“มันเท่มากรึไงชุดนี้”
ผมมองตัวละครที่กำลังแสดงท่าทางกวัดแกว่งดาบประกายแดงบนหน้าจอ แล้วนึกถึงคำถามที่เคยได้รับคำตอบตอบสั้นๆ ว่า เท่
หมวกอย่างกับโจ๊กเกอร์ ถอดเสื้อโชว์ลายสัก กางเกงขาเข้ารูปสีแดง รองเท้าแตะอีกต่างหาก
ตัวละครในเกมโดดร่มของเขา ผมไม่รู้หรอกว่ามันมีชื่อว่าอะไร ผมแค่เข้ามาเก็บของรางวัลจากการล็อกอินประจำวันให้เขาเท่านั้น
“พรุ่งนี้มาอีกนะ มาอีกสามวัน” เขาบอกเมื่อส่งโทรศัพท์ให้ผม
“ทำไมต้องมาอีกสามวัน”
ผมถามกลับ
“ถ้ามาอีกสามวันหนูจะได้วินด์วอลล์”
นั่นคือสาเหตุที่ผมต้องคอยล็อกอินเก็บของรางวัลให้เขา หากว่าวันไหนเราไม่ได้เจอกัน
ตอนได้เห็นครั้งแรกเขายังไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ เด็กชายตัวผอมๆ ผิวคล้ำ ดวงตากลมใสนั้นเปี่ยมด้วยแววหวาดระแวง ไม่กวนไม่โยเย มีฅนแปลกหน้าทักทายเขาจะนิ่ง เมื่อถูกใครสักฅนอุ้มเขาจะกอดฅนอุ้มไว้ กอดซบแน่นสนิท ราวกับว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น เราอาจสลายหายไปได้
เขาเข้ามาในบ้านพี่ชายต่างมารดาผมในฐานะลูกติดภรรยาของลูกพี่ชาย หรือหลานชายผมอีกที การที่ลูกชายได้เมียแม่ม่ายและไม่ใช่ฅนดอยแบบเรา แถมมีลูกติดแบบนี้ เป็นธรรมดาอยู่เองที่พี่ชายของผมจะไม่พอใจ แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรเมื่อลูกชายยืนกรานในการรับภรรยาเข้าบ้าน ทุกอย่างก็ต้องเลยตามเลย ไม่นานเขาก็กลายเป็นสมาชิกที่ทุกฅนในบ้านของพี่ชายต่างรักใคร่เอ็นดู กับท่าทางประจบนิ่งนั้น
เพียงแต่ว่าหลังจากช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป เขามีน้องชายเมื่ออายุได้สองขวบ เป็นตอนที่เขาเริ่มแสดงความเกเรดื้อดึงออกมาให้ทุกฅนได้เห็น ยิ่งนับวันความดื้อรั้นของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นตามวัย แม้หลานชายของผมจะคอยบังคับเคี่ยวเข็ญสักเท่าไรก็ตาม เมื่ออายุได้ห้าหกขวบ เขาก็กลายเป็นวายร้ายที่ทุกฅนต่างพากันส่ายหน้าในที่สุด
ตัวละครในชุดเท่ของเขายังคงกวัดแกว่งดาบ และผมยังนิ่งมอง นึกถึงแววตามุ่งมั่นขณะบังคับเกมโดดร่มสู่เป้าหมายที่ต้องการ
“หนูอยากเล่นเกมโดดร่ม”
ผมหันมองเขาจากคำพูดนั้น บ้านของพี่ชายผมจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เขาเห็นฅนอื่นเล่นจึงอยากเล่นตาม แต่ว่าจะเล่นได้เหรอ นั่นคือสิ่งที่คิดในใจ
เขาเล่นมันได้ เข้าใจเกมทั้งที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก หรือแค่ เอ บี ซี ดี ยังกระท่อนกระแท่นด้วยซ้ำ อาจจำจากการนั่งมองเขาเล่นกันด้วย เก่งกว่าเหย่ออีกแฮะ อดคิดในใจแบบนั้นไม่ได้ ผมแทนตัวเองว่า เหย่อ ที่แปลว่าปู่กับเขาตามพี่ชาย
