ซ่อนหา
บ้าเอ๊ย เป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้ใครมันจะไปเชื่อลง
ผมสบถกับตัวเองด้วยคำซ้ำๆ เดิมๆ จนไม่คิดจะจำแล้วว่าพูดแบบนี้ไปกี่ครั้ง เหลือบตามองซ้ายขวา รอบกายถูกรายล้อมไปด้วยบรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นและชวนระแวง แสงจันทร์ที่ก่อนหน้านี้ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง ก็กลับถูกเมฆฝนกลืนกินไปจนหมด
แสงสีขาวพาดผ่านจากบนฟ้าลงสู่เบื้องล่าง ตามมาด้วยเสียงครวญครางกัมปนาท ลมกรรโชกอย่างรุนแรงดุดัน ละอองฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกเย็นสดชื่น สบายกายสบายตัวเลยสักนิด กลับกัน...มันร้อนอบอ้าวเสียจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้าและแผ่นหลัง จนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เปียกชื้นไปหมด
ในห้องนอนของตัวเอง ผมหมอบตัวลงต่ำ พยายามคลานเคลื่อนไหวอย่างเบาเสียงที่สุด เพื่อพาตัวเองให้ไปซ่อนอยู่ใต้เตียง ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าอย่าให้มันเห็นเด็ดขาด สายตามองพุ่งฝ่ากำแพงความมืดออกไป สอดส่ายซ้ายขวาในระยะที่ทำได้ โสตประสาทพยายามจับเสียงใด ๆ ก็ตามที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
นี่กี่โมงกี่ยามแล้วนะ ตีสี่หรือตีห้า บ้าชะมัด
ตอนนี้ผมควรจะต้องนอนหลับสนิท อยู่บนฟูกนุ่ม ๆ ไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมผมกลับต้องมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ มาทำอะไรแบบนี้อยู่ใต้เตียง แบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ด้วย
เพราะไอ้ป๋องคนเดียวที่เอาอะไรพิเรนทร์ ๆ นั่นมาให้เล่น
ใช่...เพราะมันนั่นล่ะที่เป็นคนเริ่มต้นเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้
.......................................
เรื่องราวนรกแตกทั้งหมดนี้ มันเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาพักเที่ยง
หลังจากอิ่มหนำสำราญไปกับอาหารกลางวันแสนอร่อยแล้ว นักเรียนยังพอมีเวลาเหลืออีกครู่หนึ่งสำหรับกิจกรรมที่แต่ละคนให้ความสนใจ บางกลุ่มแบ่งฝ่ายกันเล่นกีฬาที่สนามหญ้ากลางโรงเรียน เด็กที่ขยันเรียนหน่อยก็อาจจะเข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมใส่สมองกันในห้องสมุด
ส่วนกลุ่มของพวกเราอันประกอบไปด้วย เจ้าป๋อง หนุ่มหน้าจืดที่มักสนใจกิจกรรมแปลก ๆ และมักคะยั้นคะยอให้คนอื่นสนใจตามมันไปด้วย เจ้าเจมส์ หนุ่มไทยชื่อฝรั่งที่ชอบซื้อของแบรนด์เนม ตามตลาดนัดเปิดท้ายเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าต่อ ผู้ที่วลีเด็ดอมตะอย่าง ‘คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง’ ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อมันโดยแท้ และคนสุดท้าย เอก ซึ่งก็คือผมเอง
