ว ในสารคดี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าจะไปยังไงดี
ช่วง ที่ ปิดประเทศ โควิดไป พอเปิด ประเทศนิดหน่อย หลังปีแรก ก็ไปถ่าย เหยี่ยว กับเพื่อน ที่ นครนายก แล้ว ใน บังไพร ที่นั่งอยู่ ก็มี อีกสองคน มานั้งถ่ายนกอยู่ ก็เลย คุยกัน ไปๆมาๆ ตกลง คนนึง เป็นคน สิงคโปร์ มีอายุแล้ว ชื่อ พอล เกษียณแล้ว แกก็ชอบมาถ่ายรูปสัตว์ มากๆ เดิน ทางปีละ หลายๆเดือนมาก แล้วแกก็จัดทริป เล็กๆ 4-6 คน มาไทย อินเดีย อะไร แถวๆ นี้เยอะ แล้วแกก็เอ่ยปากมาว่า นี่ แกมีไปดู เสือดาวหิมะ snow leopard ที่ อินเดีย ทุกปี ด้วย ก็เลยหูพึ่ง เพราะจำได้ ว่า ตอนที่เคยไป อินเดีย หลายปีก่อน เขาก็ว่า มีที่ไปดู เสือดาวหิมะ ได้ แต่ หนาวมากๆ กันดาร มากๆ นะ
สรุปก็คือ ช่วง หน้าหนาว มันหนาวจัด จนเสือดาวหิมะ จะ อพยพ จาก เขาสูงปริดที่คนไปไม่ถึง ลงมา ใกล้ๆ แถวที่คน อยู่บ้าง ให้ พอได้ เห็น เท่าที่รู้ คือ มีที่ ลาดั๊ก ขับรถจาก เลย์ ไปสัก 3 ชม หรือ ไม่ก็มา Spiti Valley นี่แหละ แต่เท่าที่ถามๆดู โอกาศได้เห็นที่ สปิติ จะเยอะกว่า เขาว่างั้น ไม่ก็ไปมองโกเลียเลย
ทีนี้พอหาข้อมูลก็เริ่ม อึ้ง ว่า Kibber animal sanctuary ที่ สปิติ นี่คือสูง ราวๆ 4200 เมตร แถม อุณหภูมิ -20C อีก เลยนั่งคิดว่าไหวไหมนี่ ส่วนตัว เคย ขึ้นสูงถึง 4500 เมตร 3 หนได้ แต่ ไม่นาน เคยค้างคืน ที่ 4000 เมตร คืน นึง แต่เป็นช่วงหน้าร้อน ตอน ไปเดิน trekking ที่ ภูฎาน กะ ตอนไป Zanskar, Leh ที่อินเดีย ก็ขึ้นถึง 4500เมตร สองทีมั้ง ถ้าจำไม่ผิด แต่เป็นแค่ทางผ่าน ส่วน -20c นี่ เฉยๆ เพราะ เคย เจอ อุณภูมิแบบนี้ อยู่หลายปีช่วงหน้าหนาว แต่อยู่ในบ้านที่อุปกรณ์พร้อม นะ แต่ ทั้งสูงทั้งหนาวพร้อมกัน นี่ไม่เคยเลย 5555
พอ ต้นปีทีแล้ว อีตาพอล ไป สปิติ ผมก็คุยกับแกอยู่ ก็บอกแกว่า ไหน ส่งรูปที่ พัก กะ ห้องนํ้ามาให้ ดูหน่อย พอเห็นห้อง พอรับ ได้ แล้วห้องนํ้า แบบ ไม่ต้องนั่ง ยองๆ (เรื่องสำคัญมากๆ 555) ก็เลยคุยกับเพื่อน ว่า ปะ ไปกัน ปี นี้ ก่อนจะแก่ ไม่มีแรง ที่จะไปแบบ นี้ ไม่ไหว ก็เลยเป็นที่มา ของทริปนี้นะครับ
เริ่มต้น บิน จาก กทม ไป เดลลี ออก ห้าทุ่มกว่าๆ ไปถึง เดลลี ตีสองครึ่ง เริ่มต้น ก็จะเป็นลมแล้วเครื่องลงที่ เดลลีเสร็จ มองออกหน้าต่างมีแต่หมอก แปปนึง กัปตัน ประกาศ สนามบินปิดเพราะ หมอกแล้ว เครื่องบินออกไม่ได้ ตอนนี้ terminal เต็มแล้วเข้าจอดไม่ได้ สรุปได้นอนเล่นอยู่บน รันเวย์ 3 ชม ลงจากเครื่อง ออกมาเจอเจ้าพอล ที่มารอ ที่สนามบิน ตั้งแต่ เครื่องลง เอา ก็ หกโมงเช้า ก็ขึ้นรถ ลุยเลย
