เกริ่นก่อนว่านี่เป้นกระทู้แรกของผมนะครับ ที่เคยเล่าเรื่องลักษณะนี้ให้คนอื่นฟัง ปกติไม่ทำอะไรแบบนี้แต่ตอนนี้เหมือนเริ่มเครียดแล้วก็คิดมากกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะเขียนงงๆ ไปบ้างก็ขออภัยครับ ที่สำคัญคืออาจจะยาวมาก เพราะเรียบเรียงไม่ถูกจริงๆ ...
ผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงครับ ตอนนี้อายุ 27 แล้ว ปัจจุบันทำธุรกิจออนไลน์กับแฟน (อายุไล่ๆกันครับ อ่อนเดือนกว่าผมนิดหน่อย คบกันมาปีนี้ปีที่ 5) ซึ่งแฟนเป็นเป็นคนเริ่มมาตั้งแต่ 0 ครับ ก่อนหน้าหลังจากเรียนจบผมทำงานเป็นวิศวกรบริษัทเอกชนอยู่ได้ประมาณ 4 ปี (จบปุ๊บได้งานปั๊บครับ) ชีวิตการทำงานเป็นพนักงานเงินเดือนก็ดีครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร มีโอกาสได้ทำงานเจอเพื่อนร่วมงานชาวคนต่างชาติเยอะด้วย ก็ถือว่าสนุกดี
จนช่วงปีที่ 4 ของการทำงานบริษัท ผมได้มีโอกาสเข้าไปช่วยแฟนทำธุรกิจของเค้าบ้างช่วงเสาร์อาทิตย์หรือหลังเลิกงาน (ช่วยส่งของช่วงเสาร์อาทิตย์ เป็นคนขับรถพาเค้าไปทำธุระนู่นนี่ตามแต่ที่ผมสะดวก) บางทีที่คลิปแตกลูกค้าเยอะๆ ก็รับจ๊อปเป็นแอดมินคอยช่วยเค้าตอบลูกค้า เพราะว่าแฟนทำสองคนกับแม่เค้าครับ ก่อนหน้าไม่ได้จ้างแอดมินหรือใครเลย ก็จะวุ่นๆหน่อย ทำได้สักพักแฟนก็ชวนให้ออกจากงานมาทำด้วยกันครับ เพราะเค้าเห็นว่าพอเราเข้าไปช่วยแล้วเค้าพอหายใจหายคอได้ดีขึ้น มีเวลาโฟกัสกับส่วนสำคัญของร้านมากขึ้น เหตุผลที่เค้าชวนออกมาทำด้วยกัน เพราะธุรกิจกำลังไปได้ดีและเค้ามั่นใจครับว่าเค้าพาร้านไปได้ไกลกว่านี้แน่ๆ โดยให้เป็นเงินเดือนที่อยู่ในระดับใกล้กับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ซึ่งตอนนั้นผมได้พิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นครั้งที่ 2 เงินเดือนก็ขึ้นมาในระดับที่ตัวเราพอใจอยู่ เพราะเดิมไม่ใช่คนใช้จ่ายเยอะแยะ หนี้สินไม่มี อยู่บ้านกับพ่อแม่ ครั้งแรกที่ได้ยินเหมือนต่อม Comfort Zone ทำงานครับ ความคิดหลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมด ส่วนมากจะเป็นความกลัว ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนมากน่าจะเข้าใจ ก็เอาเรื่องนี้มาปรึกษาพ่อแม่ครับ เพราะยังไงท่านก็น่าจะตกใจถ้าตัดสินใจเลย พ่อแม่ก็ไม่ได้ทำงานอะไรหวือหวาครับ ขายของชำทั่วไปมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าของผม แต่ก็เลี้ยงดูครอบครัวมาได้อย่างดีตั้งแต่ผมจำความได้จนตอนนี้
ทั้งพ่อและแม่ก็ดีครับ ก็ให้ตัดสินใจเองได้เลย ถึงเค้าจะแอบกังวลนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร พอบอลมาอยู่ที่เราก็นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวัน จนในที่สุดตัดสินใจว่าเอาวะ ออกไปทำด้วยกันเนี่ยแหละ ถือว่าเราก็ยังช่วยเค้าให้สบายขึ้นมาหน่อยได้ แถมเราก็ยังได้เงินเดือนเหมือนทำบริษัท (มากกว่านิดหน่อย)