ไม่มีสายตาหวาดระแวง ไม่มีแววตาดื้อรั้น ยามเขาอยู่กับเกมมีเพียงแววตาของเด็กฅนหนึ่งเท่านั้น เด็กฅนหนึ่งกับโลกสมมุติ โลกของเขา โลกที่เขามีความสุขกับมันได้
เพียงแต่ว่าการเล่นเกมของเขากลายเป็นปัญหาใหญ่ในบ้าน เกมทำให้เขาก้าวร้าว เกมทำให้เขาไม่ทำการบ้าน เกมทำให้เขาหมกมุ่น เกมทำให้เขายิ่งดื้อรั้นกว่าเดิม เพียงแต่ว่านั่นคือมุมมองของทุกฅนที่ไม่มีผมรวมอยู่ด้วยเท่านั้น ผมยังคงมองเขาไม่ต่างจากลูกหลานอื่นที่ล้วนมีโทรศัพท์ไว้เล่นเกมกัน มีเขาฅนเดียวที่ต้องเล่นด้วยโทรศัพท์ผม และมีเขาฅนเดียวเท่านั้นที่ทุกฅนมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าวมีปัญหา
ผมทำเป็นหูทวนลมมาตลอดเมื่อได้ยินเสียงบ่นเรื่องการตามใจให้เขาใช้โทรศัพท์เล่มเกม
“ยิงภาษาอังกฤษว่าอะไร” ผมถามขณะเขาบังคับตัวละครในเกมยิงใส่ฝ่ายตรงข้าม”
“ชู้ด” เขาตอบโดยไม่ละความสนใจจากจอมือถือ
“แล้ววิ่งล่ะ”
“รัน” เขาตอบออกมาทันทีเช่นกัน
“โดด”
“จั๊ม”
“วินด์วอลล์แปลว่าอะไร” ผมถาม เขาส่ายหน้าตอบ รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ทราบความหมายของคำนี้ แต่ผมถามเพื่อจะได้อธิบายเท่านั้นเอง
“มันแปลว่ากำแพงลม” ผมบอกกับเขา จากนั้นทุกครั้งเมื่อผมแกล้งถาม เขาก็จำมันได้ขึ้นใจแล้ว
บางครั้งผมลองให้เขาสะกดภาษาไทยคำยากให้ฟังเช่นกัน ซึ่งเขาทำได้ดีจนอดเอ่ยชมไม่ได้
“เก่งว่ะ”
เขายิ้มภูมิใจ
ผมภูมิใจเช่นกัน ขนาดมีโรคระบาดแทบไม่ได้ไปโรงเรียนทั้งปีแบบนี้ ยังเหมือนไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อการเรียนรู้ของเขาแต่อย่างใดเลย เพียงแต่ว่าที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่มุมมองของทุกฅนเช่นกัน
การกระทำของผมกลายเป็นให้ท้าย พี่ชายและพี่สะใภ้เริ่มไม่พอใจหนักขึ้น รวมถึงหลานชายและภรรยาของเขาด้วยเช่นกัน ทุกฅนต่างบอกว่า การให้ท้ายของผมและเกมต่อสู้นั้นทำให้เขากลายเป็นเด็กก้าวร้าว
“สัสเอ๊ย” เขาสบถออกมาขณะเล่นเกม
“อะไร” ผมส่งเสียงกับเขาในทันที
“มันด่าหนูก่อนนี่” เขาตอบ ผมรู้ว่าในการเล่นเกมของเขามักมีการด่ากันเกิดขึ้นได้
“ด่าก่อนก็ช่างเขาสิ เราไม่ต้องด่าตอบ” ผมว่า เขานิ่งฟัง
“เล่นให้มันสนุก ถ้าเล่นแล้วไม่สนุกจะอดเล่นนะ”
ถึงเขาจะดูก้าวร้าว อย่างน้อยก็ในสายตาของทุกฅน แต่ผมรู้ว่าการด่าทอไม่ใช่นิสัยของเขาอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะรับฟัง เพียงแต่ว่าถ้าเขายังเล่นเกม เขาก็ยังเป็นเด็กก้าวร้าวอยู่ดี โดยเฉพาะในสายตาของพ่อเลี้ยง