ทีนี้ Spiti Valley นี่อยู่แคว้น Hamachal Pradesh คือแคว้นที่อยู่ใต้ แคชเมียร์ เป็นเทือกเขาหิมาลัย ทั้งแคว้นเลยมั้ง ห่างจาก เดลลี เกือบๆ พันกิโล เราใช้เวลา 2 วันครึ่ง นั่งรถ 3-400 กิโลแรก เป็น ทางราบ ไม่มีอะไร แล้วก็ลุยขึ้นเขา ไปเรื่อยๆ อีก 2 วันเศษๆ 555 เขาจัดไว้ให้ คืนแรก นอนที่ 2700 เมตร คืนที่สอง 3500 เมตร แล้ววันที่สาม ใช้เวลา ครึ่งวันลุยขึ้น Kibber ที่ 4200 เมตร ให้เวลาค่อยๆปรับร่างกายนิดนึง จริงๆ จากเดลลี สามารถบิน ในประเทศ มีไฟลท์ ทุ่นเวลาไปได้ สัก 6 ชม แต่ ทุ่นเวลาทางราบซะส่วนใหญ่ ยังไง ก็ต้องลุยด้วย รถขึ้นเขากัน ยาวๆ นึกถึง นั่งรถสัก 18 ชม ในทางเหมือน ไป สะปัน บางช่วง ก็คดเคี้ยวกว่า สะปันเยอะ ทางส่วนใหญ่เป็นแค่ สองเลนส พอให้ รถสวนกันได้ วิ่งตามขอบเขาไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางพอขึ้นเขาก็มีอะไรสวยๆ ให้ดูพอควร
เมือง Tabo ถ่ายจากหลังคาโรงแรมตอนเช้า -19C, 3500 เมตร
ตรง rest stop แถวๆ 3500 เมตร มีคนมาเล่น cricket บรรยากาศสุดๆมากๆ 555
มาถึงอินเดีย ข่าวร้ายแรกที่ได้ยินคือ อากาศวิปริตมากๆ ไม่มีหิมะตกเลย ปกติ มันต้องเริ่มตก เดือน พย แล้วตกเยอะ ธค กะ มค เราไปกัน กลาง มคถึงปลายๆ มค แต่ยังไม่มีหิมะตกเลย ปกติ ต้องมีหิมะ ถึงเข่าถึงต้นขาแล้ว คืนแรกไปพัก ในเมืองซึ่งเป็น ski resort นี่ ร้างมากๆ แทบจะปิดเมืองเลยเพราะเล่น สกีไม่ได้ น่าสงสารพวก รร ที่นั้นมาก แต่ยังดีว่า ตั้งแต่ พย มา ก็มีคนเห็น เสือดาวหิมะ ที่ สปิติ มาเป็นระยะๆ ก็เลย โอเค
ทีนี้ใครคิดจะมา ต้องบอก ว่า กพ นี่ ถือว่าเป็นช่วง peak ที่สุด แถวๆ Kibber นี่ มีสองเมืองเล็กๆ ที่รับนักท่องเที่ยวถ่ายรูปได้ ประมาณ ไม่เกิน 200 คน ช่วง กพ นี่ มี คน 100กว่า ถึง 200 ทุกปี ส่วน มค คนจะน้อยกว่า หน่อย ช่วงผมไปมีตากล้องไปสัก 50-60 คนได้ เจ้า Sourav ที่เป็นไกด์ อินเดีย บอกว่า เขา แนะนำให้ มา มค เพราะโอกาศเห็นพอๆกัน แต่คนน้อยกว่า คือ ทุกคนถ้าได้ยินมีเสือดาวหิมะตรงไหน ก็แห่ไปตรงนั้นกันหมด กพ บางจุดนี่ คนแน่น มากๆ มีที่ให้ ยืน ไม่มาก บางทีไม่สามารถยืน ในจุดที่ดีๆ ถ่ายรูปได้ มค จะง่ายกว่า แกว่า อย่างนั้น
มาถึง Kibber วันแรก ก็เข้าที่พักเสร็จ ตอนบ่าย รีปแจ้น ออกไปเลย ทีนี่ ข้อดีคือ พวกเรา ทุกคน มีลูกหาบส่วนตัวช่วยแบกกล้อง กระเป๋า ขาตั้งกล้อง เก้าอี้เล็ก หมด เพราะ ขึ้นมา 4200 เมตร นี้ แค่ เดินขึ้นบันได ตึกชี้นเดียว ก็หอบจะเป็นลมแล้ว เพราะอากาศบางมากๆ กลุ่มผม มี 6 คน มีเจ้า พอล คนนำทริปกับลูกน้องแก เจ้า
Sourev หัวหน้าไกด์ ลูกหาบ 6 คน กะ มี spotter/tracker อีก 4 คน ที่เป็นตามองหาเสือดาวหิมะ เป็นคน แถวๆ นี้หมด เดิน ที่ความสูงนี้เป็นเรื่องปกติ แล้ว เก่งรู้ทุกซอกทุกมุม ของ Kibber
