สวัสดีครับผม วันนี้จะมาเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวเดินป่าเดินเขาครั้งแรกกับเขาหลวงสุโขทัยที่จังหวัดสุโขทัย เชิญรับชมได้เลยครับ!
โดยจุดเริ่มต้นเนี่ย ผมและทีมรวม7คนนัดเจอกันที่สถานีกลางบางซื่อกันตอนทุ่มกว่าๆ เพื่อเตรียมขึ้นรถไฟไปต่อรถที่พิษณุโลก และด้วยความที่นั่งรถไฟ กว่าจะถึงที่หมายก็ราวๆตีสามได้ แต่ถึงอย่างงั้น อากาศตอนกลางคืนก็เย็นๆชื้นๆสดชื่นกันเลยทีเดียว เมื่อเรามาถึงพิษณุโลก ที่หน้าสถานี รถเช่าที่เราจะนั่งไปลงต่อที่เขาหลวงสุโขทัยก็มารออยู่ก่อนแล้ว พอขึ้นรถได้ซักพัก ราวๆตีห้าใกล้หกโมงเช้า ลุงคนขับก็พาเรามาแวะตลาดสดกัน ด้วยความที่ต้องเดินเขา แถมที่พักบนเขามันเป็นการตั้งแคมป์อ่ะนะ เลยต้องแวะกันเตรียมเสบียงซักหน่อย แต่เผอิญ คนในทีมคนหนึ่งเป็นคนอิสลาม บวกกับมติทีมตอนนั้นคืออยากทำหม้อไฟเนื้อวัวกินกัน แต่ดั๊นตลาดนั้นไม่มีเนื้อวัวขาย ไอ้เพื่อนก็ดื้อดึงพยายามหาทั้งๆที่จะซื้อไก่เอาก็ได้ สุดท้ายเราก็ได้วัตถุดิบสำคัญๆมาหลายอย่างยกเว้น"เนื้อสัตว์"
ผมและทีมนั่งรถมาถึงอุทยานแห่งชาติเขาหลวงสุโขทัยในที่สุด พอมาถึงเราก็มาติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน จองนี่จองนั่นจ่ายค่าเช่าค่าที่ตามระเบียบ ด้วยความที่มีงบจำกัด เราทั้งหมดจึงหุ้นกันจ่ายค่าลูกหาบเพื่อหิ้วของส่วนรวมพวกเตนท์และเสบียง ส่วนเป้ส่วนตัวก็แบกขึ้นกันไปเอง ราวๆเจ็ดโมงเช้า ผมและเพื่อนๆเริ่มออกจากจุดดเริ่มต้น
ในตอนแรกที่เดินๆกันไป ก็คิดว่ามันจะชิวๆง่ายๆ จนกระทั่งเจอเนินชัน100เมตรแรก หอบกินอยู่คนเดียวจ้า55555 ผมเป็นคนเดียวที่รั้งท้ายสุดในกลุ่มที่เดินขึ้นไป ทุกๆก้าวที่เดินทำให้ผมได้คิดว่า"ทำไมกูไม่ฝากเป้หนัก15กิโลให้ลูกหาบแบกไปวะ!?!?" ด้วยความที่ผมไม่รู้ เสื้อผ้าที่ใส่ก็อมเหงื่อจนหนักอึ้ง กระเป๋าที่หนักขึ้นเพราะความชื้น มันรั้งให้ผมเดินทางช้าลงด้วยความเหนื่อยล้า และขณะเดียวกัน ผมก็ได้แต่ด่าตัวเองที่รั้งให้คนอื่นๆคอยรอผมอย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างเดินขึ้น จะมีแคร่ให้นั่งพักเป็นจุดๆพร้อมป้ายบอกระยะทาง ผมมักจะดูมันทุกครั้งเพื่อเพิ่มกำลังใจว่า "เอาเว่ย ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว"แต่เมื่อมาถึงกิโลสุดท้ายก่อนถึงจุดพักแรม ก็ทำให้ได้รู้ว่าจุดนี้นี่แหละที่ยากที่สุดของแท้ ลักษณะของทางขึ้นลาดชันจนเกือบจะ60-80องศา มีเพียงมุมรากไม้และมุมก้อนหินพอให้เหยียบเดินขึ้นไป มีราวไม้เก่าๆผุๆที่พร้อมพังเมื่อเขย่าให้คอยจับไต่ขึ้นไป งานนี้แต่อวยยศให้กับไม้ค้ำเดินป่าที่ช่วยประคองร่างที่เหนื่อยล้าให้มาถึงจุดหมายในที่สุด