ผมยังอดนึกถึงแววตาของเขาขณะบังคับเกมไม่ได้ แววตาที่อาจไม่เคยสะท้อนในกระจกตาของใคร สิ่งที่ทุกฅนเห็นจากเขามีแต่ความก้าวร้าวเท่านั้น ผมไม่อาจบอกใครได้ว่า ถ้าเขาไม่ดื้อไม่ก้าวร้าว เขาจะไม่มีวันยิ้มออกมาได้เลย ยังจำแววตาหวาดระแวงในวันแรกที่เจอกันได้ดี แววตาหวาดระแวงที่หายไปเมื่อเขามีครอบครัวที่สมบูรณ์ ได้รับความรักจากพ่อและแม่ ก่อนที่น้องชายของเขาจะเกิดมาและเขากลายเป็นส่วนเกิน เมื่อพ่อเลี้ยเปลี่ยนไปเขาก็มีความก้าวร้าวไว้ปกป้องตัวเองเท่านั้น แม้ว่าจะทำให้ยิ่งถูกเกลียดชังก็ตาม เด็กตัวเท่าเขาจะคิดอะไรมากกว่านี้ได้เล่า
เขาอยู่ในชุดถอดเสื้อโชว์ลายสัก นุ่งกางเกงขาเข้ารูปสีแดง สวมรองเท้าแตะกับหมวกที่ไม่ต่างจากโจ๊กเกอร์ กวัดแกว่งดาบโดยไม่ได้สนใจผม เมื่ออยู่ในโลกของเขาแล้วเขาไม่ต้องสนใจใคร ผมเสียบสายชาร์จมือถือก่อนวางมันไว้ตรงสื่อกั๊ง (บริเวณที่ใช้เซ่นไหว้ยรรพบุรุษ) ห้ามน้ำตาไม่ได้ขณะบอกกับเขาเบาๆ
“ขึ้นเครื่องโดดร่มได้แล้ว ไม่ต้องกลัวใครดุด่าเฆี่ยนตีอีกแล้ว เล่นให้ถึงเช้า เล่นให้สนุก”
ผมเดินมาที่เตียง ยังคงคิดไม่ถึงว่า การทำหูทวนลมของผม และการดึงดันเอาชนะระหว่างผมกับบ้านพี่ชาย จะมีส่วนทำให้ฅนที่อ้างว่า ไม่อยากให้เขาเป็นเด็กก้าวร้าวรุนแรงเพราะติดเกม จะใช้วิธีรุนแรงกับเขาเสียเอง รุนแรงเกินเขาจะรับไหว…
ผมล้มตัวนอน แสงจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบในบางครั้ง เสียงเขายิงใส่ฝ่ายตรงข้ามยังแว่วมาให้ได้ยิน
เขาได้อยู่ในโลกของเขาแล้ว โลกของวายร้าย ผมคิดและยังคงปาดน้ำตา.
โลกของวายร้าย
ผมมองตัวละครที่กำลังแสดงท่าทางกวัดแกว่งดาบประกายแดงบนหน้าจอ แล้วนึกถึงคำถามที่เคยได้รับคำตอบตอบสั้นๆ ว่า เท่
หมวกอย่างกับโจ๊กเกอร์ ถอดเสื้อโชว์ลายสัก กางเกงขาเข้ารูปสีแดง รองเท้าแตะอีกต่างหาก
ตัวละครในเกมโดดร่มของเขา ผมไม่รู้หรอกว่ามันมีชื่อว่าอะไร ผมแค่เข้ามาเก็บของรางวัลจากการล็อกอินประจำวันให้เขาเท่านั้น
“พรุ่งนี้มาอีกนะ มาอีกสามวัน” เขาบอกเมื่อส่งโทรศัพท์ให้ผม
“ทำไมต้องมาอีกสามวัน”
ผมถามกลับ
“ถ้ามาอีกสามวันหนูจะได้วินด์วอลล์”
นั่นคือสาเหตุที่ผมต้องคอยล็อกอินเก็บของรางวัลให้เขา หากว่าวันไหนเราไม่ได้เจอกัน
ตอนได้เห็นครั้งแรกเขายังไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ เด็กชายตัวผอมๆ ผิวคล้ำ ดวงตากลมใสนั้นเปี่ยมด้วยแววหวาดระแวง ไม่กวนไม่โยเย มีฅนแปลกหน้าทักทายเขาจะนิ่ง เมื่อถูกใครสักฅนอุ้มเขาจะกอดฅนอุ้มไว้ กอดซบแน่นสนิท ราวกับว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น เราอาจสลายหายไปได้
เขาเข้ามาในบ้านพี่ชายต่างมารดาผมในฐานะลูกติดภรรยาของลูกพี่ชาย หรือหลานชายผมอีกที การที่ลูกชายได้เมียแม่ม่ายและไม่ใช่ฅนดอยแบบเรา แถมมีลูกติดแบบนี้ เป็นธรรมดาอยู่เองที่พี่ชายของผมจะไม่พอใจ แต่นั่นแหละ ถึงอย่างไรเมื่อลูกชายยืนกรานในการรับภรรยาเข้าบ้าน ทุกอย่างก็ต้องเลยตามเลย ไม่นานเขาก็กลายเป็นสมาชิกที่ทุกฅนในบ้านของพี่ชายต่างรักใคร่เอ็นดู กับท่าทางประจบนิ่งนั้น