แต่ละกลุ่ม จะมี spotter ของตัวเอง หมด แต่ละวัน ก็ส่ง spotter กระจาย ออกไปทั่ว Kibber เพื่อมองหา เสือดาวหิมะ พวก นี้ จะส่งข่าวถึงกันหมด ถึงทำให้ ใครเจอตัวนึง ไม่นาน ก็ทุกคนจะแห่ตามมากันหมด คนเยอะหน่อย แต่ทำให้ โอกาศ เห็นสูงขึ้นด้วย
วันแรก เจอแต่ red fox จิ้งจอกแดง นอน อาบแดดอยู่ ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่า กัน มีอีกตั้งหลายวัน
แต่ วัน ที่ 2-3 ก็ยังแห้วอีก ไปด้อมๆ มองๆแถวที่มีกวาง ibex กะ blue sheep อยู่ซึ่งเป็นอาหารโปรด ของเสือดาวหิมะ ก็ยังไม่เจอ เลย spotter ของ กรุ๊ป อื่นๆ ก็ไม่มีใครเจอ อะไร เลย เอ ยังไงดีหว่า
วันที่ 4 Sourev บอก คนเลี้ยงแกะที่ หมู่บ้าน Demul ซึ่งข้ามเขาไปอีกลูกห่างไป 2 ชม สูง 4400 เมตร เห็น เสือดาวหิมะอยู่ เราเลยตัดสินใจรีป ตามไปเลย พอไปถึง สักพัก spotter เราก็บอก เจอแล้ว ทุกคนรีปวิ่งแจ้นขึ้นเขาแบบ เดิน 10 ก้าว หอบ สิบ ที เดิน ต่อ อีก 10 ก้าว 555 ขึ้นเขาไป แต่ไปได้ ไม่ถึงครึ่งทาง spotter บอก มันวิ่งหายไปแล้ว กำลัง กระจาย กันหาอยู่ให้รอที่นั่นแหละ วันนี้ ได้เจอ Ishmail Shariff เป็น ช่างภาพอินเดีย ถ่าย เสือดาวหิมะ ที่มีชื่อมากๆ แกมีแสดง exhibition รูป เสือดาวหิมะ ไปทั่วโลกแล้วมั้ง ไปตาม ig ชื่อแกได้ เลย มีรูปสวยๆ เยอะมากๆ แกก็บ่นแหลกว่า ปีนี้ไม่มีหิมะ เลย ตามตัวยากมาก ถ้ามีหิมะ พวก spotter จะมองหา รอยเท้า เสือดาวง่าย หาตัวง่ายกว่า เยอะ แกมาอยู่ Kibber 10 วันแล้ว ยังไม่เจออะไร เลย เอาหละซิ พวกเรา ก็เริ่ม มองหน้า กัน ทริปนี้จะแห้ว ไหม นี่ พี่คนนนึงเริ่มบอก ไม่เป็นไร ปีหน้า มาใหม่ ผมก็มองหน้า บอก จะมาเหรอ มาที่สูงๆ กินอาหารไม่ค่อยได้ เลย ไม่หิวอยากกิน เลย แถม กินยา diamox กันโรค high altitude sickness นี่ อาหารรสเปลี่ยนหมด มาม่า หิ้ว มากินก็ไม่อร่อย โค้กกิน ก็ขม มีแต่ ขนมเปรี้ยวๆ ที่รสยังคงที หนาวก็หนาว เดิน 10 ก้าวก็หมดแรง ถือว่า เป็นทริป ที่โหดที่สุดในชีวิตเลยนะเนี้ย ไม่มีนํ้าร้อนให้อาบ เพราะ ท่อนํ้าแข็งหมดแล้ว เอากระดาษเปียกเช็ดตัวเอง ดีแต่ ส้วมนี่แหละ ที่พอรับได้ 5555
ตอนนี้ เริ่ม ตะโกนร้อง คุณเสือดาวอยู่ไหนเนี้ย โผล่มาให้ดูหน่อย เหอะ
อันนี้ ที่ห้องกินข้าว นั่งเล่น รับแขก ของบ้านที่หมู่บ้าน Demul ตอนพักกินกลางวัน ที่กินช้าวได้ 3 คำ ก็ได้ยินว่ามีเสือดาว เลยเลิกกิน วิ่งแข้นไปหา
เสือแทน ที่พัก ที่ Kibber ห้องใหญ่กว่า สะอาดกว่า แต่หน้าตาประมาณนี้เมหือนกัน มีเตาฟืนกลางห้อง ทำความอุ่น
เย็นวันที่ 4 ก็กลับที่พัก แบบ ห่อเหี่ยวมากๆ ในใจคิดว่า เหลือ 2 วันตรูจะเห็นอะไร ไหมนี่
คืนนั้นเจ้าของ homestay บอกพวกเราว่า เขาถือว่า แบบนี้ผิดปกติ มากๆ ปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่ที่มา อย่างน้อย ต้อง ได้เห็นเสือดาวหิมะ กันเกือบทุกวัน หรือทุกวันเลยในบางทริป แกบอกคนในหมู่บ้านรวมตัวกัน นิมนต์ พระ มาสวดมนต์ที่หมู่บ้านแก้ bad luck หน่อย พรุ่งนี้ 10 โมงเช้า