พวกเรามักใช้เวลาที่เหลือในช่วงนี้ จับกลุ่มกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในห้อง คุยเล่นอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสาวัยกำลังโต กำลังอยากรู้อยากเห็น เพื่อฆ่าเวลาก่อนเริ่มเรียนภาคบ่าย ส่วนประเด็นการเสวนาในแต่ละวันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แทบไม่เคยซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับว่าอะไรหรือข่าวไหนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในวันนั้น
“ข้าไปค้นเจอวิธีเห็นผีเด็ด ๆ ในอินเตอร์เน็ตมาว่ะ”
จู่ ๆ หนุ่มหน้าจืดประจำกลุ่มก็พูดโพล่งแทรกขึ้นมากลางวง เหมือนอยากกระตุ้นความสนใจของกลุ่มสนทนา และมันก็ทำสำเร็จ พวกเราที่กำลังคุยเรื่องสาว ๆ กันอยู่ หันมาให้ความสนใจกับหัวข้อที่ถูกเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่แทบจะทันที
“วิธีอะไรของเอ็งวะ ไอ้ป๋อง”
ใครบางคนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสนใจ
“เค้าเรียกว่าวิธีเล่นซ่อนหาคนเดียวเว้ย”
หลายคนได้ยินแค่ชื่อวิธีเห็นผีก็หัวเราะออกมา บางคนมองหน้ากันไปมาแล้วส่ายหน้าเหมือนจะไม่สนใจ แต่แล้วหนึ่งในกลุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ค้นหาวิธีการตามที่ป๋องเพิ่งบอกมาเมื่อสักครู่
เพียงชั่วอึดใจที่คำค้นหาถูกพิมพ์เข้าไป รายชื่อเวบไซต์จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พวกเราจึงตัดสินใจเลือกอ่านวิธีการเล่นจากหนึ่งในนั้น
วิธีเล่นซ่อนหาคนเดียว
ก่อนเล่นให้หาตุ๊กตามาตัวหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นตุ๊กตาที่มีแขนมีขา ตั้งชื่ออะไรก็ได้ให้กับตุ๊กตาตัวนั้น
กรีดตุ๊กตาที่เตรียมไว้แล้วเอานุ่นที่ยัดอยู่ในตัวออกให้หมด ใส่ข้าวสารและเล็บหรือไม่ก็เส้นผมของเราลงไปแทน ข้าวสารเป็นตัวแทนของกล้ามเนื้อ ส่วนเล็บหรือเส้นผมใช้แทนอวัยวะภายในของตุ๊กตา
เมื่อใส่ข้าวสารลงไปจนเต็มแล้ว เย็บตุ๊กตากลับเป็นเหมือนเดิมโดยใช้เส้นด้ายสีแดง เส้นด้ายที่เหลือจากการเย็บให้พันเอาไว้รอบ ๆ ตัวตุ๊กตา เส้นด้ายสีแดงเส้นนี้ใช้แทนเส้นเลือด
เกมซ่อนหาจะเริ่มตอนตีสาม ปิดไฟในบ้านให้หมดทุกดวง เรียกชื่อตุ๊กตาสามครั้ง จากนั้นบอกกับตุ๊กตาตัวนั้นว่า “ฉันคือยักษ์” อีกสามครั้ง
นำตุ๊กตาไปกดน้ำในอ่าง เดินออกจากห้องที่กดน้ำตุ๊กตาตัวนั้น นับหนึ่งถึงสิบเพื่อเป็นการเริ่มเกม เมื่อนับครบสิบแล้วเดินถือมีดกลับเข้าไปในห้องเดิมที่มีตุ๊กตาอยู่ พูดว่า “เจอ (ชื่อตุ๊กตา) แล้ว” นำมีดที่ถือมาด้วยแทงไปที่ตัวตุ๊กตาและทิ้งมีดเอาไว้ตรงนั้น
พูดว่า “ต่อไป (ชื่อตุ๊กตา) ต้องเป็นยักษ์” แล้วรีบไปหาที่ซ่อน ชั่วระยะเวลาการนับหนึ่งถึงสิบตุ๊กตาจะลุกขึ้นมาและเริ่มออกตามหาเรา เมื่อใดที่ตุ๊กตาหาเราจนเจอ ให้อมน้ำเกลือไว้ในปากแล้วพ่นใส่ไปที่ตัวตุ๊กตา พูดว่า “ฉันชนะ” สามครั้ง เป็นอันจบเกม