เพียงแต่ว่าหลังจากช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป เขามีน้องชายเมื่ออายุได้สองขวบ เป็นตอนที่เขาเริ่มแสดงความเกเรดื้อดึงออกมาให้ทุกฅนได้เห็น ยิ่งนับวันความดื้อรั้นของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นตามวัย แม้หลานชายของผมจะคอยบังคับเคี่ยวเข็ญสักเท่าไรก็ตาม เมื่ออายุได้ห้าหกขวบ เขาก็กลายเป็นวายร้ายที่ทุกฅนต่างพากันส่ายหน้าในที่สุด
ตัวละครในชุดเท่ของเขายังคงกวัดแกว่งดาบ และผมยังนิ่งมอง นึกถึงแววตามุ่งมั่นขณะบังคับเกมโดดร่มสู่เป้าหมายที่ต้องการ
“หนูอยากเล่นเกมโดดร่ม”
ผมหันมองเขาจากคำพูดนั้น บ้านของพี่ชายผมจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เขาเห็นฅนอื่นเล่นจึงอยากเล่นตาม แต่ว่าจะเล่นได้เหรอ นั่นคือสิ่งที่คิดในใจ
เขาเล่นมันได้ เข้าใจเกมทั้งที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก หรือแค่ เอ บี ซี ดี ยังกระท่อนกระแท่นด้วยซ้ำ อาจจำจากการนั่งมองเขาเล่นกันด้วย เก่งกว่าเหย่ออีกแฮะ อดคิดในใจแบบนั้นไม่ได้ ผมแทนตัวเองว่า เหย่อ ที่แปลว่าปู่กับเขาตามพี่ชาย
ไม่มีสายตาหวาดระแวง ไม่มีแววตาดื้อรั้น ยามเขาอยู่กับเกมมีเพียงแววตาของเด็กฅนหนึ่งเท่านั้น เด็กฅนหนึ่งกับโลกสมมุติ โลกของเขา โลกที่เขามีความสุขกับมันได้
เพียงแต่ว่าการเล่นเกมของเขากลายเป็นปัญหาใหญ่ในบ้าน เกมทำให้เขาก้าวร้าว เกมทำให้เขาไม่ทำการบ้าน เกมทำให้เขาหมกมุ่น เกมทำให้เขายิ่งดื้อรั้นกว่าเดิม เพียงแต่ว่านั่นคือมุมมองของทุกฅนที่ไม่มีผมรวมอยู่ด้วยเท่านั้น ผมยังคงมองเขาไม่ต่างจากลูกหลานอื่นที่ล้วนมีโทรศัพท์ไว้เล่นเกมกัน มีเขาฅนเดียวที่ต้องเล่นด้วยโทรศัพท์ผม และมีเขาฅนเดียวเท่านั้นที่ทุกฅนมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าวมีปัญหา
ผมทำเป็นหูทวนลมมาตลอดเมื่อได้ยินเสียงบ่นเรื่องการตามใจให้เขาใช้โทรศัพท์เล่มเกม
“ยิงภาษาอังกฤษว่าอะไร” ผมถามขณะเขาบังคับตัวละครในเกมยิงใส่ฝ่ายตรงข้าม”
“ชู้ด” เขาตอบโดยไม่ละความสนใจจากจอมือถือ
“แล้ววิ่งล่ะ”
“รัน” เขาตอบออกมาทันทีเช่นกัน
“โดด”
“จั๊ม”
“วินด์วอลล์แปลว่าอะไร” ผมถาม เขาส่ายหน้าตอบ รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ทราบความหมายของคำนี้ แต่ผมถามเพื่อจะได้อธิบายเท่านั้นเอง
“มันแปลว่ากำแพงลม” ผมบอกกับเขา จากนั้นทุกครั้งเมื่อผมแกล้งถาม เขาก็จำมันได้ขึ้นใจแล้ว
บางครั้งผมลองให้เขาสะกดภาษาไทยคำยากให้ฟังเช่นกัน ซึ่งเขาทำได้ดีจนอดเอ่ยชมไม่ได้
“เก่งว่ะ”