พูดไปก็เหมือนโม้ รุ่งขึ้น เราก็ออกไปหา เสือดาวหิมะอีก ผมมองนาฬิกาเลย 10 โมง 10 นาที มีโทรศัพท์เข้ามาที่ ไกด์ เราบอก ที่ Demul เห็นอีกแล้ว ก็เลย รีป บึ่งรถไปกัน 2 ชม เดินเขาหน้ามืดตาลาย กันอีก กิโลกว่าๆ
มาถึงเนินเขา แต่อีกแระ ถึงปุ๊ป spotter บอก มีแม่ลูกวิ่งหายไปแล้ว แปปนึงแล้ว ลมจะจับ แต่แกบอกว่า ใจเย็นๆ คนเลี้ยงแกะ อยู่ในหุบเขาเลี้ยงแกะอยู่เขาคิดว่า เดี๋ยวมันต้องมาวนเวียนแถวๆ นี้แน่ ไม่ทันจะ ครึ่ง ชม ก็จริงๆ
เห็นตัวแม่กะลูกมาวิ่งให้เห็นไกลๆ คนเลี้ยงแกะก็รีปต้อนแกะแกไปอีกฝั่งของ หุบเขาเลย แต่ไม่น่าเชือ แปป นึงเสือดาวหิมะหายไป แล้ว อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวด มาไล่กัดแกะ ที่หางแถวต่อหน้า ต่อตาเลย (แต่ไกลๆนะ)
คนเลี้ยงแกะ รีป มาไล่ มันก็วิ่ง หนีไป แต่ แกะหนะ เสร็จเรียบร้อย ไปแล้ว หัวหน้า spotter ผม รีปโทรไปหา คนเลี้ยงแกะเลย ที่นี่ เจ๋งมาก อยู่บนเขาสูงๆ หมู่บ้านเล็กๆ ยังมีสัณญานโทรศัพท์เลย บอกว่า ให้ ทิ้งซากแกะไว้ที่นั้นแหละ ตอนนี้มี กลุ่มตากล้องมา สามกลุ่ม เดี๋ยวจะช่วยกันลงขันจ่ายค่าแกะให้ จ่ายไปรวม $200 USD แต่อันนี้ ทางไกด์ ไม่ได้ มา เก็บตังค์พวกผม นะ จ่ายจากที่เราจ่ายเขาไปตั้งแต่ต้นนั่นแหละ
แล้วก็นั่งเฝ้ากันยาว ได้ เห็น เสือดาวหิมะ ลงมากินแกะ ต่อ ตอนเย็นๆ
วันรุ่งขึ้นวันสุดท้าย พวกเราก็กลับไป Demul อีก เพราะเขาบอกว่า เสือดาวล่าเหยื่อได้ทีนึง ใช่เวลา 1-2 วันกว่าจะกินหมด เพราะฉะนั้นตอนนี้ มันยังไม่ไปไหนแน่ แต่วันนี้ ไกด์ พาเดินเข้าไปทีอีกเนินนึง ใกล้เข้ามาอีก
แต่ ก็เดินไกลขึ้นเยอะ ลมจะจับอีก 555 ออกจากที่พัก 6 โมง มาถึง 8 โมง แล้วเดิน ไปที่จุดใหม่ ถึงเกือบๆ 9 โมง วันนี้ แห่มากันครบ ตากล้อง สัก 50 คนได้ แต่ เนิน นี้ใหญ่ หลวมๆสบายไม่บังกัน ถ้าเป็น กพ มี 200 คน คงเบียดกันน่าดู ไปถึงก็ยังเห็น ซากแกะมีเหลือเยอะพอควร ตัวแม่ นอน เฝ้าห่างไปสัก 50 เมตร ได้ ตัวลูกไปนอนเล่นอยู่บนยอดเขา เจ้า พอล กับ ฝรั่ง ที่คุยกัน บนเขา ที่เคยมากันหลายๆ หน บอก ใจเย็นๆ รอไปเลยนานๆ กว่า จะตื่นมากิน คงเย็นๆ แน่ บนเขา มี อินเดีย ฝรั่งเศส รัสเซีย ญี่ปุ่น ไทย สิงคโปร์ กะอีกกี่ชาติ ไม่รู้
นั่งๆนอนๆ กันทั้งวันรอคุณเสือดาว ตื่น มาเดินโชว์ตัวกินแกะให้ ดู
พอถ่ายรูปกันได้ชุ่มใจจนแสงเริ่มจะน้อยลงแล้ว ค่อยได้เดิน อย่างมีความสุข เห็นแล้วเฟร้อย กลับ บ้านได้ ไม่ขัดใจ
คนนี้เป็นลูกหาบของผม ช่วยแบกทุกอย่าง ตอนไหน ทำท่าจะเดินไม่ไหว แกก็มาช่วยฉุด ช่วยลากไปต่อ แหม อยากบอกแกขอขี่หลังแกไปหน่อย เหอะ
จบทริปหละครับ
ตามหา เสือดาวหิมะ ที่ สปิติ อินเดีย