ข้อควรระวัง
เมื่อเล่นครบทุกกระบวนการแล้ว แม้ว่าจะรักตุ๊กตาตัวนั้นมากแค่ไหนก็ตาม ห้ามเก็บเอาไว้ ต้องนำมันไปเผาทิ้งทันที
การเล่นซ่อนหาทุกขั้นตอนตั้งแต่ตีสาม ต้องเล่นให้จบภายในสองชั่วโมง หากตุ๊กตาหาเราไม่เจอเสียที เราต้องเป็นฝ่ายเดินไปตามหาและพ่นน้ำเกลือใส่ตามวิธีการจบเกมด้านบน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขณะเล่นไม่มีใครอยู่ในบ้านกับเราด้วย เพราะเขาคนนั้นอาจจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการเล่นของเราได้
ขณะที่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ ห้ามไปแอบที่อื่นนอกจากในบ้านที่ทำการเล่นเป็นอันขาด
หลังจากรู้วิธีการเล่นทั้งหมดแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของวงสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงตลกขบขัน หรือไม่ก็พูดในเชิงว่าไร้สาระ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ตุ๊กตาจะมีชีวิตขึ้นมาได้กับเรื่องแค่นี้
“แต่ข้าว่าน่าสนใจดีนะ แล้วก็น่าสนุกดีด้วย ลองเล่นกันดูไหมล่ะ”
“ท่าจะประสาท นี่แกเชื่อเรื่องแบบนี้เข้าไปได้ยังไงวะ”
“ไม่เชื่อก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ถือว่าเล่นกันเล่น ๆ หรือว่าแกกลัวกันแน่วะ ถึงว่าไร้สาระ อ้างนู่นนี่ไปเรื่อยเพราะไม่กล้าเล่น”
เริ่มเกิดการท้าทายปะทะคารมกับขึ้นในวงสนทนา เพื่อป้องกันไม่ให้ความไม่ลงรอยลุกลามไปจนใหญ่โต ผมจึงตัดสินใจเบี่ยงประเด็นหวังให้บรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดได้คลายตัวลง
“ไอ้น่าสนใจก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่พวกแกลืมอะไรไปหรือเปล่า มันคือเกมเล่นซ่อนหาคนเดียว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าให้เล่นคนเดียว แล้วพวกเราจะยกขโยงกันเล่นได้ยังไง”
ได้ผล เสียงฮือฮาในข้อคิดเห็นของผมได้รับการตอบรับ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ ส่วนที่เหลือยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่การปะทะคารมก่อนหน้าดูเหมือนจะยุติลงได้
“เห้ย ไม่เป็นไรหรอก ไอ้เอก อย่าคิดมาก ที่เขียนน่ะมันเป็นแค่หลักการเว้ย กติกาการเล่นทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนกันได้ แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน”
ป๋องแสดงความเป็นอัจฉริยะทางเรื่องไร้สาระให้ได้เห็นอีกครั้ง
“ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ แล้วเราจะไปเล่นกันที่บ้านใครล่ะ มันบอกว่าต้องไม่มีใครอยู่ในบ้านเวลาเล่นไม่ใช่หรือ”
หลังจากที่นั่งฟังนิ่ง ๆ อยู่นานก็ถึงเวลาที่เจมส์ได้แสดงความคิดเห็นบ้าง
“เราจะเล่นซ่อนหากับผี ก็ต้องไปเล่นกันที่บ้านผีสิวะ พวกเอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไปเจอที่เจ๋ง ๆ มาพอดี”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าป๋องแก้ปัญหาใหญ่ที่เจมส์พูดถึงได้ในชั่วเสี้ยววินาที