ก็เพิ่งมาเริ่มทำเต็มตัวช่วงต้นเดือน กรกฎาคม ปี 2023 จนตอนนี้ก็ตีซักครึ่งปีครับ
ช่วงแรกๆ ก็งงๆนิดหน่อยครับ ใช้เวลาปรับตัวกับการทำงานกับแฟนพักใหญ่ เพราะแฟนเป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก เป็นคนละเอียดรอบคอบ (มาก) ซึ่งดีนะครับ มันเป็นส่วนหนึ่งในข้อดีของเค้าที่ทำให้เค้าทำธุรกิจมาได้ดีขนาดนี้ ส่วนตัวผมต่อให้จะบอกว่าช่วยให้แฟนพอหายใจหายคอได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่งอะไรครับ ก็แค่พยายามเก็บงานที่คิดว่าเค้าไม่จำเป็นต้องมาลงแรงทำ แล้วให้เค้ามีเวลาไปดันร้านน่าจะมี Value ได้ดีกว่า
ทีนี้เนี่ย ช่วงปลายปีที่ผ่านมา แฟนผมเค้าต้องการดันยอดขายร้านให้ได้ตามที่เค้าตั้งเป้าไว้ ความฝันเค้าคืออยากรวยครับ รวยจนสามารถเกษียณได้ตั้งแต่ก่อน 35 เผลอๆ อาจจะต้องการก่อน 30 ด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าเร็วที่สุดที่เค้าจะสามารถทำได้ละกันครับ เพื่อที่เค้าจะได้หยุดทำเร็วๆ ได้สร้างบ้านให้แม่และดูแลน้องหมาอีก 2 ตัวให้ดี แล้วเค้าก็ไปเจอคอร์สเรียน ป โท บริหารของสถาบันเอกชนแห่งหนึ่งใน กทม ซึ่งเป็นสถาบันที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้เรียนที่เป็น Entrepreneurer (ผู้ประกอบการ) ครับ และตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ นับว่าดีนะครับ เค้าได้ไปเจอกลุ่มคนที่มีพลังงานแบบเดียวกันกับเค้า เป็นกลุ่มคนที่กระตือรือร้นและกระหายในการทำธุรกิจแบบเดียวกันกับเค้าที่บางคนก็เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตระดับประเทศไปถึงต่างประเทศ ที่เค้ามองว่าเป็นโอกาสในการสร้าง Connection และ เรียนรู้วิธีการทำธุรกิจเพื่อมาประยุกต์กับร้านของเค้าเอง
ประเด็นน่าจะอยู่แถวๆนี้แหละครับ ด้วยความที่เค้าเป็นคน Energy สูงมากๆ อยากทำนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด ซึ่งแฟนผมก็พยายามผลักดันให้ผมมี Mindset แบบนักธุรกิจนะครับ เพื่อที่ผมจะได้มี Energy ในการทำอะไรต่างๆ ให้รวยเร็วๆได้แบบเค้าหรือจะได้มาช่วยพัฒนาร้านได้ในระดับเดียวกับเค้า ต้องบอกก่อนว่า ในระหว่างที่ผมทำงานอยู่กับแฟน ผมก็มีศึกษาเรื่องการลงทุนส่วนตัวและมีเรียนเฉพาะทางเพื่อมาช่วยเหลือร้านโดยเฉพาะครับ แต่ปัญหาคือไอ้ผมมันดันเป็นคน Energy ต่ำมาตั้งแต่เด็กๆ คือไม่ได้กระตือรือร้นขวนขวายอยากได้อะไร เพราะที่บ้านก็ไม่เคยมีปัญหาหรือขาดอะไร ครอบครัวใหญ่รักกันดี มีความสุข มีธุรกิจเล็กๆ ไม่มีหนี้สิน พ่อแม่มีเงินเก็บ (ประมาณนึง) ซึ่งต่อให้ตัวผมจะไม่ได้มีมากมาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร
ล่าสุดต้นเดือนเพิ่งออกรถใหม่ของตัวเองมา (ยืมแม่บางส่วนและผ่อนคืนแม่) เป็นรถไฮบริดจ์ SUV หนึ่งในยี่ห้อเจ้าตลาดปกติ ไม่ใช่รถหรูอะไร เพื่อหลักๆคือใช้พาเค้าไปเรียนเพราะต้องค้างที่ กทม เสาร์อาทิตย์ และเน้นประหยัดน้ำมัน
จนวันนึง มีโอกาสได้นั่งคุยกับแม่แฟนและแฟนเรื่อง Energy ของผมที่ค่อนข้างต่ำ คือต้องบอกก่อนว่าแม่แฟนผมดีมากนะครับ เป็นสายลุยมากๆ ชีวิตโชกโชน นิสัยทำอะไรไวและลุยๆเหมือนผู้ชายครับ แต่เอ็นดูผมเหมือนลูกเลย อันนี้รู้สึกได้จริงๆ และผมก็เคารพท่านเหมือนแม่แท้ๆเลยครับ คุยอะไรกันไม่รู้แหละผมก็จำไม่ค่อยได้ จนแม่แฟนพูดประมาณว่า
"เอาจริงๆ ถ้าให้เลือกได้ เราอยากรวยมั้ย รถที่ซื้อมาถามว่าถ้าเลือกได้เราอยากได้รถที่มันแพงและดีกว่านี้มั้ย เราอย่าหลอกตัวเองว่าเราไม่ได้อยากได้อะไรแบบนี้ ต้องยอมรับความจริงก่อนเราถึงจะพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้มันมา"
คือก่อนหน้าเค้าเคยถามครับ ว่าเราพอใจชีวิตแบบนี้หรอ ไม่ได้อยากได้อะไรที่คนอื่นอยากได้เลยหรอ เช่น รถซุปเปอร์คาร์ บ้านใหญ่ๆ สวยๆ
สิ่งที่ผมตอบไปคือ ผมไม่ได้อยากได้ ซึ่งผมไม่ได้อยากได้จริงๆ เพราะตั้งแต่เด็กมาผมไม่เคยรู้สึกว่าผมขาดอะไรเลย ด้วยผมน่าจะติดนิสัยแม่กับย่ามาด้วยที่เค้าเป็นคนง่ายๆ ขยันทำมาหากินนะครับ แต่ไม่ใช้จ่ายเกินตัว เก็บหอมรอมริบตั้งแต่ครอบครัว 0 บาท จนมีทุกอย่างมีครอบครัวใหญ่แบบทุกวันนี้ พ่อกับแม่แท้ๆผมก็ไม่เคยกดดันว่าผมต้องเป็นยังไง ต้องตอบแทนอะไรเค้า เพราะเค้ามีพอสำหรับชีวิตตอนแก่ของเค้าแล้ว บ้านเค้าก็มีกันแล้ว หนี้สินก็ไม่มี ผมเลยไม่เคยรู้สึกกดดันอะไรเลย แค่ว่าต้องหาดูแลของตัวเองแค่นั้น เพราะหลังจากเรียนจบทำงานผมก็ไม่ได้ขออะไรพ่อแม่เลย (ยกเว้นยืมผ่อนรถคันแรกเนี่ยแหละ 5555)
แต่ถ้าถามผมอีกว่า ถ้าวันนี้มีเงินเยอะขนาดนั้น จะอยากได้มั้ย ผมก็ตอบได้เต็มปากว่าอยากได้ มันเลยเป็นประเด็นในหัวว่า คำตอบที่ผมบอกว่าผมไม่อยากได้ เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยากได้ มันคือการหลอกตัวเองรึเปล่า? เพราะผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวผมจำเป็นต้องได้สิ่งเหล่านั้น
หลังจากวันนั้นที่เรานั่งคุยกันสามคน ผมรู้สึกกับตัวเองไม่เหมือนเดิมเลย ผมรู้สึกว่าผมไม่มีคุณค่าที่ผมไม่มีความทะเยอทะยาน ผมรู้สึกตัวเล็กไปหมดที่ผมพอใจแค่นี้ ผมรู้สึกเกลียดตัวเองที่ต้องพยายามทำให้ตัวเองคิดว่า เราต้องการมากกว่านี้
จนมันมีแว๊บนึงในความคิดขึ้นมาว่า เรื่องนี้มันคงเป็นปัญหาสำหรับชีวิตคู่ในอนาคตแหละเพราะเป้าหมายมันไม่เท่ากัน แต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะผมก็พยายามในแบบของผมแล้ว แต่มันคงไม่ดีพอจริงๆนั่นแหละๆ ผมก็รู้ ...