ได้ยินชื่อ เสือดาวหิมะ มานานแล้ว ในสารคดี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าจะไปยังไงดี
ช่วง ที่ ปิดประเทศ โควิดไป พอเปิด ประเทศนิดหน่อย หลังปีแรก ก็ไปถ่าย เหยี่ยว กับเพื่อน ที่ นครนายก แล้ว ใน บังไพร ที่นั่งอยู่ ก็มี อีกสองคน มานั้งถ่ายนกอยู่ ก็เลย คุยกัน ไปๆมาๆ ตกลง คนนึง เป็นคน สิงคโปร์ มีอายุแล้ว ชื่อ พอล เกษียณแล้ว แกก็ชอบมาถ่ายรูปสัตว์ มากๆ เดิน ทางปีละ หลายๆเดือนมาก แล้วแกก็จัดทริป เล็กๆ 4-6 คน มาไทย อินเดีย อะไร แถวๆ นี้เยอะ แล้วแกก็เอ่ยปากมาว่า นี่ แกมีไปดู เสือดาวหิมะ snow leopard ที่ อินเดีย ทุกปี ด้วย ก็เลยหูพึ่ง เพราะจำได้ ว่า ตอนที่เคยไป อินเดีย หลายปีก่อน เขาก็ว่า มีที่ไปดู เสือดาวหิมะ ได้ แต่ หนาวมากๆ กันดาร มากๆ นะ
สรุปก็คือ ช่วง หน้าหนาว มันหนาวจัด จนเสือดาวหิมะ จะ อพยพ จาก เขาสูงปริดที่คนไปไม่ถึง ลงมา ใกล้ๆ แถวที่คน อยู่บ้าง ให้ พอได้ เห็น เท่าที่รู้ คือ มีที่ ลาดั๊ก ขับรถจาก เลย์ ไปสัก 3 ชม หรือ ไม่ก็มา Spiti Valley นี่แหละ แต่เท่าที่ถามๆดู โอกาศได้เห็นที่ สปิติ จะเยอะกว่า เขาว่างั้น ไม่ก็ไปมองโกเลียเลย
ทีนี้พอหาข้อมูลก็เริ่ม อึ้ง ว่า Kibber animal sanctuary ที่ สปิติ นี่คือสูง ราวๆ 4200 เมตร แถม อุณหภูมิ -20C อีก เลยนั่งคิดว่าไหวไหมนี่ ส่วนตัว เคย ขึ้นสูงถึง 4500 เมตร 3 หนได้ แต่ ไม่นาน เคยค้างคืน ที่ 4000 เมตร คืน นึง แต่เป็นช่วงหน้าร้อน ตอน ไปเดิน trekking ที่ ภูฎาน กะ ตอนไป Zanskar, Leh ที่อินเดีย ก็ขึ้นถึง 4500เมตร สองทีมั้ง ถ้าจำไม่ผิด แต่เป็นแค่ทางผ่าน ส่วน -20c นี่ เฉยๆ เพราะ เคย เจอ อุณภูมิแบบนี้ อยู่หลายปีช่วงหน้าหนาว แต่อยู่ในบ้านที่อุปกรณ์พร้อม นะ แต่ ทั้งสูงทั้งหนาวพร้อมกัน นี่ไม่เคยเลย 5555
พอ ต้นปีทีแล้ว อีตาพอล ไป สปิติ ผมก็คุยกับแกอยู่ ก็บอกแกว่า ไหน ส่งรูปที่ พัก กะ ห้องนํ้ามาให้ ดูหน่อย พอเห็นห้อง พอรับ ได้ แล้วห้องนํ้า แบบ ไม่ต้องนั่ง ยองๆ (เรื่องสำคัญมากๆ 555) ก็เลยคุยกับเพื่อน ว่า ปะ ไปกัน ปี นี้ ก่อนจะแก่ ไม่มีแรง ที่จะไปแบบ นี้ ไม่ไหว ก็เลยเป็นที่มา ของทริปนี้นะครับ
เริ่มต้น บิน จาก กทม ไป เดลลี ออก ห้าทุ่มกว่าๆ ไปถึง เดลลี ตีสองครึ่ง เริ่มต้น ก็จะเป็นลมแล้วเครื่องลงที่ เดลลีเสร็จ มองออกหน้าต่างมีแต่หมอก แปปนึง กัปตัน ประกาศ สนามบินปิดเพราะ หมอกแล้ว เครื่องบินออกไม่ได้ ตอนนี้ terminal เต็มแล้วเข้าจอดไม่ได้ สรุปได้นอนเล่นอยู่บน รันเวย์ 3 ชม ลงจากเครื่อง ออกมาเจอเจ้าพอล ที่มารอ ที่สนามบิน ตั้งแต่ เครื่องลง เอา ก็ หกโมงเช้า ก็ขึ้นรถ ลุยเลย