“คราวนี้ว่าไงล่ะไอ้เอก ครั้งก่อนเอ็งไม่ไปกับพวกเรา อ้างว่าปวดท้อง หวังว่าคืนนี้เอ็งคงไม่ปวดหัวอีกนะ”
ประโยคสุดท้ายเล่นเอาทั้งวงสนทนาถึงกับหัวเราะครืน เพราะมันหันมากัดผมเข้าให้แบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมอายจนหน้าชา ป๋องพูดถึงเรื่องครั้งเมื่อผมเป็นตัวตั้งตัวตีในการไปเยือนบ้านผีสิงที่ค้นเจอในอินเตอร์เน็ต พวกเรานัดแนะเวลาสถานที่กันเป็นดิบดี แต่สุดท้ายผมเกิดอาการอาหารเป็นพิษกะทันหันก่อนถึงเวลานัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนที่บ้านต้องหามส่งโรงพยาบาล
เจ้าพวกนี้ก็รู้ว่าผมป่วยจริง เพราะวันถัดมายังพากันไปเยี่ยมผมถึงเตียงพักฟื้นในโรงพยาบาล แต่พวกมันก็ยังถือโอกาสเอามาพูดแซวให้ผมได้อายกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากถกเถียงกันพอประมาณจนได้ข้อสรุปแล้ว ก็ตกลงกันว่าเราจะไปเล่นด้วยกันเป็นกลุ่ม โดยวิธีใส่เส้นผมหรือเล็บของทุกคนลงในตัวตุ๊กตาพร้อมกันครั้งเดียวเลย ส่วนสถานที่เล่นก็เป็นบ้านผีสิงตามที่ป๋องเสนอมา
“เสียงคนร่ำลือมาว่า เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันมาก แต่แค่คืนแรกหลังส่งตัวเข้าเรือนหอที่คู่บ่าวสาวข้าวใหม่ปลามันเข้ามาอาศัยอยู่ กลางดึกคืนนั้น ในขณะที่ทุกคนพากันนอนหลับพักผ่อนหมดแล้ว ก็มีขโมยแอบย่องขึ้นบ้านเพื่อหวังขโมยทรัพย์สิน
สามีที่บังเอิญสะดุ้งตื่นขึ้นมา พลันได้ยินเสียงตะกุกตะกักผิดปกติที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจเดินลงมาตรวจสอบให้แน่ใจ แต่โชคร้ายที่คืนนั้นกลับกลายเป็นคืนสุดท้ายของชีวิต เขาถูกคนร้ายแทงตายในห้องรับแขกหลังจากพยายามยื้อแย่งมีดจากอีกฝ่าย
ส่วนภรรยาที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าโดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดกับสามีเมื่อคืนเลย ก็เสียใจมากเพราะคิดว่าอาจช่วยอะไรได้บ้าง หากเมื่อคืนเธอไม่เหนื่อยจนสลบไสลไม่ได้สติแบบนี้ ด้วยความเศร้าโศก เธอตัดสินใจแขวนคอตัวเองเพื่อตามสามีไปยังโลกหน้าที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านนั่นเอง”
ป๋องเล่าประวัติโดยย่อของบ้านผีสิงที่จะใช้เป็นสถานที่เล่นให้ทุกคนฟัง เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการไปเล่นเกมของค่ำคืนนี้
“หลังจากคืนนั้น วิญญาณรักของทั้งสองยังคงไม่ไปไหน ถ้าบังเอิญมีคนดวงตกเดินผ่านไป วันดีคืนดีจะปรากฏร่างของผู้หญิงสวมชุดคลุมสีขาวนั่งแกว่งขาบนกิ่งไม้หน้าบ้านและแสยะยิ้มส่งมาให้ หรือถ้าแย่กว่านั้นเธอจะผูกคอห้อยโตงเตง ตาเหลือก ลิ้นจุกปาก ให้ได้เห็นกันเลยทีเดียว
ส่วนในตัวบ้านก็จะเห็นเป็นเงาผู้ชายเดินไปเดินมาเหมือนกับตามหาอะไรอยู่ บางครั้งจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนลอยตามลมออกมาให้ได้ยินกันอีกด้วย”