จากราวๆเจ็ดโมงเช้าจนถึงบ่ายสาม ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดพักแรม ผมทิ้งกระเป๋า ทิ้งไม้ค้ำ แล้วก็ทิ้งตัวเองลงนอนบนพื้นหญ้าโดยทันที อากาศบริสุทธิ์ที่มีให้สูดจนสุดปอดเป็นเหมือนรางวัลแห่งความพยายามที่มาถึงจุดๆนี้ได้ หลังจากพักฟื้นพลังงานได้ไม่นาน ผมกับเพื่อนๆจึงได้ช่วยกันตั้งแคมป์ของตัวเอง ผมภูมิใจมากกับแคมป์ที่พวกเราตั้งใจกันทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก บางอย่างก็ได้มาพังทลายความพยายามของเราทุกคนแทน
ราวๆบ่ายสามกว่า ใกล้ๆสี่โมงเย็น ห่าฝนเริ่มกระหน่ำลงเทใส่จุดตั้งแคมป์ของทุกๆคน และสุดท้ายมันก็ได้เกิดปัญหาขึ้น เตนท์ที่เรามีและเตรียมมากว่าสี่หลัง มันรั่วไปสามหลัง และด้วยความมั่นหน้ามั่นโหนก เข้าใจว่ามันกันฝนได้ เลยทำให้วัตถุดิบบางส่วนเปียกกับเผลอทิ้งเพื่อนคนหนึ่งที่งีบพักอยู่ในเตนท์จมกองน้ำฝน และด้วยที่มันตกหนักตั้งแต่เย็นวันนี้ยันเช้าวันพรุ่งนี้ เลยจึงต้องยืมพื้นที่โดมในการเป็นพื้นที่ค้างแรม แต่ในวันนั้น สถานการณ์ก็ได้สร้างฮีโร่ขึ้น เมื่อเพื่อนผมในทีมคนหนึ่งดันป่วยหนักจนเป็นลมขึ้นมา และในที่นั้นมีแค่ผมที่แบกมันไหว จึงสามารถช่วยแบกมันไปรักษาตัวที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในเขตที่พักแรมได้สำเร็จ
ตลอดทั้งช่วงเย็นที่มีฝนตกตลอด ผมและทีมได้จัดการอาบนงอาบน้ำสุดจะเย็นเฉียบแล้วรีบกินข้าวรีบเข้านอนด้วยความเหนื่อยล้า โดยหวังว่าในเช้าวันถัดไปฝนจะหยุดตก และก็ได้เดินขึ้น ณ ยอดเขาเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงตีห้า ซึ่งถึงแม้บุญจะพอมี แก้กรรมมันบดบัง เพราะฝนมันยังไม่หยุดตกตั้งแต่เมื่อคืน ฟ้าจึงไม่เปิดให้เราได้เห็นแสงตะวันขึ้นอย่างที่หวัง เรียกได้ว่าซวยได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงจะหมอกลง และมีฝนตกปรอยๆ ช่วงแปดโมงเช้าผมและทีมก็ได้ขึ้นไปเก็บรูปกันเล็กน้อย และก็ได้เห็นว่าทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหมอกปกคลุม ก็สวยไม่หยอกเลย
จริงๆก็ยังมีต่อ ยังไม่จบ แต่เดี๋ยวผมจะมาเล่าต่ออีกทีใต้ความเห็นกระตู้ ฉะนั้น ขอตัวก่อนเด้อจ้า ฮ่าๆๆ!!