ทีนี้ Spiti Valley นี่อยู่แคว้น Hamachal Pradesh คือแคว้นที่อยู่ใต้ แคชเมียร์ เป็นเทือกเขาหิมาลัย ทั้งแคว้นเลยมั้ง ห่างจาก เดลลี เกือบๆ พันกิโล เราใช้เวลา 2 วันครึ่ง นั่งรถ 3-400 กิโลแรก เป็น ทางราบ ไม่มีอะไร แล้วก็ลุยขึ้นเขา ไปเรื่อยๆ อีก 2 วันเศษๆ 555 เขาจัดไว้ให้ คืนแรก นอนที่ 2700 เมตร คืนที่สอง 3500 เมตร แล้ววันที่สาม ใช้เวลา ครึ่งวันลุยขึ้น Kibber ที่ 4200 เมตร ให้เวลาค่อยๆปรับร่างกายนิดนึง จริงๆ จากเดลลี สามารถบิน ในประเทศ มีไฟลท์ ทุ่นเวลาไปได้ สัก 6 ชม แต่ ทุ่นเวลาทางราบซะส่วนใหญ่ ยังไง ก็ต้องลุยด้วย รถขึ้นเขากัน ยาวๆ นึกถึง นั่งรถสัก 18 ชม ในทางเหมือน ไป สะปัน บางช่วง ก็คดเคี้ยวกว่า สะปันเยอะ ทางส่วนใหญ่เป็นแค่ สองเลนส พอให้ รถสวนกันได้ วิ่งตามขอบเขาไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางพอขึ้นเขาก็มีอะไรสวยๆ ให้ดูพอควร
เมือง Tabo ถ่ายจากหลังคาโรงแรมตอนเช้า -19C, 3500 เมตร
ตรง rest stop แถวๆ 3500 เมตร มีคนมาเล่น cricket บรรยากาศสุดๆมากๆ 555
มาถึงอินเดีย ข่าวร้ายแรกที่ได้ยินคือ อากาศวิปริตมากๆ ไม่มีหิมะตกเลย ปกติ มันต้องเริ่มตก เดือน พย แล้วตกเยอะ ธค กะ มค เราไปกัน กลาง มคถึงปลายๆ มค แต่ยังไม่มีหิมะตกเลย ปกติ ต้องมีหิมะ ถึงเข่าถึงต้นขาแล้ว คืนแรกไปพัก ในเมืองซึ่งเป็น ski resort นี่ ร้างมากๆ แทบจะปิดเมืองเลยเพราะเล่น สกีไม่ได้ น่าสงสารพวก รร ที่นั้นมาก แต่ยังดีว่า ตั้งแต่ พย มา ก็มีคนเห็น เสือดาวหิมะ ที่ สปิติ มาเป็นระยะๆ ก็เลย โอเค
ทีนี้ใครคิดจะมา ต้องบอก ว่า กพ นี่ ถือว่าเป็นช่วง peak ที่สุด แถวๆ Kibber นี่ มีสองเมืองเล็กๆ ที่รับนักท่องเที่ยวถ่ายรูปได้ ประมาณ ไม่เกิน 200 คน ช่วง กพ นี่ มี คน 100กว่า ถึง 200 ทุกปี ส่วน มค คนจะน้อยกว่า หน่อย ช่วงผมไปมีตากล้องไปสัก 50-60 คนได้ เจ้า Sourav ที่เป็นไกด์ อินเดีย บอกว่า เขา แนะนำให้ มา มค เพราะโอกาศเห็นพอๆกัน แต่คนน้อยกว่า คือ ทุกคนถ้าได้ยินมีเสือดาวหิมะตรงไหน ก็แห่ไปตรงนั้นกันหมด กพ บางจุดนี่ คนแน่น มากๆ มีที่ให้ ยืน ไม่มาก บางทีไม่สามารถยืน ในจุดที่ดีๆ ถ่ายรูปได้ มค จะง่ายกว่า แกว่า อย่างนั้น
มาถึง Kibber วันแรก ก็เข้าที่พักเสร็จ ตอนบ่าย รีปแจ้น ออกไปเลย ทีนี่ ข้อดีคือ พวกเรา ทุกคน มีลูกหาบส่วนตัวช่วยแบกกล้อง กระเป๋า ขาตั้งกล้อง เก้าอี้เล็ก หมด เพราะ ขึ้นมา 4200 เมตร นี้ แค่ เดินขึ้นบันได ตึกชี้นเดียว ก็หอบจะเป็นลมแล้ว เพราะอากาศบางมากๆ กลุ่มผม มี 6 คน มีเจ้า พอล คนนำทริปกับลูกน้องแก เจ้า
Sourev หัวหน้าไกด์ ลูกหาบ 6 คน กะ มี spotter/tracker อีก 4 คน ที่เป็นตามองหาเสือดาวหิมะ เป็นคน แถวๆ นี้หมด เดิน ที่ความสูงนี้เป็นเรื่องปกติ แล้ว เก่งรู้ทุกซอกทุกมุม ของ Kibber