ซ่อนหา
บ้าเอ๊ย เป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้ใครมันจะไปเชื่อลง
ผมสบถกับตัวเองด้วยคำซ้ำๆ เดิมๆ จนไม่คิดจะจำแล้วว่าพูดแบบนี้ไปกี่ครั้ง เหลือบตามองซ้ายขวา รอบกายถูกรายล้อมไปด้วยบรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นและชวนระแวง แสงจันทร์ที่ก่อนหน้านี้ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง ก็กลับถูกเมฆฝนกลืนกินไปจนหมด
แสงสีขาวพาดผ่านจากบนฟ้าลงสู่เบื้องล่าง ตามมาด้วยเสียงครวญครางกัมปนาท ลมกรรโชกอย่างรุนแรงดุดัน ละอองฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกเย็นสดชื่น สบายกายสบายตัวเลยสักนิด กลับกัน...มันร้อนอบอ้าวเสียจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้าและแผ่นหลัง จนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เปียกชื้นไปหมด
ในห้องนอนของตัวเอง ผมหมอบตัวลงต่ำ พยายามคลานเคลื่อนไหวอย่างเบาเสียงที่สุด เพื่อพาตัวเองให้ไปซ่อนอยู่ใต้เตียง ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าอย่าให้มันเห็นเด็ดขาด สายตามองพุ่งฝ่ากำแพงความมืดออกไป สอดส่ายซ้ายขวาในระยะที่ทำได้ โสตประสาทพยายามจับเสียงใด ๆ ก็ตามที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
นี่กี่โมงกี่ยามแล้วนะ ตีสี่หรือตีห้า บ้าชะมัด
ตอนนี้ผมควรจะต้องนอนหลับสนิท อยู่บนฟูกนุ่ม ๆ ไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมผมกลับต้องมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ มาทำอะไรแบบนี้อยู่ใต้เตียง แบบที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ด้วย
เพราะไอ้ป๋องคนเดียวที่เอาอะไรพิเรนทร์ ๆ นั่นมาให้เล่น
ใช่...เพราะมันนั่นล่ะที่เป็นคนเริ่มต้นเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้
.......................................
เรื่องราวนรกแตกทั้งหมดนี้ มันเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาพักเที่ยง
หลังจากอิ่มหนำสำราญไปกับอาหารกลางวันแสนอร่อยแล้ว นักเรียนยังพอมีเวลาเหลืออีกครู่หนึ่งสำหรับกิจกรรมที่แต่ละคนให้ความสนใจ บางกลุ่มแบ่งฝ่ายกันเล่นกีฬาที่สนามหญ้ากลางโรงเรียน เด็กที่ขยันเรียนหน่อยก็อาจจะเข้าไปหาความรู้เพิ่มเติมใส่สมองกันในห้องสมุด
ส่วนกลุ่มของพวกเราอันประกอบไปด้วย เจ้าป๋อง หนุ่มหน้าจืดที่มักสนใจกิจกรรมแปลก ๆ และมักคะยั้นคะยอให้คนอื่นสนใจตามมันไปด้วย เจ้าเจมส์ หนุ่มไทยชื่อฝรั่งที่ชอบซื้อของแบรนด์เนม ตามตลาดนัดเปิดท้ายเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าต่อ ผู้ที่วลีเด็ดอมตะอย่าง ‘คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง’ ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อมันโดยแท้ และคนสุดท้าย เอก ซึ่งก็คือผมเอง