ขอบคุณใครสักคนที่อ่านจนจบครับ ผมไม่รู้จะจบมันยังไงด้วยซ้ำเอาจริงๆ เพราะผมสับสนไปหมด
โลกนี้หมุนด้วยเงินครับ เป็นสัจธรรมที่ผมคิดว่าผมเข้าใจดี
แต่สุดท้ายแล้ว ความรวย มันเป็นคำตอบของเราทุกคนจริงๆหรอ ...
ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่สำหรับผม ผมไม่ต้องรวยก็ได้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่ารวยคือแค่ไหน
แต่แค่มันไม่ได้เดือดร้อนตัวเองหรือคนในครอบครัวได้จนตลอดรอดฝั่ง สำหรับผมผมก็พอใจแล้ว ซึ่งผมพอใจกับมันจริงๆ ...
การพอใจกับชีวิตตัวเองตอนนี้ เป็นคำพูดหลอกตัวเองจริงหรอ?
จนช่วงปีที่ 4 ของการทำงานบริษัท ผมได้มีโอกาสเข้าไปช่วยแฟนทำธุรกิจของเค้าบ้างช่วงเสาร์อาทิตย์หรือหลังเลิกงาน (ช่วยส่งของช่วงเสาร์อาทิตย์ เป็นคนขับรถพาเค้าไปทำธุระนู่นนี่ตามแต่ที่ผมสะดวก) บางทีที่คลิปแตกลูกค้าเยอะๆ ก็รับจ๊อปเป็นแอดมินคอยช่วยเค้าตอบลูกค้า เพราะว่าแฟนทำสองคนกับแม่เค้าครับ ก่อนหน้าไม่ได้จ้างแอดมินหรือใครเลย ก็จะวุ่นๆหน่อย ทำได้สักพักแฟนก็ชวนให้ออกจากงานมาทำด้วยกันครับ เพราะเค้าเห็นว่าพอเราเข้าไปช่วยแล้วเค้าพอหายใจหายคอได้ดีขึ้น มีเวลาโฟกัสกับส่วนสำคัญของร้านมากขึ้น เหตุผลที่เค้าชวนออกมาทำด้วยกัน เพราะธุรกิจกำลังไปได้ดีและเค้ามั่นใจครับว่าเค้าพาร้านไปได้ไกลกว่านี้แน่ๆ โดยให้เป็นเงินเดือนที่อยู่ในระดับใกล้กับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ ซึ่งตอนนั้นผมได้พิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นครั้งที่ 2 เงินเดือนก็ขึ้นมาในระดับที่ตัวเราพอใจอยู่ เพราะเดิมไม่ใช่คนใช้จ่ายเยอะแยะ หนี้สินไม่มี อยู่บ้านกับพ่อแม่ ครั้งแรกที่ได้ยินเหมือนต่อม Comfort Zone ทำงานครับ ความคิดหลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมด ส่วนมากจะเป็นความกลัว ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนมากน่าจะเข้าใจ ก็เอาเรื่องนี้มาปรึกษาพ่อแม่ครับ เพราะยังไงท่านก็น่าจะตกใจถ้าตัดสินใจเลย พ่อแม่ก็ไม่ได้ทำงานอะไรหวือหวาครับ ขายของชำทั่วไปมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าของผม แต่ก็เลี้ยงดูครอบครัวมาได้อย่างดีตั้งแต่ผมจำความได้จนตอนนี้
ทั้งพ่อและแม่ก็ดีครับ ก็ให้ตัดสินใจเองได้เลย ถึงเค้าจะแอบกังวลนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร พอบอลมาอยู่ที่เราก็นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวัน จนในที่สุดตัดสินใจว่าเอาวะ ออกไปทำด้วยกันเนี่ยแหละ ถือว่าเราก็ยังช่วยเค้าให้สบายขึ้นมาหน่อยได้ แถมเราก็ยังได้เงินเดือนเหมือนทำบริษัท (มากกว่านิดหน่อย)
ก็เพิ่งมาเริ่มทำเต็มตัวช่วงต้นเดือน กรกฎาคม ปี 2023 จนตอนนี้ก็ตีซักครึ่งปีครับ