แต่ละกลุ่ม จะมี spotter ของตัวเอง หมด แต่ละวัน ก็ส่ง spotter กระจาย ออกไปทั่ว Kibber เพื่อมองหา เสือดาวหิมะ พวก นี้ จะส่งข่าวถึงกันหมด ถึงทำให้ ใครเจอตัวนึง ไม่นาน ก็ทุกคนจะแห่ตามมากันหมด คนเยอะหน่อย แต่ทำให้ โอกาศ เห็นสูงขึ้นด้วย
วันแรก เจอแต่ red fox จิ้งจอกแดง นอน อาบแดดอยู่ ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่า กัน มีอีกตั้งหลายวัน
แต่ วัน ที่ 2-3 ก็ยังแห้วอีก ไปด้อมๆ มองๆแถวที่มีกวาง ibex กะ blue sheep อยู่ซึ่งเป็นอาหารโปรด ของเสือดาวหิมะ ก็ยังไม่เจอ เลย spotter ของ กรุ๊ป อื่นๆ ก็ไม่มีใครเจอ อะไร เลย เอ ยังไงดีหว่า
วันที่ 4 Sourev บอก คนเลี้ยงแกะที่ หมู่บ้าน Demul ซึ่งข้ามเขาไปอีกลูกห่างไป 2 ชม สูง 4400 เมตร เห็น เสือดาวหิมะอยู่ เราเลยตัดสินใจรีป ตามไปเลย พอไปถึง สักพัก spotter เราก็บอก เจอแล้ว ทุกคนรีปวิ่งแจ้นขึ้นเขาแบบ เดิน 10 ก้าว หอบ สิบ ที เดิน ต่อ อีก 10 ก้าว 555 ขึ้นเขาไป แต่ไปได้ ไม่ถึงครึ่งทาง spotter บอก มันวิ่งหายไปแล้ว กำลัง กระจาย กันหาอยู่ให้รอที่นั่นแหละ วันนี้ ได้เจอ Ishmail Shariff เป็น ช่างภาพอินเดีย ถ่าย เสือดาวหิมะ ที่มีชื่อมากๆ แกมีแสดง exhibition รูป เสือดาวหิมะ ไปทั่วโลกแล้วมั้ง ไปตาม ig ชื่อแกได้ เลย มีรูปสวยๆ เยอะมากๆ แกก็บ่นแหลกว่า ปีนี้ไม่มีหิมะ เลย ตามตัวยากมาก ถ้ามีหิมะ พวก spotter จะมองหา รอยเท้า เสือดาวง่าย หาตัวง่ายกว่า เยอะ แกมาอยู่ Kibber 10 วันแล้ว ยังไม่เจออะไร เลย เอาหละซิ พวกเรา ก็เริ่ม มองหน้า กัน ทริปนี้จะแห้ว ไหม นี่ พี่คนนนึงเริ่มบอก ไม่เป็นไร ปีหน้า มาใหม่ ผมก็มองหน้า บอก จะมาเหรอ มาที่สูงๆ กินอาหารไม่ค่อยได้ เลย ไม่หิวอยากกิน เลย แถม กินยา diamox กันโรค high altitude sickness นี่ อาหารรสเปลี่ยนหมด มาม่า หิ้ว มากินก็ไม่อร่อย โค้กกิน ก็ขม มีแต่ ขนมเปรี้ยวๆ ที่รสยังคงที หนาวก็หนาว เดิน 10 ก้าวก็หมดแรง ถือว่า เป็นทริป ที่โหดที่สุดในชีวิตเลยนะเนี้ย ไม่มีนํ้าร้อนให้อาบ เพราะ ท่อนํ้าแข็งหมดแล้ว เอากระดาษเปียกเช็ดตัวเอง ดีแต่ ส้วมนี่แหละ ที่พอรับได้ 5555
ตอนนี้ เริ่ม ตะโกนร้อง คุณเสือดาวอยู่ไหนเนี้ย โผล่มาให้ดูหน่อย เหอะ
อันนี้ ที่ห้องกินข้าว นั่งเล่น รับแขก ของบ้านที่หมู่บ้าน Demul ตอนพักกินกลางวัน ที่กินช้าวได้ 3 คำ ก็ได้ยินว่ามีเสือดาว เลยเลิกกิน วิ่งแข้นไปหา
เสือแทน ที่พัก ที่ Kibber ห้องใหญ่กว่า สะอาดกว่า แต่หน้าตาประมาณนี้เมหือนกัน มีเตาฟืนกลางห้อง ทำความอุ่น
เย็นวันที่ 4 ก็กลับที่พัก แบบ ห่อเหี่ยวมากๆ ในใจคิดว่า เหลือ 2 วันตรูจะเห็นอะไร ไหมนี่
คืนนั้นเจ้าของ homestay บอกพวกเราว่า เขาถือว่า แบบนี้ผิดปกติ มากๆ ปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่ที่มา อย่างน้อย ต้อง ได้เห็นเสือดาวหิมะ กันเกือบทุกวัน หรือทุกวันเลยในบางทริป แกบอกคนในหมู่บ้านรวมตัวกัน นิมนต์ พระ มาสวดมนต์ที่หมู่บ้านแก้ bad luck หน่อย พรุ่งนี้ 10 โมงเช้า