พวกเรามักใช้เวลาที่เหลือในช่วงนี้ จับกลุ่มกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในห้อง คุยเล่นอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสาวัยกำลังโต กำลังอยากรู้อยากเห็น เพื่อฆ่าเวลาก่อนเริ่มเรียนภาคบ่าย ส่วนประเด็นการเสวนาในแต่ละวันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แทบไม่เคยซ้ำกัน ขึ้นอยู่กับว่าอะไรหรือข่าวไหนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในวันนั้น
“ข้าไปค้นเจอวิธีเห็นผีเด็ด ๆ ในอินเตอร์เน็ตมาว่ะ”
จู่ ๆ หนุ่มหน้าจืดประจำกลุ่มก็พูดโพล่งแทรกขึ้นมากลางวง เหมือนอยากกระตุ้นความสนใจของกลุ่มสนทนา และมันก็ทำสำเร็จ พวกเราที่กำลังคุยเรื่องสาว ๆ กันอยู่ หันมาให้ความสนใจกับหัวข้อที่ถูกเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่แทบจะทันที
“วิธีอะไรของเอ็งวะ ไอ้ป๋อง”
ใครบางคนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสนใจ
“เค้าเรียกว่าวิธีเล่นซ่อนหาคนเดียวเว้ย”
หลายคนได้ยินแค่ชื่อวิธีเห็นผีก็หัวเราะออกมา บางคนมองหน้ากันไปมาแล้วส่ายหน้าเหมือนจะไม่สนใจ แต่แล้วหนึ่งในกลุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ค้นหาวิธีการตามที่ป๋องเพิ่งบอกมาเมื่อสักครู่
เพียงชั่วอึดใจที่คำค้นหาถูกพิมพ์เข้าไป รายชื่อเวบไซต์จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พวกเราจึงตัดสินใจเลือกอ่านวิธีการเล่นจากหนึ่งในนั้น
วิธีเล่นซ่อนหาคนเดียว
ก่อนเล่นให้หาตุ๊กตามาตัวหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นตุ๊กตาที่มีแขนมีขา ตั้งชื่ออะไรก็ได้ให้กับตุ๊กตาตัวนั้น
กรีดตุ๊กตาที่เตรียมไว้แล้วเอานุ่นที่ยัดอยู่ในตัวออกให้หมด ใส่ข้าวสารและเล็บหรือไม่ก็เส้นผมของเราลงไปแทน ข้าวสารเป็นตัวแทนของกล้ามเนื้อ ส่วนเล็บหรือเส้นผมใช้แทนอวัยวะภายในของตุ๊กตา
เมื่อใส่ข้าวสารลงไปจนเต็มแล้ว เย็บตุ๊กตากลับเป็นเหมือนเดิมโดยใช้เส้นด้ายสีแดง เส้นด้ายที่เหลือจากการเย็บให้พันเอาไว้รอบ ๆ ตัวตุ๊กตา เส้นด้ายสีแดงเส้นนี้ใช้แทนเส้นเลือด
เกมซ่อนหาจะเริ่มตอนตีสาม ปิดไฟในบ้านให้หมดทุกดวง เรียกชื่อตุ๊กตาสามครั้ง จากนั้นบอกกับตุ๊กตาตัวนั้นว่า “ฉันคือยักษ์” อีกสามครั้ง
นำตุ๊กตาไปกดน้ำในอ่าง เดินออกจากห้องที่กดน้ำตุ๊กตาตัวนั้น นับหนึ่งถึงสิบเพื่อเป็นการเริ่มเกม เมื่อนับครบสิบแล้วเดินถือมีดกลับเข้าไปในห้องเดิมที่มีตุ๊กตาอยู่ พูดว่า “เจอ (ชื่อตุ๊กตา) แล้ว” นำมีดที่ถือมาด้วยแทงไปที่ตัวตุ๊กตาและทิ้งมีดเอาไว้ตรงนั้น
พูดว่า “ต่อไป (ชื่อตุ๊กตา) ต้องเป็นยักษ์” แล้วรีบไปหาที่ซ่อน ชั่วระยะเวลาการนับหนึ่งถึงสิบตุ๊กตาจะลุกขึ้นมาและเริ่มออกตามหาเรา เมื่อใดที่ตุ๊กตาหาเราจนเจอ ให้อมน้ำเกลือไว้ในปากแล้วพ่นใส่ไปที่ตัวตุ๊กตา พูดว่า “ฉันชนะ” สามครั้ง เป็นอันจบเกม
ข้อควรระวัง