ช่วงแรกๆ ก็งงๆนิดหน่อยครับ ใช้เวลาปรับตัวกับการทำงานกับแฟนพักใหญ่ เพราะแฟนเป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก เป็นคนละเอียดรอบคอบ (มาก) ซึ่งดีนะครับ มันเป็นส่วนหนึ่งในข้อดีของเค้าที่ทำให้เค้าทำธุรกิจมาได้ดีขนาดนี้ ส่วนตัวผมต่อให้จะบอกว่าช่วยให้แฟนพอหายใจหายคอได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่งอะไรครับ ก็แค่พยายามเก็บงานที่คิดว่าเค้าไม่จำเป็นต้องมาลงแรงทำ แล้วให้เค้ามีเวลาไปดันร้านน่าจะมี Value ได้ดีกว่า
ทีนี้เนี่ย ช่วงปลายปีที่ผ่านมา แฟนผมเค้าต้องการดันยอดขายร้านให้ได้ตามที่เค้าตั้งเป้าไว้ ความฝันเค้าคืออยากรวยครับ รวยจนสามารถเกษียณได้ตั้งแต่ก่อน 35 เผลอๆ อาจจะต้องการก่อน 30 ด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าเร็วที่สุดที่เค้าจะสามารถทำได้ละกันครับ เพื่อที่เค้าจะได้หยุดทำเร็วๆ ได้สร้างบ้านให้แม่และดูแลน้องหมาอีก 2 ตัวให้ดี แล้วเค้าก็ไปเจอคอร์สเรียน ป โท บริหารของสถาบันเอกชนแห่งหนึ่งใน กทม ซึ่งเป็นสถาบันที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้เรียนที่เป็น Entrepreneurer (ผู้ประกอบการ) ครับ และตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ นับว่าดีนะครับ เค้าได้ไปเจอกลุ่มคนที่มีพลังงานแบบเดียวกันกับเค้า เป็นกลุ่มคนที่กระตือรือร้นและกระหายในการทำธุรกิจแบบเดียวกันกับเค้าที่บางคนก็เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตระดับประเทศไปถึงต่างประเทศ ที่เค้ามองว่าเป็นโอกาสในการสร้าง Connection และ เรียนรู้วิธีการทำธุรกิจเพื่อมาประยุกต์กับร้านของเค้าเอง
ประเด็นน่าจะอยู่แถวๆนี้แหละครับ ด้วยความที่เค้าเป็นคน Energy สูงมากๆ อยากทำนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด ซึ่งแฟนผมก็พยายามผลักดันให้ผมมี Mindset แบบนักธุรกิจนะครับ เพื่อที่ผมจะได้มี Energy ในการทำอะไรต่างๆ ให้รวยเร็วๆได้แบบเค้าหรือจะได้มาช่วยพัฒนาร้านได้ในระดับเดียวกับเค้า ต้องบอกก่อนว่า ในระหว่างที่ผมทำงานอยู่กับแฟน ผมก็มีศึกษาเรื่องการลงทุนส่วนตัวและมีเรียนเฉพาะทางเพื่อมาช่วยเหลือร้านโดยเฉพาะครับ แต่ปัญหาคือไอ้ผมมันดันเป็นคน Energy ต่ำมาตั้งแต่เด็กๆ คือไม่ได้กระตือรือร้นขวนขวายอยากได้อะไร เพราะที่บ้านก็ไม่เคยมีปัญหาหรือขาดอะไร ครอบครัวใหญ่รักกันดี มีความสุข มีธุรกิจเล็กๆ ไม่มีหนี้สิน พ่อแม่มีเงินเก็บ (ประมาณนึง) ซึ่งต่อให้ตัวผมจะไม่ได้มีมากมาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร
ล่าสุดต้นเดือนเพิ่งออกรถใหม่ของตัวเองมา (ยืมแม่บางส่วนและผ่อนคืนแม่) เป็นรถไฮบริดจ์ SUV หนึ่งในยี่ห้อเจ้าตลาดปกติ ไม่ใช่รถหรูอะไร เพื่อหลักๆคือใช้พาเค้าไปเรียนเพราะต้องค้างที่ กทม เสาร์อาทิตย์ และเน้นประหยัดน้ำมัน