เขายิ้มภูมิใจ
ผมภูมิใจเช่นกัน ขนาดมีโรคระบาดแทบไม่ได้ไปโรงเรียนทั้งปีแบบนี้ ยังเหมือนไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อการเรียนรู้ของเขาแต่อย่างใดเลย เพียงแต่ว่าที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่มุมมองของทุกฅนเช่นกัน
การกระทำของผมกลายเป็นให้ท้าย พี่ชายและพี่สะใภ้เริ่มไม่พอใจหนักขึ้น รวมถึงหลานชายและภรรยาของเขาด้วยเช่นกัน ทุกฅนต่างบอกว่า การให้ท้ายของผมและเกมต่อสู้นั้นทำให้เขากลายเป็นเด็กก้าวร้าว
“สัสเอ๊ย” เขาสบถออกมาขณะเล่นเกม
“อะไร” ผมส่งเสียงกับเขาในทันที
“มันด่าหนูก่อนนี่” เขาตอบ ผมรู้ว่าในการเล่นเกมของเขามักมีการด่ากันเกิดขึ้นได้
“ด่าก่อนก็ช่างเขาสิ เราไม่ต้องด่าตอบ” ผมว่า เขานิ่งฟัง
“เล่นให้มันสนุก ถ้าเล่นแล้วไม่สนุกจะอดเล่นนะ”
ถึงเขาจะดูก้าวร้าว อย่างน้อยก็ในสายตาของทุกฅน แต่ผมรู้ว่าการด่าทอไม่ใช่นิสัยของเขาอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะรับฟัง เพียงแต่ว่าถ้าเขายังเล่นเกม เขาก็ยังเป็นเด็กก้าวร้าวอยู่ดี โดยเฉพาะในสายตาของพ่อเลี้ยง
ผมยังอดนึกถึงแววตาของเขาขณะบังคับเกมไม่ได้ แววตาที่อาจไม่เคยสะท้อนในกระจกตาของใคร สิ่งที่ทุกฅนเห็นจากเขามีแต่ความก้าวร้าวเท่านั้น ผมไม่อาจบอกใครได้ว่า ถ้าเขาไม่ดื้อไม่ก้าวร้าว เขาจะไม่มีวันยิ้มออกมาได้เลย ยังจำแววตาหวาดระแวงในวันแรกที่เจอกันได้ดี แววตาหวาดระแวงที่หายไปเมื่อเขามีครอบครัวที่สมบูรณ์ ได้รับความรักจากพ่อและแม่ ก่อนที่น้องชายของเขาจะเกิดมาและเขากลายเป็นส่วนเกิน เมื่อพ่อเลี้ยเปลี่ยนไปเขาก็มีความก้าวร้าวไว้ปกป้องตัวเองเท่านั้น แม้ว่าจะทำให้ยิ่งถูกเกลียดชังก็ตาม เด็กตัวเท่าเขาจะคิดอะไรมากกว่านี้ได้เล่า
เขาอยู่ในชุดถอดเสื้อโชว์ลายสัก นุ่งกางเกงขาเข้ารูปสีแดง สวมรองเท้าแตะกับหมวกที่ไม่ต่างจากโจ๊กเกอร์ กวัดแกว่งดาบโดยไม่ได้สนใจผม เมื่ออยู่ในโลกของเขาแล้วเขาไม่ต้องสนใจใคร ผมเสียบสายชาร์จมือถือก่อนวางมันไว้ตรงสื่อกั๊ง (บริเวณที่ใช้เซ่นไหว้ยรรพบุรุษ) ห้ามน้ำตาไม่ได้ขณะบอกกับเขาเบาๆ
“ขึ้นเครื่องโดดร่มได้แล้ว ไม่ต้องกลัวใครดุด่าเฆี่ยนตีอีกแล้ว เล่นให้ถึงเช้า เล่นให้สนุก”
ผมเดินมาที่เตียง ยังคงคิดไม่ถึงว่า การทำหูทวนลมของผม และการดึงดันเอาชนะระหว่างผมกับบ้านพี่ชาย จะมีส่วนทำให้ฅนที่อ้างว่า ไม่อยากให้เขาเป็นเด็กก้าวร้าวรุนแรงเพราะติดเกม จะใช้วิธีรุนแรงกับเขาเสียเอง รุนแรงเกินเขาจะรับไหว…
ผมล้มตัวนอน แสงจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบในบางครั้ง เสียงเขายิงใส่ฝ่ายตรงข้ามยังแว่วมาให้ได้ยิน
เขาได้อยู่ในโลกของเขาแล้ว โลกของวายร้าย ผมคิดและยังคงปาดน้ำตา.