เมื่อเล่นครบทุกกระบวนการแล้ว แม้ว่าจะรักตุ๊กตาตัวนั้นมากแค่ไหนก็ตาม ห้ามเก็บเอาไว้ ต้องนำมันไปเผาทิ้งทันที
การเล่นซ่อนหาทุกขั้นตอนตั้งแต่ตีสาม ต้องเล่นให้จบภายในสองชั่วโมง หากตุ๊กตาหาเราไม่เจอเสียที เราต้องเป็นฝ่ายเดินไปตามหาและพ่นน้ำเกลือใส่ตามวิธีการจบเกมด้านบน
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขณะเล่นไม่มีใครอยู่ในบ้านกับเราด้วย เพราะเขาคนนั้นอาจจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการเล่นของเราได้
ขณะที่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่ ห้ามไปแอบที่อื่นนอกจากในบ้านที่ทำการเล่นเป็นอันขาด
หลังจากรู้วิธีการเล่นทั้งหมดแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของวงสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงตลกขบขัน หรือไม่ก็พูดในเชิงว่าไร้สาระ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ตุ๊กตาจะมีชีวิตขึ้นมาได้กับเรื่องแค่นี้
“แต่ข้าว่าน่าสนใจดีนะ แล้วก็น่าสนุกดีด้วย ลองเล่นกันดูไหมล่ะ”
“ท่าจะประสาท นี่แกเชื่อเรื่องแบบนี้เข้าไปได้ยังไงวะ”
“ไม่เชื่อก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ถือว่าเล่นกันเล่น ๆ หรือว่าแกกลัวกันแน่วะ ถึงว่าไร้สาระ อ้างนู่นนี่ไปเรื่อยเพราะไม่กล้าเล่น”
เริ่มเกิดการท้าทายปะทะคารมกับขึ้นในวงสนทนา เพื่อป้องกันไม่ให้ความไม่ลงรอยลุกลามไปจนใหญ่โต ผมจึงตัดสินใจเบี่ยงประเด็นหวังให้บรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดได้คลายตัวลง
“ไอ้น่าสนใจก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่พวกแกลืมอะไรไปหรือเปล่า มันคือเกมเล่นซ่อนหาคนเดียว ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าให้เล่นคนเดียว แล้วพวกเราจะยกขโยงกันเล่นได้ยังไง”
ได้ผล เสียงฮือฮาในข้อคิดเห็นของผมได้รับการตอบรับ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ ส่วนที่เหลือยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่การปะทะคารมก่อนหน้าดูเหมือนจะยุติลงได้
“เห้ย ไม่เป็นไรหรอก ไอ้เอก อย่าคิดมาก ที่เขียนน่ะมันเป็นแค่หลักการเว้ย กติกาการเล่นทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนกันได้ แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน”
ป๋องแสดงความเป็นอัจฉริยะทางเรื่องไร้สาระให้ได้เห็นอีกครั้ง
“ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ แล้วเราจะไปเล่นกันที่บ้านใครล่ะ มันบอกว่าต้องไม่มีใครอยู่ในบ้านเวลาเล่นไม่ใช่หรือ”
หลังจากที่นั่งฟังนิ่ง ๆ อยู่นานก็ถึงเวลาที่เจมส์ได้แสดงความคิดเห็นบ้าง
“เราจะเล่นซ่อนหากับผี ก็ต้องไปเล่นกันที่บ้านผีสิวะ พวกเอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไปเจอที่เจ๋ง ๆ มาพอดี”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าป๋องแก้ปัญหาใหญ่ที่เจมส์พูดถึงได้ในชั่วเสี้ยววินาที