พูดไปก็เหมือนโม้ รุ่งขึ้น เราก็ออกไปหา เสือดาวหิมะอีก ผมมองนาฬิกาเลย 10 โมง 10 นาที มีโทรศัพท์เข้ามาที่ ไกด์ เราบอก ที่ Demul เห็นอีกแล้ว ก็เลย รีป บึ่งรถไปกัน 2 ชม เดินเขาหน้ามืดตาลาย กันอีก กิโลกว่าๆ
มาถึงเนินเขา แต่อีกแระ ถึงปุ๊ป spotter บอก มีแม่ลูกวิ่งหายไปแล้ว แปปนึงแล้ว ลมจะจับ แต่แกบอกว่า ใจเย็นๆ คนเลี้ยงแกะ อยู่ในหุบเขาเลี้ยงแกะอยู่เขาคิดว่า เดี๋ยวมันต้องมาวนเวียนแถวๆ นี้แน่ ไม่ทันจะ ครึ่ง ชม ก็จริงๆ
เห็นตัวแม่กะลูกมาวิ่งให้เห็นไกลๆ คนเลี้ยงแกะก็รีปต้อนแกะแกไปอีกฝั่งของ หุบเขาเลย แต่ไม่น่าเชือ แปป นึงเสือดาวหิมะหายไป แล้ว อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวด มาไล่กัดแกะ ที่หางแถวต่อหน้า ต่อตาเลย (แต่ไกลๆนะ)
คนเลี้ยงแกะ รีป มาไล่ มันก็วิ่ง หนีไป แต่ แกะหนะ เสร็จเรียบร้อย ไปแล้ว หัวหน้า spotter ผม รีปโทรไปหา คนเลี้ยงแกะเลย ที่นี่ เจ๋งมาก อยู่บนเขาสูงๆ หมู่บ้านเล็กๆ ยังมีสัณญานโทรศัพท์เลย บอกว่า ให้ ทิ้งซากแกะไว้ที่นั้นแหละ ตอนนี้มี กลุ่มตากล้องมา สามกลุ่ม เดี๋ยวจะช่วยกันลงขันจ่ายค่าแกะให้ จ่ายไปรวม $200 USD แต่อันนี้ ทางไกด์ ไม่ได้ มา เก็บตังค์พวกผม นะ จ่ายจากที่เราจ่ายเขาไปตั้งแต่ต้นนั่นแหละ
แล้วก็นั่งเฝ้ากันยาว ได้ เห็น เสือดาวหิมะ ลงมากินแกะ ต่อ ตอนเย็นๆ
วันรุ่งขึ้นวันสุดท้าย พวกเราก็กลับไป Demul อีก เพราะเขาบอกว่า เสือดาวล่าเหยื่อได้ทีนึง ใช่เวลา 1-2 วันกว่าจะกินหมด เพราะฉะนั้นตอนนี้ มันยังไม่ไปไหนแน่ แต่วันนี้ ไกด์ พาเดินเข้าไปทีอีกเนินนึง ใกล้เข้ามาอีก
แต่ ก็เดินไกลขึ้นเยอะ ลมจะจับอีก 555 ออกจากที่พัก 6 โมง มาถึง 8 โมง แล้วเดิน ไปที่จุดใหม่ ถึงเกือบๆ 9 โมง วันนี้ แห่มากันครบ ตากล้อง สัก 50 คนได้ แต่ เนิน นี้ใหญ่ หลวมๆสบายไม่บังกัน ถ้าเป็น กพ มี 200 คน คงเบียดกันน่าดู ไปถึงก็ยังเห็น ซากแกะมีเหลือเยอะพอควร ตัวแม่ นอน เฝ้าห่างไปสัก 50 เมตร ได้ ตัวลูกไปนอนเล่นอยู่บนยอดเขา เจ้า พอล กับ ฝรั่ง ที่คุยกัน บนเขา ที่เคยมากันหลายๆ หน บอก ใจเย็นๆ รอไปเลยนานๆ กว่า จะตื่นมากิน คงเย็นๆ แน่ บนเขา มี อินเดีย ฝรั่งเศส รัสเซีย ญี่ปุ่น ไทย สิงคโปร์ กะอีกกี่ชาติ ไม่รู้
นั่งๆนอนๆ กันทั้งวันรอคุณเสือดาว ตื่น มาเดินโชว์ตัวกินแกะให้ ดู
พอถ่ายรูปกันได้ชุ่มใจจนแสงเริ่มจะน้อยลงแล้ว ค่อยได้เดิน อย่างมีความสุข เห็นแล้วเฟร้อย กลับ บ้านได้ ไม่ขัดใจ
คนนี้เป็นลูกหาบของผม ช่วยแบกทุกอย่าง ตอนไหน ทำท่าจะเดินไม่ไหว แกก็มาช่วยฉุด ช่วยลากไปต่อ แหม อยากบอกแกขอขี่หลังแกไปหน่อย เหอะ
จบทริปหละครับ