ท่องเที่ยวผจญภัย แบกเป้ขึ้นเขาแบบซุยๆกับประสบการณ์เฉียดตาย
โดยจุดเริ่มต้นเนี่ย ผมและทีมรวม7คนนัดเจอกันที่สถานีกลางบางซื่อกันตอนทุ่มกว่าๆ เพื่อเตรียมขึ้นรถไฟไปต่อรถที่พิษณุโลก และด้วยความที่นั่งรถไฟ กว่าจะถึงที่หมายก็ราวๆตีสามได้ แต่ถึงอย่างงั้น อากาศตอนกลางคืนก็เย็นๆชื้นๆสดชื่นกันเลยทีเดียว เมื่อเรามาถึงพิษณุโลก ที่หน้าสถานี รถเช่าที่เราจะนั่งไปลงต่อที่เขาหลวงสุโขทัยก็มารออยู่ก่อนแล้ว พอขึ้นรถได้ซักพัก ราวๆตีห้าใกล้หกโมงเช้า ลุงคนขับก็พาเรามาแวะตลาดสดกัน ด้วยความที่ต้องเดินเขา แถมที่พักบนเขามันเป็นการตั้งแคมป์อ่ะนะ เลยต้องแวะกันเตรียมเสบียงซักหน่อย แต่เผอิญ คนในทีมคนหนึ่งเป็นคนอิสลาม บวกกับมติทีมตอนนั้นคืออยากทำหม้อไฟเนื้อวัวกินกัน แต่ดั๊นตลาดนั้นไม่มีเนื้อวัวขาย ไอ้เพื่อนก็ดื้อดึงพยายามหาทั้งๆที่จะซื้อไก่เอาก็ได้ สุดท้ายเราก็ได้วัตถุดิบสำคัญๆมาหลายอย่างยกเว้น"เนื้อสัตว์"
ผมและทีมนั่งรถมาถึงอุทยานแห่งชาติเขาหลวงสุโขทัยในที่สุด พอมาถึงเราก็มาติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน จองนี่จองนั่นจ่ายค่าเช่าค่าที่ตามระเบียบ ด้วยความที่มีงบจำกัด เราทั้งหมดจึงหุ้นกันจ่ายค่าลูกหาบเพื่อหิ้วของส่วนรวมพวกเตนท์และเสบียง ส่วนเป้ส่วนตัวก็แบกขึ้นกันไปเอง ราวๆเจ็ดโมงเช้า ผมและเพื่อนๆเริ่มออกจากจุดดเริ่มต้น
ในตอนแรกที่เดินๆกันไป ก็คิดว่ามันจะชิวๆง่ายๆ จนกระทั่งเจอเนินชัน100เมตรแรก หอบกินอยู่คนเดียวจ้า55555 ผมเป็นคนเดียวที่รั้งท้ายสุดในกลุ่มที่เดินขึ้นไป ทุกๆก้าวที่เดินทำให้ผมได้คิดว่า"ทำไมกูไม่ฝากเป้หนัก15กิโลให้ลูกหาบแบกไปวะ!?!?" ด้วยความที่ผมไม่รู้ เสื้อผ้าที่ใส่ก็อมเหงื่อจนหนักอึ้ง กระเป๋าที่หนักขึ้นเพราะความชื้น มันรั้งให้ผมเดินทางช้าลงด้วยความเหนื่อยล้า และขณะเดียวกัน ผมก็ได้แต่ด่าตัวเองที่รั้งให้คนอื่นๆคอยรอผมอย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างเดินขึ้น จะมีแคร่ให้นั่งพักเป็นจุดๆพร้อมป้ายบอกระยะทาง ผมมักจะดูมันทุกครั้งเพื่อเพิ่มกำลังใจว่า "เอาเว่ย ใกล้แล้ว อีกนิดเดียว"แต่เมื่อมาถึงกิโลสุดท้ายก่อนถึงจุดพักแรม ก็ทำให้ได้รู้ว่าจุดนี้นี่แหละที่ยากที่สุดของแท้ ลักษณะของทางขึ้นลาดชันจนเกือบจะ60-80องศา มีเพียงมุมรากไม้และมุมก้อนหินพอให้เหยียบเดินขึ้นไป มีราวไม้เก่าๆผุๆที่พร้อมพังเมื่อเขย่าให้คอยจับไต่ขึ้นไป งานนี้แต่อวยยศให้กับไม้ค้ำเดินป่าที่ช่วยประคองร่างที่เหนื่อยล้าให้มาถึงจุดหมายในที่สุด