“คราวนี้ว่าไงล่ะไอ้เอก ครั้งก่อนเอ็งไม่ไปกับพวกเรา อ้างว่าปวดท้อง หวังว่าคืนนี้เอ็งคงไม่ปวดหัวอีกนะ”
ประโยคสุดท้ายเล่นเอาทั้งวงสนทนาถึงกับหัวเราะครืน เพราะมันหันมากัดผมเข้าให้แบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมอายจนหน้าชา ป๋องพูดถึงเรื่องครั้งเมื่อผมเป็นตัวตั้งตัวตีในการไปเยือนบ้านผีสิงที่ค้นเจอในอินเตอร์เน็ต พวกเรานัดแนะเวลาสถานที่กันเป็นดิบดี แต่สุดท้ายผมเกิดอาการอาหารเป็นพิษกะทันหันก่อนถึงเวลานัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนที่บ้านต้องหามส่งโรงพยาบาล
เจ้าพวกนี้ก็รู้ว่าผมป่วยจริง เพราะวันถัดมายังพากันไปเยี่ยมผมถึงเตียงพักฟื้นในโรงพยาบาล แต่พวกมันก็ยังถือโอกาสเอามาพูดแซวให้ผมได้อายกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากถกเถียงกันพอประมาณจนได้ข้อสรุปแล้ว ก็ตกลงกันว่าเราจะไปเล่นด้วยกันเป็นกลุ่ม โดยวิธีใส่เส้นผมหรือเล็บของทุกคนลงในตัวตุ๊กตาพร้อมกันครั้งเดียวเลย ส่วนสถานที่เล่นก็เป็นบ้านผีสิงตามที่ป๋องเสนอมา
“เสียงคนร่ำลือมาว่า เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่รักกันมาก แต่แค่คืนแรกหลังส่งตัวเข้าเรือนหอที่คู่บ่าวสาวข้าวใหม่ปลามันเข้ามาอาศัยอยู่ กลางดึกคืนนั้น ในขณะที่ทุกคนพากันนอนหลับพักผ่อนหมดแล้ว ก็มีขโมยแอบย่องขึ้นบ้านเพื่อหวังขโมยทรัพย์สิน
สามีที่บังเอิญสะดุ้งตื่นขึ้นมา พลันได้ยินเสียงตะกุกตะกักผิดปกติที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจเดินลงมาตรวจสอบให้แน่ใจ แต่โชคร้ายที่คืนนั้นกลับกลายเป็นคืนสุดท้ายของชีวิต เขาถูกคนร้ายแทงตายในห้องรับแขกหลังจากพยายามยื้อแย่งมีดจากอีกฝ่าย
ส่วนภรรยาที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าโดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดกับสามีเมื่อคืนเลย ก็เสียใจมากเพราะคิดว่าอาจช่วยอะไรได้บ้าง หากเมื่อคืนเธอไม่เหนื่อยจนสลบไสลไม่ได้สติแบบนี้ ด้วยความเศร้าโศก เธอตัดสินใจแขวนคอตัวเองเพื่อตามสามีไปยังโลกหน้าที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านนั่นเอง”
ป๋องเล่าประวัติโดยย่อของบ้านผีสิงที่จะใช้เป็นสถานที่เล่นให้ทุกคนฟัง เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการไปเล่นเกมของค่ำคืนนี้
“หลังจากคืนนั้น วิญญาณรักของทั้งสองยังคงไม่ไปไหน ถ้าบังเอิญมีคนดวงตกเดินผ่านไป วันดีคืนดีจะปรากฏร่างของผู้หญิงสวมชุดคลุมสีขาวนั่งแกว่งขาบนกิ่งไม้หน้าบ้านและแสยะยิ้มส่งมาให้ หรือถ้าแย่กว่านั้นเธอจะผูกคอห้อยโตงเตง ตาเหลือก ลิ้นจุกปาก ให้ได้เห็นกันเลยทีเดียว
ส่วนในตัวบ้านก็จะเห็นเป็นเงาผู้ชายเดินไปเดินมาเหมือนกับตามหาอะไรอยู่ บางครั้งจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนลอยตามลมออกมาให้ได้ยินกันอีกด้วย”