จนวันนึง มีโอกาสได้นั่งคุยกับแม่แฟนและแฟนเรื่อง Energy ของผมที่ค่อนข้างต่ำ คือต้องบอกก่อนว่าแม่แฟนผมดีมากนะครับ เป็นสายลุยมากๆ ชีวิตโชกโชน นิสัยทำอะไรไวและลุยๆเหมือนผู้ชายครับ แต่เอ็นดูผมเหมือนลูกเลย อันนี้รู้สึกได้จริงๆ และผมก็เคารพท่านเหมือนแม่แท้ๆเลยครับ คุยอะไรกันไม่รู้แหละผมก็จำไม่ค่อยได้ จนแม่แฟนพูดประมาณว่า
"เอาจริงๆ ถ้าให้เลือกได้ เราอยากรวยมั้ย รถที่ซื้อมาถามว่าถ้าเลือกได้เราอยากได้รถที่มันแพงและดีกว่านี้มั้ย เราอย่าหลอกตัวเองว่าเราไม่ได้อยากได้อะไรแบบนี้ ต้องยอมรับความจริงก่อนเราถึงจะพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้มันมา"
คือก่อนหน้าเค้าเคยถามครับ ว่าเราพอใจชีวิตแบบนี้หรอ ไม่ได้อยากได้อะไรที่คนอื่นอยากได้เลยหรอ เช่น รถซุปเปอร์คาร์ บ้านใหญ่ๆ สวยๆ
สิ่งที่ผมตอบไปคือ ผมไม่ได้อยากได้ ซึ่งผมไม่ได้อยากได้จริงๆ เพราะตั้งแต่เด็กมาผมไม่เคยรู้สึกว่าผมขาดอะไรเลย ด้วยผมน่าจะติดนิสัยแม่กับย่ามาด้วยที่เค้าเป็นคนง่ายๆ ขยันทำมาหากินนะครับ แต่ไม่ใช้จ่ายเกินตัว เก็บหอมรอมริบตั้งแต่ครอบครัว 0 บาท จนมีทุกอย่างมีครอบครัวใหญ่แบบทุกวันนี้ พ่อกับแม่แท้ๆผมก็ไม่เคยกดดันว่าผมต้องเป็นยังไง ต้องตอบแทนอะไรเค้า เพราะเค้ามีพอสำหรับชีวิตตอนแก่ของเค้าแล้ว บ้านเค้าก็มีกันแล้ว หนี้สินก็ไม่มี ผมเลยไม่เคยรู้สึกกดดันอะไรเลย แค่ว่าต้องหาดูแลของตัวเองแค่นั้น เพราะหลังจากเรียนจบทำงานผมก็ไม่ได้ขออะไรพ่อแม่เลย (ยกเว้นยืมผ่อนรถคันแรกเนี่ยแหละ 5555)
แต่ถ้าถามผมอีกว่า ถ้าวันนี้มีเงินเยอะขนาดนั้น จะอยากได้มั้ย ผมก็ตอบได้เต็มปากว่าอยากได้ มันเลยเป็นประเด็นในหัวว่า คำตอบที่ผมบอกว่าผมไม่อยากได้ เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยากได้ มันคือการหลอกตัวเองรึเปล่า? เพราะผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวผมจำเป็นต้องได้สิ่งเหล่านั้น
หลังจากวันนั้นที่เรานั่งคุยกันสามคน ผมรู้สึกกับตัวเองไม่เหมือนเดิมเลย ผมรู้สึกว่าผมไม่มีคุณค่าที่ผมไม่มีความทะเยอทะยาน ผมรู้สึกตัวเล็กไปหมดที่ผมพอใจแค่นี้ ผมรู้สึกเกลียดตัวเองที่ต้องพยายามทำให้ตัวเองคิดว่า เราต้องการมากกว่านี้
จนมันมีแว๊บนึงในความคิดขึ้นมาว่า เรื่องนี้มันคงเป็นปัญหาสำหรับชีวิตคู่ในอนาคตแหละเพราะเป้าหมายมันไม่เท่ากัน แต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะผมก็พยายามในแบบของผมแล้ว แต่มันคงไม่ดีพอจริงๆนั่นแหละๆ ผมก็รู้ ...
ขอบคุณใครสักคนที่อ่านจนจบครับ ผมไม่รู้จะจบมันยังไงด้วยซ้ำเอาจริงๆ เพราะผมสับสนไปหมด
โลกนี้หมุนด้วยเงินครับ เป็นสัจธรรมที่ผมคิดว่าผมเข้าใจดี
แต่สุดท้ายแล้ว ความรวย มันเป็นคำตอบของเราทุกคนจริงๆหรอ ...
ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่สำหรับผม ผมไม่ต้องรวยก็ได้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่ารวยคือแค่ไหน
แต่แค่มันไม่ได้เดือดร้อนตัวเองหรือคนในครอบครัวได้จนตลอดรอดฝั่ง สำหรับผมผมก็พอใจแล้ว ซึ่งผมพอใจกับมันจริงๆ ...