จากราวๆเจ็ดโมงเช้าจนถึงบ่ายสาม ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดพักแรม ผมทิ้งกระเป๋า ทิ้งไม้ค้ำ แล้วก็ทิ้งตัวเองลงนอนบนพื้นหญ้าโดยทันที อากาศบริสุทธิ์ที่มีให้สูดจนสุดปอดเป็นเหมือนรางวัลแห่งความพยายามที่มาถึงจุดๆนี้ได้ หลังจากพักฟื้นพลังงานได้ไม่นาน ผมกับเพื่อนๆจึงได้ช่วยกันตั้งแคมป์ของตัวเอง ผมภูมิใจมากกับแคมป์ที่พวกเราตั้งใจกันทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก บางอย่างก็ได้มาพังทลายความพยายามของเราทุกคนแทน
ราวๆบ่ายสามกว่า ใกล้ๆสี่โมงเย็น ห่าฝนเริ่มกระหน่ำลงเทใส่จุดตั้งแคมป์ของทุกๆคน และสุดท้ายมันก็ได้เกิดปัญหาขึ้น เตนท์ที่เรามีและเตรียมมากว่าสี่หลัง มันรั่วไปสามหลัง และด้วยความมั่นหน้ามั่นโหนก เข้าใจว่ามันกันฝนได้ เลยทำให้วัตถุดิบบางส่วนเปียกกับเผลอทิ้งเพื่อนคนหนึ่งที่งีบพักอยู่ในเตนท์จมกองน้ำฝน และด้วยที่มันตกหนักตั้งแต่เย็นวันนี้ยันเช้าวันพรุ่งนี้ เลยจึงต้องยืมพื้นที่โดมในการเป็นพื้นที่ค้างแรม แต่ในวันนั้น สถานการณ์ก็ได้สร้างฮีโร่ขึ้น เมื่อเพื่อนผมในทีมคนหนึ่งดันป่วยหนักจนเป็นลมขึ้นมา และในที่นั้นมีแค่ผมที่แบกมันไหว จึงสามารถช่วยแบกมันไปรักษาตัวที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในเขตที่พักแรมได้สำเร็จ
ตลอดทั้งช่วงเย็นที่มีฝนตกตลอด ผมและทีมได้จัดการอาบนงอาบน้ำสุดจะเย็นเฉียบแล้วรีบกินข้าวรีบเข้านอนด้วยความเหนื่อยล้า โดยหวังว่าในเช้าวันถัดไปฝนจะหยุดตก และก็ได้เดินขึ้น ณ ยอดเขาเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงตีห้า ซึ่งถึงแม้บุญจะพอมี แก้กรรมมันบดบัง เพราะฝนมันยังไม่หยุดตกตั้งแต่เมื่อคืน ฟ้าจึงไม่เปิดให้เราได้เห็นแสงตะวันขึ้นอย่างที่หวัง เรียกได้ว่าซวยได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงจะหมอกลง และมีฝนตกปรอยๆ ช่วงแปดโมงเช้าผมและทีมก็ได้ขึ้นไปเก็บรูปกันเล็กน้อย และก็ได้เห็นว่าทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหมอกปกคลุม ก็สวยไม่หยอกเลย
จริงๆก็ยังมีต่อ ยังไม่จบ แต่เดี๋ยวผมจะมาเล่าต่ออีกทีใต้ความเห็นกระตู้ ฉะนั้น ขอตัวก่อนเด้อจ้า ฮ่าๆๆ!!